โดยระบบดวงดาวส่วนใหญ่ในจักรวาลจะมีรูปแบบวงโคจรที่เหมือนๆกัน (star formation model) แต่ทว่าจักรวาลของเรามันกว้างใหญ่มากๆ ซึ่งก็ทำให้บางครั้งนักดาราศาสตร์ก็อาจพลาดบางสิ่งที่ แตกต่างกันออกไปจากฐานข้อมูลของพวกเขาที่มีอยู่แล้วเช่นกัน ซึ่งด้วยความแปลกใหม่ของการค้นพบนี้จึงทำให้เกิดความท้าทายใหม่ๆตามมาอีกหลังจากนี้ นั่นก็คือการไขความลับของจักรวาลเราที่เต็มไปด้วยปริศนามากมาย
“เฟเอธอน” ดาวประหลาดสีน้ำเงิน

(ภาพ-Heather Roper)
นักดาราศาสตร์ค้นพบ
“เฟเอธอน” ครั้งแรกเมื่อปี 1983 นับตั้งแต่บัดนั้นเรื่อยมาจนถึงขณะนี้ ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ยังคงสร้างความพิศวงให้กับนักดาราศาสตร์เรื่อยมา
“เฟเอธอน” มีความประหลาดอยู่ในตัวเองตั้งแต่แรกค้นพบ อย่างแรกสุดคือสีของดาวดวงนี้ซึ่งเป็นสีน้ำเงิน เพราะแสงที่สะท้อนออกมานั้นเป็นแสงในแถบสีน้ำเงินเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งแตกต่างออกไปจากดาวเคราะห์น้อยทั้งหลายที่ส่วนใหญ่แล้วมักมีสีเทาหรือแดงเข้มเกือบทั้งหมด แถมยังเป็นสีน้ำเงินเข้มที่สุดในบรรดาวเคราะห์น้อยสีน้ำเงินด้วยกันอีกต่างหาก
ประการถัดมา เฟเอธอนมีคุณสมบัติและแสดงพฤติกรรมบางอย่างออกมาคล้ายคลึงกับดาวหาง แต่ในขณะที่ดาวเคราะห์น้อยสีน้ำเงินนั้นหายากมากแล้ว ดาวหางเป็นยิ่งกว่า เพราะนักวิทยาศาสตร์ไม่เคยเจอดาวหางสีน้ำเงินมาก่อนเลยแม้แต่ดวงเดียว
เฟเอธอนเป็นแหล่งที่มาของฝนดาวตกเจมินิดส์ ซึ่งมักสังเกตเห็นได้ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเรื่อยไปจนถึงปลายเดือนธันวาคมเป็นประจำทุกปี นักดาราศาสตร์เชื่อว่า เฟเธออนคือดาวหางดวงหนึ่งซึ่งสิ้นอายุขัยและหมดพลังแล้ว
เฟเอธอนสามารถโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากๆ ได้ จนทำให้พื้นผิวของดาวเคราะห์น้อยดวงนี้มีอุณหภูมิสูงถึง 800 องศาเซลเซียส ซึ่งร้อนจัดขนาดทำให้อะลูมิเนียมหลอมเหลวได้ ความสามารถในการปล่อยฝุ่นละอองออกมาเป็นหางเมื่อโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด ทำให้เฟเอธอนเป็นดาวเคราะห์น้อยเพียงแค่ 1 ใน 2 ดวงเท่านั้นทั่วทั้งระบบสุริยะที่ทำเช่นนี้ได้
Cr.
