ขึ้นชื่อว่าค่าโง่ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากเสีย แต่เชื่อว่าสักครั้งหนึ่งในชีวิตทุก ๆ คนคงต้องมีโดนกันบ้าง บางคนอาจจะแค่เบา ๆ พอเป็นบทเรียนสนุก ๆ แต่สำหรับบางคนก็อาจจะแสบซึ้งถึงขั้นหมดเนื้อหมดตัวเลยทีเดียว
วันนี้ผมจะขอมาแชร์ค่าโง่ของตัวเองเป็นอุทาหรณ์ให้กับฟรีแลนซ์ทุก ๆ ท่านที่อาจจะชะล่าใจไปบ้างในบางครั้ง บทเรียนแสนแพงที่กว่าผมจะรู้ว่าสัญญาสำคัญขนาดก็เหลือเงินติดตัวอยู่แค่ 200 บาทแล้วครับ
ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องขึ้นผมเป็นฟรีแลนซ์รับเขียนบทความบ้าง ถ่ายภาพบ้าง รับทำโปสเตอร์บ้าง ในวันว่าง ๆ ก็เขียนบทความลงเพจของตัวเองพอสนุก ๆ จนเดือนพฤษภาที่ผ่านมามีองค์กรหนึ่งติดต่อเข้ามาให้ผมเขียนหนังสือให้เขา
แน่นอนครับว่าสำหรับนักเขียนตัวเล็ก ๆ อย่างผม การได้มีชื่อบนปกหนังสือสักเล่มคือความฝันที่เราเฝ้าหามาโดยตลอด ตอนนั้นผมดีใจจนมือสั่น สั่นจนหยุดไม่ได้ เป็นความสุขที่จะทะลักล้นออกมาจากอกจนต้องรีบไปบอกภรรยาเพื่อหาคนแบ่งปันความสุขนี้จริง ๆ ครับ
แต่ก็นั่นแหละใครจะรู้ว่าสุขครั้งนี้สุดท้ายจะกลายเป็นโซดาไฟโรยน้ำตาลที่กัดซะจนผมต้องธาตุไฟเข้าแทรกกระอักออกมาเป็นเลือดหม้อใหญ่เลยทีเดียว
หลังจากนัดพูดคุยรายละเอียดกันเขาต้องการให้ผมสัมภาษณ์คนของเขาและนำเคสต่าง ๆ จากการทำงานนั้นมาเขียนเป็นหนังสือ โดยให้กำหนดมาว่าต้องเสร็จภายในเดือนกันยายน ยอมรับว่าด้วยความตื่นเต้นอยากได้งานนี้มาก ตอนนั้นเขาจะพูดอะไรมาก็เออออยอมรับได้หมด ความคิดเดียวที่แล่นอยู่ในหัวไม่หยุดคือเรากำลังจะมีหนังสือเป็นของตัวเองจนลืมทุกสิ่งทุกอย่าง
ซึ่งทุกอย่างนี่ก็คือทุกอย่างจริง ๆ ครับลืมแม้กระทั่งการจ่ายค่าจ้าง ลิขสิทธิ์จะเป็นของใคร ไม่ได้คิดแม้กระทั่งการทำสัญญาอะไรเลย
ก่อนจากกันเขาให้ผมไปอ่านหนังสืออีก 4 เล่มเพื่อทำความเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการให้เขียนมากขึ้น และให้ทดลองเขียนบทความลงเว็บไซต์ของเขา 1 บทความว่าเขาโอเคกับสำนวนการเขียนของผมหรือเปล่า ซึ่งหลังจากผมส่งบทความไปเขาก็โอนค่าบทความมาให้พร้อมกับสอบถามกระบวนการทำงานขั้นต่อไป ทำให้ผมตัดสินใจยกเลิกงานทั้งหมดและใช้เงินเก็บที่มีดำรงชีพเพื่อมาทุ่มเทให้กับหนังสือเล่มนี้ทันที
ถึงจุดนี้ผมก็ยังไม่ได้สอบถามเรื่องการทำสัญญาและค่าจ้างใดใด
หลังจากนั้นผมติดต่อสัมภาษณ์กับผู้ให้ข้อมูลขององค์กรเพื่อสัมภาษณ์เนื้อหาทั้งหมด จะได้นำมาร่างเป็นโครงเรื่องและยื่นส่งให้ทางองค์กรได้เห็นภาพคร่าว ๆ แต่ปัญหาก็ได้เริ่มขึ้น
เจ้าของข้อมูลแทบไม่มีเวลาให้สัมภาษณ์ทำให้การรอข้อมูลลากยาวไปเป็นเดือน กว่าจะได้ข้อมูลทั้งหมดก็ล่วงเข้าเดือนกรกฎาคมแล้ว ในขณะที่ทางองค์กรก็คอยจี้ขอโครงเรื่องจากผมอยู่ตลอดเวลาโดยให้เหตุผลว่าอยากทราบภาพรวมทั้งหมดและให้ส่งเนื้อหาให้เขาอ่านเป็นบท ๆ เพื่อจ่ายเงินเป็นงวด ๆ ซึ่งผมก็ทำได้แค่หันกลับไปจี้ผู้ให้ข้อมูลอีกทอดหนึ่ง
จนถึงตรงนี้ผมก็ยังไม่เอะใจและไม่สอบถามถึงค่าจ้างใดใด (หลายคนคงเริ่มขัดใจและก่นด่าผมบ้างแล้วแต่ผมก็ประมาทและไว้วางใจจนเกินไปผมจริง ๆ)
ล่วงเลยมาถึงเดือนสิงหาผมพยายามปั่นงานส่งให้เร็วที่สุดแต่หลังจากที่องค์กรได้เนื้อหาบทที่ 1 จากผมไป ก็ไม่ได้ติดต่อกลับอีกเลย ผมยังคงส่งบทที่2 , 3 , 4 , 5 ไปให้โดยไม่เอะใจอะไรจนกระทั่งเข้าสู่ช่วงวิกฤตคือกลางเดือนสิงหาคมที่เงินของผมใกล้จะหมด
เมื่อไม่มีเงินจะกินข้าวสมองก็ได้ตื่นจากความฝันที่มโนไปไกลบ้าง ผมได้ติดต่อไปสอบถามเรื่องการจ่ายเงินเป็นครั้งแรก แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ ช่วงนี้องค์กรมีงานใหญ่สัปดาห์สุดท้ายจะติดต่อกลับมาอีกครั้ง ทำให้ผมกัดฟันทนต่อไปอีกสามสัปดาห์จนล่วงเข้ากันยายน จนแล้วจนรอดก็ไม่มีการติดต่อกลับมาอีก
สุดท้ายหลังจากรอจนรอไม่ไหวเพราะทั้งเนื้อทั้งตัวเหลืออยู่แค่ 200 ผมก็ต้องเป็นฝ่ายติดต่อกลับไปเองอีกครั้งและบอกว่าผมกำลังลำบากมาก แต่คำตอบที่ได้ทำเอาผมสะท้านจริง ๆ
เขาบอกว่าตอนนี้หัวหน้ากำลังอ่านบทความที่ผมเขียนและบทที่ 1
ใช่ครับบทความและบทที่ 1 ทั้ง ๆ ที่ผมส่งไปแล้ว 5 บท และส่งบทความไปตั้งแต่3เดือนที่แล้ว แต่เขาเพิ่งอ่าน (ในใจผมดังขึ้นทันทีแล้วที่ผ่านมาที่โดนเร่งงานยิก ๆ บอกว่าจะให้เสร็จภายในเดือนกันยายนนั้นคืออะไรกัน) ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือเขาบอกว่าหัวหน้าจะรอพิจารณาบทความและบทที่ 1 ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยตกลงคุยเรื่องการจ่ายเงินซึ่งผมไม่สามารถเบิกได้ภายใน2-3สัปดาห์นี้แน่นอน (นั่นหมายความว่าเขาไม่เคยวางแผนเรื่องการจ่ายเงินไว้เลย)
สรุปแล้วผมทำงานเปล่ามาตลอด 3 เดือน โดยที่ถูกเร่งให้ทำงานงก ๆ แต่คนจ้างกลับไม่ยอมอ่านและดึงเช็งไม่ยอมจ่ายเงินให้