https://www.matichon.co.th/lifestyle/tech/news_1216048
KIC 8462852) หรือดาวแทบบี
เป็นดาวที่นักดาราศาสตร์กล่าวกันว่าแปลกประหลาดพิลึกกึกกือที่สุดในดาราจักร และนับวันก็ยิ่งแปลกขึ้นทุกทีจนนักดาราศาสตร์ต่างพากันงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับดาวดวงนี้กันแน่
ดาวเคไอซี 8462852 เป็นดาวฤกษ์ชนิดเอฟ หรือมีชนิดสเปกตรัมเอฟ อยู่ในกลุ่มดาวหงส์ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2559 นักดาราศาสตร์ได้เปิดเผยถึงความแปลกประหลาดของดาวดวงนี้ นั่นคือพบว่าบางครั้งดาวดวงนี้ก็ลดความสว่างลงเป็นเวลาสั้น ๆ ราวไม่กี่วันหรืออาจนานหลายสัปดาห์ บางครั้งแสงสว่างอาจลดลงไปถึง 20 เปอร์เซ็นต์ นอกจากการหรี่แสงลงเป็นเวลาสั้น ๆ แล้ว ยังมีการหรี่แสงลงอย่างช้า ๆ ที่ใช้เวลาหลายปีร่วมอยู่ด้วย และเมื่อระหว่างวันที่ 19-21 ของเดือนพฤษภาคม 2560 ดาวดวงนี้ก็ลดความสว่างลงไปราว 2 อีกเปอร์เซ็นต์
ไม่มีใครอธิบายได้ว่าแสงสว่างของดาวแทบบีเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะนี้ได้อย่างไร
ดาวแทบบีเป็นดาวยักษ์ชนิดเอฟ ดาวจำพวกนี้มีการถ่ายเทความร้อนจากแก่นดาวออกสู่ภายนอกด้วยการแผ่รังสีเป็นหลัก ไม่ใช่การพาความร้อนที่เกิดจากการไหลเวียนของสสาร
Cr.
http://thaiastro.nectec.or.th/news/1085/
VVV-WIT-07

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 นักดาราศาสตร์ได้ค้นพบดาวดวงหนึ่งที่แสดงสมบัติคล้ายดาวแทบบี ดาวดวงนี้มีชื่อว่า วีวีวี-ดับเบิลยูไอที-07 (VVV-WIT-07) ค้นพบโดยคณะนักดาราศาสตร์ในชิลี นำโดย โรแบร์โต ไซโต จากมหาวิทยาลัยซันตาแคทารินาในโฟลเรียนอโปลิส ประเทศบราซิล คณะนักสำรวจของไซโตได้ใช้กล้องวิสตาในทะเลทรายอาตากามาตรวจหาซูเปอร์โนวา แต่กลับสังเกตว่าดาวดวงนี้มีกะพริบในแบบแปลก ๆ เมื่อตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง พบว่าดาวดวงนี้หรี่แสงลงและสว่างขึ้นเป็นระยะมาตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบัน และไม่มีรูปแบบที่แน่นอนเช่นเดียวกับดาวแทบบี
ขณะที่ดาวแทบบีหรี่แสงลงไป 22% ตั้งแต่เริ่มสังเกตการณ์มา แต่ดาววีวีวี-ดับเบิลยูไอที-07 หรี่แสงลงไปมากถึง 80%
นักดาราศาสตร์ยังไม่แน่ใจนักว่าดาวดวงนี้เป็นชนิดไหน เนื่องจากตำแหน่งของดาวอยู่ในระนาบทางช้างเผือกเมื่อมองจากโลก ฝุ่นจำนวนมากในระนาบได้บดบางแสงไปบางส่วน หากเป็นดาวแปรแสงอายุน้อย การหรี่แสงที่พบก็อาจเป็นเพียงกระบวนการภายในดาวเอง แต่หากไม่ใช่ ก็ต้องหาคำตอบกันต่อไป
นักดาราศาสตร์คณะของไซโตกำลังมีแผนที่จะสำรวจดาวดวงนี้เพิ่มเติม โดยมองหากล้องที่ใหญ่กว่า เช่นกล้องเจมิไนที่มีขนาดใหญ่ถึง 8.1 เมตร หรือเครือข่ายกล้องโทรทรรศน์วิทยุอัลมา เพื่อที่จะไขปัญหาให้ได้ว่าดาวดวงนี้หรี่แสงแบบนี้ได้อย่างไร
Cr.
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_1255002
HD 131399AB
ทีมนักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งเอริโซนา รัฐเอริโซนา สหรัฐอเมริกา ค้นพบระบบดาวประหลาดที่มีดาวฤกษ์ 3 ดวง กับดาวเคราะห์ที่เต็มไปด้วยก๊าซขนาดใหญ่กว่าดาวพฤหัสบดีถึง 4 เท่าตัว อยู่ห่างจากโลกออกไป 320 ปีแสงในบริเวณกลุ่มดาวเซนทอรัส ให้ชื่อรหัสว่าดาวเคราะห์ “เอชดี131399เอบี” มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ของโลกถึง 80 เปอร์เซ็นต์
สภาพโคจรที่แปลกประหลาดส่งผลให้หากเราขึ้นไปอยู่บนดาวเคราะห์เอช ดี131399เอบี เราจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นและตก 3 ครั้งต่อ 1 วันในบางช่วงของปี ส่วนที่เหลือเราก็จะอยู่ท่ามกลางแสงแดดจากดาวฤกษ์ดวงใดดวงหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ ดาวฤกษ์ทั้ง 3 ของระบบดาวประหลาดนี้สามารถจำแนกได้ชัดเจน เนื่องจากอุณหภูมิของมันแตกต่างกันออกไป ดวงที่อุณหภูมิต่ำสุดจะมีสีน้ำเงินมากกว่า ดวงที่อุ่นกว่าถัดมาจะเป็นสีเหลือง ส่วนที่อุณหภูมิสูงสุดจะแดงจัดกว่า
Cr.
http://toplinediamond.com/TabNews/TabNewsDetail/18964
NGTS-1b
ค้นพบดาวเคราะห์แปลกประหลาด คล้ายดาวพฤหัสบดี โดยการตรวจพบของกล้องโทรทรรศน์ Next Generation Transit Survey (NGTS) ตั้งอยู่ในทะเลทรายอาตากามา ประเทศชิลี เป็นกล้องที่ออกแบบมาเพื่อค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบที่เดินผ่านหน้าดาวฤกษ์ในระบบสุริยะของมัน
มันอยู่ห่างจากโลกประมาณ 600 ปีแสง นับเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดที่เคยค้นพบเมื่อเทียบกับดาวฤกษ์ที่มันโคจรรอบ ซึ่งดาวเคราะห์ NGTS-1b จะโคจรรอบดาวฤกษ์ของมันทุกๆ 2.6 วัน นั่นหมายความว่า 1 ปีบนดาวเคราะห์ดวงนี้มีระยะเวลาประมาณ 2 วันครึ่งเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์เผยว่าการดำรงอยู่ของดาวเคราะห์ NGTS-1b ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก เพราะแสดงให้เห็นว่ากฎที่นักวิทยาศาสตร์เคยคิดเกี่ยวกับการก่อตัวของดาวเคราะห์นั้นถูกหักล้างไป เนื่องจากเคยเชื่อว่าดาวฤกษ์ขนาดเล็กจะสามารถก่อกำเนิดดาวเคราะห์หินขนาดเล็กเท่านั้น ไม่ใช่ดาวเคราะห์ก๊าซขนาดใหญ่ยักษ์แบบนี้
Cr.
https://www.thairath.co.th/news/foreign/1120334
PH1
ดาวประหลาด มี พระอาทิตย์สี่ดวง (PH1)
ดาวเคราะห์ดวงนี้ได้รับการตั้งชื่อว่า PH1 เพื่อเป็นเกียรติแก่โครงการอาสาหาดาวเคราะห์ดวงใหม่ ๆ นำโดยมหาวิทยาลัยเยลในสหรัฐ เป็นกลุ่มแก๊สขนาดใหญ่ มีรัศมี 6.2 เท่าของโลก อยู่ห่างจากโลก 5,000 ปีแสง
ดาวเคราะห์PH1 โคจรรอบดวงอาทิตย์ 2 ดวง และมีดวงอาทิตย์อีก 2 ดวงที่มีมวล 1.5 เท่า และ 0.41 เท่าของดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะ โคจรรอบดาวPH1อีกที ใช้เวลาโคจร 138 วัน ส่วนดวงอาทิตย์อีก 2 ดวงโคจรรอบดาวเคราะห์ดวงนี้ เป็นระยะห่าง 1,000 เท่าของระยะห่างระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะ
ก่อนหน้านี้พบดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาว 2 ดวงเพียง 6 ดวง และไม่เคยมีดวงใดที่มีดาวอื่นโคจรรอบอีกที การค้นพบนี้ทำให้ต้องกลับไปศึกษาใหม่ว่าเหตุใดดาวเคราะห์หลายดวงจึงสามารถโคจรไปพร้อมกันเช่นนี้
Cr.