ตอนนั้นจุดเดือดของผมทะลุปรอทจนแตกละเอียดจริง ๆ ครับ ลงอารมณ์ไปเต็ม ๆ และไล่จี้ความโหลยโท่ยการทำงานของเขาที่ผมเคยทนไว้ทีละจุด ๆ จนสุดท้ายทางนั้นบอกให้ทำใบเสนอราคามา และพอผมเสนอราคาไปกลับโดนตัดลดลงครึ่งหนึ่งด้วยเหตุผลว่ามีงบอยู่เท่านี้ ซึ่งถ้าคิดราคาหารออกมาแล้วค่าตัวผมเหลือแค่เดือนละ 5,000 บาท ราคาน้อยกว่าแรงงานขั้นต่ำด้วยซ้ำไป
ถึงจุดนี้ผมทำอะไรเขาไม่ได้เพราะไม่มีสัญญา ไม่เคยคุยเรื่องเงินกันมาก่อน จะเลิกทำก็เท่ากับทิ้งสิ่งที่เราสร้างไว้ให้สูญ จะทำก็แทบไม่เหลืออะไรไว้กิน ตอนนี้ผมกลายเป็นหมาจนตรอกที่เหลือเงินติดตัวใช้ในครอบครัวอีกแค่ 2 วันโดยที่คนว่าจ้างไม่สนใจอะไรเลย (ภรรยาผมไม่สบายครับช่วงนี้ทำงานไม่ค่อยได้) ตอนนี้มืดทั้งแปดด้านจริง ๆ ครับ ไม่รู้จะหาเงินจากไหนมากินใช้ต่อไปดี
ความไว้วางใจคนมากจนเกินไปและความประมาทฆ่าเราได้ทุกเมื่อ หวังว่าสิ่งที่ผมพบเจอจะเป็นอุทาหรณ์ให้กับฟรีแลนซ์ทุก ๆ คนไม่เจอกับความผิดพลาดแบบนี้อีกนะครับ
สำหรับผมจะจำจนวันตายเลยครับว่าความเกรงใจและไว้วางใจมันกินไม่ได้ ถ้าสัญญาไม่ลงตัว เงินยังไม่มาอย่าได้ขยับทำงานเด็ดขาด
ขอบคุณที่อ่านกันจนจบนะครับ
ปล.ตำหนิได้แต่อย่าแรงเลยนะครับน้อมรับทุกคำวิจารณ์จากใจ
อุทาหรณ์ฟรีแลนซ์ ค่าโง่ของความไว้วางใจจนเกินไปทำให้ผมสิ้นเนื้อประดาตัว
วันนี้ผมจะขอมาแชร์ค่าโง่ของตัวเองเป็นอุทาหรณ์ให้กับฟรีแลนซ์ทุก ๆ ท่านที่อาจจะชะล่าใจไปบ้างในบางครั้ง บทเรียนแสนแพงที่กว่าผมจะรู้ว่าสัญญาสำคัญขนาดก็เหลือเงินติดตัวอยู่แค่ 200 บาทแล้วครับ
ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องขึ้นผมเป็นฟรีแลนซ์รับเขียนบทความบ้าง ถ่ายภาพบ้าง รับทำโปสเตอร์บ้าง ในวันว่าง ๆ ก็เขียนบทความลงเพจของตัวเองพอสนุก ๆ จนเดือนพฤษภาที่ผ่านมามีองค์กรหนึ่งติดต่อเข้ามาให้ผมเขียนหนังสือให้เขา
แน่นอนครับว่าสำหรับนักเขียนตัวเล็ก ๆ อย่างผม การได้มีชื่อบนปกหนังสือสักเล่มคือความฝันที่เราเฝ้าหามาโดยตลอด ตอนนั้นผมดีใจจนมือสั่น สั่นจนหยุดไม่ได้ เป็นความสุขที่จะทะลักล้นออกมาจากอกจนต้องรีบไปบอกภรรยาเพื่อหาคนแบ่งปันความสุขนี้จริง ๆ ครับ
แต่ก็นั่นแหละใครจะรู้ว่าสุขครั้งนี้สุดท้ายจะกลายเป็นโซดาไฟโรยน้ำตาลที่กัดซะจนผมต้องธาตุไฟเข้าแทรกกระอักออกมาเป็นเลือดหม้อใหญ่เลยทีเดียว