https://hilight.kapook.com/view/77392
การค้นพบดาวที่แปลกประหลาด
“เฟเอธอน” ดาวประหลาดสีน้ำเงิน
(ภาพ-Heather Roper)
นักดาราศาสตร์ค้นพบ “เฟเอธอน” ครั้งแรกเมื่อปี 1983 นับตั้งแต่บัดนั้นเรื่อยมาจนถึงขณะนี้ ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ยังคงสร้างความพิศวงให้กับนักดาราศาสตร์เรื่อยมา
“เฟเอธอน” มีความประหลาดอยู่ในตัวเองตั้งแต่แรกค้นพบ อย่างแรกสุดคือสีของดาวดวงนี้ซึ่งเป็นสีน้ำเงิน เพราะแสงที่สะท้อนออกมานั้นเป็นแสงในแถบสีน้ำเงินเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งแตกต่างออกไปจากดาวเคราะห์น้อยทั้งหลายที่ส่วนใหญ่แล้วมักมีสีเทาหรือแดงเข้มเกือบทั้งหมด แถมยังเป็นสีน้ำเงินเข้มที่สุดในบรรดาวเคราะห์น้อยสีน้ำเงินด้วยกันอีกต่างหาก
ประการถัดมา เฟเอธอนมีคุณสมบัติและแสดงพฤติกรรมบางอย่างออกมาคล้ายคลึงกับดาวหาง แต่ในขณะที่ดาวเคราะห์น้อยสีน้ำเงินนั้นหายากมากแล้ว ดาวหางเป็นยิ่งกว่า เพราะนักวิทยาศาสตร์ไม่เคยเจอดาวหางสีน้ำเงินมาก่อนเลยแม้แต่ดวงเดียว
เฟเอธอนเป็นแหล่งที่มาของฝนดาวตกเจมินิดส์ ซึ่งมักสังเกตเห็นได้ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเรื่อยไปจนถึงปลายเดือนธันวาคมเป็นประจำทุกปี นักดาราศาสตร์เชื่อว่า เฟเธออนคือดาวหางดวงหนึ่งซึ่งสิ้นอายุขัยและหมดพลังแล้ว
เฟเอธอนสามารถโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากๆ ได้ จนทำให้พื้นผิวของดาวเคราะห์น้อยดวงนี้มีอุณหภูมิสูงถึง 800 องศาเซลเซียส ซึ่งร้อนจัดขนาดทำให้อะลูมิเนียมหลอมเหลวได้ ความสามารถในการปล่อยฝุ่นละอองออกมาเป็นหางเมื่อโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด ทำให้เฟเอธอนเป็นดาวเคราะห์น้อยเพียงแค่ 1 ใน 2 ดวงเท่านั้นทั่วทั้งระบบสุริยะที่ทำเช่นนี้ได้
Cr.https://www.matichon.co.th/lifestyle/tech/news_1216048
KIC 8462852) หรือดาวแทบบี
เป็นดาวที่นักดาราศาสตร์กล่าวกันว่าแปลกประหลาดพิลึกกึกกือที่สุดในดาราจักร และนับวันก็ยิ่งแปลกขึ้นทุกทีจนนักดาราศาสตร์ต่างพากันงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับดาวดวงนี้กันแน่
ดาวเคไอซี 8462852 เป็นดาวฤกษ์ชนิดเอฟ หรือมีชนิดสเปกตรัมเอฟ อยู่ในกลุ่มดาวหงส์ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2559 นักดาราศาสตร์ได้เปิดเผยถึงความแปลกประหลาดของดาวดวงนี้ นั่นคือพบว่าบางครั้งดาวดวงนี้ก็ลดความสว่างลงเป็นเวลาสั้น ๆ ราวไม่กี่วันหรืออาจนานหลายสัปดาห์ บางครั้งแสงสว่างอาจลดลงไปถึง 20 เปอร์เซ็นต์ นอกจากการหรี่แสงลงเป็นเวลาสั้น ๆ แล้ว ยังมีการหรี่แสงลงอย่างช้า ๆ ที่ใช้เวลาหลายปีร่วมอยู่ด้วย และเมื่อระหว่างวันที่ 19-21 ของเดือนพฤษภาคม 2560 ดาวดวงนี้ก็ลดความสว่างลงไปราว 2 อีกเปอร์เซ็นต์