หลังจากนัดพูดคุยรายละเอียดกันเขาต้องการให้ผมสัมภาษณ์คนของเขาและนำเคสต่าง ๆ จากการทำงานนั้นมาเขียนเป็นหนังสือ โดยให้กำหนดมาว่าต้องเสร็จภายในเดือนกันยายน ยอมรับว่าด้วยความตื่นเต้นอยากได้งานนี้มาก ตอนนั้นเขาจะพูดอะไรมาก็เออออยอมรับได้หมด ความคิดเดียวที่แล่นอยู่ในหัวไม่หยุดคือเรากำลังจะมีหนังสือเป็นของตัวเองจนลืมทุกสิ่งทุกอย่าง
ซึ่งทุกอย่างนี่ก็คือทุกอย่างจริง ๆ ครับลืมแม้กระทั่งการจ่ายค่าจ้าง ลิขสิทธิ์จะเป็นของใคร ไม่ได้คิดแม้กระทั่งการทำสัญญาอะไรเลย
ก่อนจากกันเขาให้ผมไปอ่านหนังสืออีก 4 เล่มเพื่อทำความเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการให้เขียนมากขึ้น และให้ทดลองเขียนบทความลงเว็บไซต์ของเขา 1 บทความว่าเขาโอเคกับสำนวนการเขียนของผมหรือเปล่า ซึ่งหลังจากผมส่งบทความไปเขาก็โอนค่าบทความมาให้พร้อมกับสอบถามกระบวนการทำงานขั้นต่อไป ทำให้ผมตัดสินใจยกเลิกงานทั้งหมดและใช้เงินเก็บที่มีดำรงชีพเพื่อมาทุ่มเทให้กับหนังสือเล่มนี้ทันที
ถึงจุดนี้ผมก็ยังไม่ได้สอบถามเรื่องการทำสัญญาและค่าจ้างใดใด
หลังจากนั้นผมติดต่อสัมภาษณ์กับผู้ให้ข้อมูลขององค์กรเพื่อสัมภาษณ์เนื้อหาทั้งหมด จะได้นำมาร่างเป็นโครงเรื่องและยื่นส่งให้ทางองค์กรได้เห็นภาพคร่าว ๆ แต่ปัญหาก็ได้เริ่มขึ้น
เจ้าของข้อมูลแทบไม่มีเวลาให้สัมภาษณ์ทำให้การรอข้อมูลลากยาวไปเป็นเดือน กว่าจะได้ข้อมูลทั้งหมดก็ล่วงเข้าเดือนกรกฎาคมแล้ว ในขณะที่ทางองค์กรก็คอยจี้ขอโครงเรื่องจากผมอยู่ตลอดเวลาโดยให้เหตุผลว่าอยากทราบภาพรวมทั้งหมดและให้ส่งเนื้อหาให้เขาอ่านเป็นบท ๆ เพื่อจ่ายเงินเป็นงวด ๆ ซึ่งผมก็ทำได้แค่หันกลับไปจี้ผู้ให้ข้อมูลอีกทอดหนึ่ง
จนถึงตรงนี้ผมก็ยังไม่เอะใจและไม่สอบถามถึงค่าจ้างใดใด (หลายคนคงเริ่มขัดใจและก่นด่าผมบ้างแล้วแต่ผมก็ประมาทและไว้วางใจจนเกินไปผมจริง ๆ)
ล่วงเลยมาถึงเดือนสิงหาผมพยายามปั่นงานส่งให้เร็วที่สุดแต่หลังจากที่องค์กรได้เนื้อหาบทที่ 1 จากผมไป ก็ไม่ได้ติดต่อกลับอีกเลย ผมยังคงส่งบทที่2 , 3 , 4 , 5 ไปให้โดยไม่เอะใจอะไรจนกระทั่งเข้าสู่ช่วงวิกฤตคือกลางเดือนสิงหาคมที่เงินของผมใกล้จะหมด
เมื่อไม่มีเงินจะกินข้าวสมองก็ได้ตื่นจากความฝันที่มโนไปไกลบ้าง ผมได้ติดต่อไปสอบถามเรื่องการจ่ายเงินเป็นครั้งแรก แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ ช่วงนี้องค์กรมีงานใหญ่สัปดาห์สุดท้ายจะติดต่อกลับมาอีกครั้ง ทำให้ผมกัดฟันทนต่อไปอีกสามสัปดาห์จนล่วงเข้ากันยายน จนแล้วจนรอดก็ไม่มีการติดต่อกลับมาอีก
สุดท้ายหลังจากรอจนรอไม่ไหวเพราะทั้งเนื้อทั้งตัวเหลืออยู่แค่ 200 ผมก็ต้องเป็นฝ่ายติดต่อกลับไปเองอีกครั้งและบอกว่าผมกำลังลำบากมาก แต่คำตอบที่ได้ทำเอาผมสะท้านจริง ๆ
เขาบอกว่าตอนนี้หัวหน้ากำลังอ่านบทความที่ผมเขียนและบทที่ 1
ใช่ครับบทความและบทที่ 1 ทั้ง ๆ ที่ผมส่งไปแล้ว 5 บท และส่งบทความไปตั้งแต่3เดือนที่แล้ว แต่เขาเพิ่งอ่าน (ในใจผมดังขึ้นทันทีแล้วที่ผ่านมาที่โดนเร่งงานยิก ๆ บอกว่าจะให้เสร็จภายในเดือนกันยายนนั้นคืออะไรกัน) ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือเขาบอกว่าหัวหน้าจะรอพิจารณาบทความและบทที่ 1 ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยตกลงคุยเรื่องการจ่ายเงินซึ่งผมไม่สามารถเบิกได้ภายใน2-3สัปดาห์นี้แน่นอน (นั่นหมายความว่าเขาไม่เคยวางแผนเรื่องการจ่ายเงินไว้เลย)
สรุปแล้วผมทำงานเปล่ามาตลอด 3 เดือน โดยที่ถูกเร่งให้ทำงานงก ๆ แต่คนจ้างกลับไม่ยอมอ่านและดึงเช็งไม่ยอมจ่ายเงินให้
ตอนนั้นจุดเดือดของผมทะลุปรอทจนแตกละเอียดจริง ๆ ครับ ลงอารมณ์ไปเต็ม ๆ และไล่จี้ความโหลยโท่ยการทำงานของเขาที่ผมเคยทนไว้ทีละจุด ๆ จนสุดท้ายทางนั้นบอกให้ทำใบเสนอราคามา และพอผมเสนอราคาไปกลับโดนตัดลดลงครึ่งหนึ่งด้วยเหตุผลว่ามีงบอยู่เท่านี้ ซึ่งถ้าคิดราคาหารออกมาแล้วค่าตัวผมเหลือแค่เดือนละ 5,000 บาท ราคาน้อยกว่าแรงงานขั้นต่ำด้วยซ้ำไป
ถึงจุดนี้ผมทำอะไรเขาไม่ได้เพราะไม่มีสัญญา ไม่เคยคุยเรื่องเงินกันมาก่อน จะเลิกทำก็เท่ากับทิ้งสิ่งที่เราสร้างไว้ให้สูญ จะทำก็แทบไม่เหลืออะไรไว้กิน ตอนนี้ผมกลายเป็นหมาจนตรอกที่เหลือเงินติดตัวใช้ในครอบครัวอีกแค่ 2 วันโดยที่คนว่าจ้างไม่สนใจอะไรเลย (ภรรยาผมไม่สบายครับช่วงนี้ทำงานไม่ค่อยได้) ตอนนี้มืดทั้งแปดด้านจริง ๆ ครับ ไม่รู้จะหาเงินจากไหนมากินใช้ต่อไปดี
ความไว้วางใจคนมากจนเกินไปและความประมาทฆ่าเราได้ทุกเมื่อ หวังว่าสิ่งที่ผมพบเจอจะเป็นอุทาหรณ์ให้กับฟรีแลนซ์ทุก ๆ คนไม่เจอกับความผิดพลาดแบบนี้อีกนะครับ
สำหรับผมจะจำจนวันตายเลยครับว่าความเกรงใจและไว้วางใจมันกินไม่ได้ ถ้าสัญญาไม่ลงตัว เงินยังไม่มาอย่าได้ขยับทำงานเด็ดขาด
ขอบคุณที่อ่านกันจนจบนะครับ
ปล.ตำหนิได้แต่อย่าแรงเลยนะครับน้อมรับทุกคำวิจารณ์จากใจ