ไม่มีใครอธิบายได้ว่าแสงสว่างของดาวแทบบีเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะนี้ได้อย่างไร
ดาวแทบบีเป็นดาวยักษ์ชนิดเอฟ ดาวจำพวกนี้มีการถ่ายเทความร้อนจากแก่นดาวออกสู่ภายนอกด้วยการแผ่รังสีเป็นหลัก ไม่ใช่การพาความร้อนที่เกิดจากการไหลเวียนของสสาร
Cr.http://thaiastro.nectec.or.th/news/1085/
VVV-WIT-07
เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 นักดาราศาสตร์ได้ค้นพบดาวดวงหนึ่งที่แสดงสมบัติคล้ายดาวแทบบี ดาวดวงนี้มีชื่อว่า วีวีวี-ดับเบิลยูไอที-07 (VVV-WIT-07) ค้นพบโดยคณะนักดาราศาสตร์ในชิลี นำโดย โรแบร์โต ไซโต จากมหาวิทยาลัยซันตาแคทารินาในโฟลเรียนอโปลิส ประเทศบราซิล คณะนักสำรวจของไซโตได้ใช้กล้องวิสตาในทะเลทรายอาตากามาตรวจหาซูเปอร์โนวา แต่กลับสังเกตว่าดาวดวงนี้มีกะพริบในแบบแปลก ๆ เมื่อตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง พบว่าดาวดวงนี้หรี่แสงลงและสว่างขึ้นเป็นระยะมาตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบัน และไม่มีรูปแบบที่แน่นอนเช่นเดียวกับดาวแทบบี
ขณะที่ดาวแทบบีหรี่แสงลงไป 22% ตั้งแต่เริ่มสังเกตการณ์มา แต่ดาววีวีวี-ดับเบิลยูไอที-07 หรี่แสงลงไปมากถึง 80%
นักดาราศาสตร์ยังไม่แน่ใจนักว่าดาวดวงนี้เป็นชนิดไหน เนื่องจากตำแหน่งของดาวอยู่ในระนาบทางช้างเผือกเมื่อมองจากโลก ฝุ่นจำนวนมากในระนาบได้บดบางแสงไปบางส่วน หากเป็นดาวแปรแสงอายุน้อย การหรี่แสงที่พบก็อาจเป็นเพียงกระบวนการภายในดาวเอง แต่หากไม่ใช่ ก็ต้องหาคำตอบกันต่อไป
นักดาราศาสตร์คณะของไซโตกำลังมีแผนที่จะสำรวจดาวดวงนี้เพิ่มเติม โดยมองหากล้องที่ใหญ่กว่า เช่นกล้องเจมิไนที่มีขนาดใหญ่ถึง 8.1 เมตร หรือเครือข่ายกล้องโทรทรรศน์วิทยุอัลมา เพื่อที่จะไขปัญหาให้ได้ว่าดาวดวงนี้หรี่แสงแบบนี้ได้อย่างไร
Cr.https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_1255002
HD 131399AB
ทีมนักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งเอริโซนา รัฐเอริโซนา สหรัฐอเมริกา ค้นพบระบบดาวประหลาดที่มีดาวฤกษ์ 3 ดวง กับดาวเคราะห์ที่เต็มไปด้วยก๊าซขนาดใหญ่กว่าดาวพฤหัสบดีถึง 4 เท่าตัว อยู่ห่างจากโลกออกไป 320 ปีแสงในบริเวณกลุ่มดาวเซนทอรัส ให้ชื่อรหัสว่าดาวเคราะห์ “เอชดี131399เอบี” มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ของโลกถึง 80 เปอร์เซ็นต์
สภาพโคจรที่แปลกประหลาดส่งผลให้หากเราขึ้นไปอยู่บนดาวเคราะห์เอช ดี131399เอบี เราจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นและตก 3 ครั้งต่อ 1 วันในบางช่วงของปี ส่วนที่เหลือเราก็จะอยู่ท่ามกลางแสงแดดจากดาวฤกษ์ดวงใดดวงหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ ดาวฤกษ์ทั้ง 3 ของระบบดาวประหลาดนี้สามารถจำแนกได้ชัดเจน เนื่องจากอุณหภูมิของมันแตกต่างกันออกไป ดวงที่อุณหภูมิต่ำสุดจะมีสีน้ำเงินมากกว่า ดวงที่อุ่นกว่าถัดมาจะเป็นสีเหลือง ส่วนที่อุณหภูมิสูงสุดจะแดงจัดกว่า
Cr.http://toplinediamond.com/TabNews/TabNewsDetail/18964
NGTS-1b
ค้นพบดาวเคราะห์แปลกประหลาด คล้ายดาวพฤหัสบดี โดยการตรวจพบของกล้องโทรทรรศน์ Next Generation Transit Survey (NGTS) ตั้งอยู่ในทะเลทรายอาตากามา ประเทศชิลี เป็นกล้องที่ออกแบบมาเพื่อค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบที่เดินผ่านหน้าดาวฤกษ์ในระบบสุริยะของมัน
มันอยู่ห่างจากโลกประมาณ 600 ปีแสง นับเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดที่เคยค้นพบเมื่อเทียบกับดาวฤกษ์ที่มันโคจรรอบ ซึ่งดาวเคราะห์ NGTS-1b จะโคจรรอบดาวฤกษ์ของมันทุกๆ 2.6 วัน นั่นหมายความว่า 1 ปีบนดาวเคราะห์ดวงนี้มีระยะเวลาประมาณ 2 วันครึ่งเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์เผยว่าการดำรงอยู่ของดาวเคราะห์ NGTS-1b ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก เพราะแสดงให้เห็นว่ากฎที่นักวิทยาศาสตร์เคยคิดเกี่ยวกับการก่อตัวของดาวเคราะห์นั้นถูกหักล้างไป เนื่องจากเคยเชื่อว่าดาวฤกษ์ขนาดเล็กจะสามารถก่อกำเนิดดาวเคราะห์หินขนาดเล็กเท่านั้น ไม่ใช่ดาวเคราะห์ก๊าซขนาดใหญ่ยักษ์แบบนี้
Cr.https://www.thairath.co.th/news/foreign/1120334
PH1
ดาวประหลาด มี พระอาทิตย์สี่ดวง (PH1)
ดาวเคราะห์ดวงนี้ได้รับการตั้งชื่อว่า PH1 เพื่อเป็นเกียรติแก่โครงการอาสาหาดาวเคราะห์ดวงใหม่ ๆ นำโดยมหาวิทยาลัยเยลในสหรัฐ เป็นกลุ่มแก๊สขนาดใหญ่ มีรัศมี 6.2 เท่าของโลก อยู่ห่างจากโลก 5,000 ปีแสง
ดาวเคราะห์PH1 โคจรรอบดวงอาทิตย์ 2 ดวง และมีดวงอาทิตย์อีก 2 ดวงที่มีมวล 1.5 เท่า และ 0.41 เท่าของดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะ โคจรรอบดาวPH1อีกที ใช้เวลาโคจร 138 วัน ส่วนดวงอาทิตย์อีก 2 ดวงโคจรรอบดาวเคราะห์ดวงนี้ เป็นระยะห่าง 1,000 เท่าของระยะห่างระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะ
ก่อนหน้านี้พบดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาว 2 ดวงเพียง 6 ดวง และไม่เคยมีดวงใดที่มีดาวอื่นโคจรรอบอีกที การค้นพบนี้ทำให้ต้องกลับไปศึกษาใหม่ว่าเหตุใดดาวเคราะห์หลายดวงจึงสามารถโคจรไปพร้อมกันเช่นนี้
Cr.https://hilight.kapook.com/view/77392