
ในนี้มันช่างมืดเสียจริงๆ และยังร้อน ร้อนและร้อนมากๆ
อีกด้วย ที่แคบๆ อากาศที่ใช้หายใจมันช่างบางเบาเหลือเกิน
มันมืดขนานไหนนะหรอ มืดจนมองอะไรไม่เห็น แม้แต่มือ
ของตัวเอง มือที่มันกำลังระบมปวดแสบไปหมดทุกปลาย
นิ้ว เล็บทุกเล็บบนนิ้วมือ มันคงเปิดฉีกออกหมดไปแล้วทั้ง
สิบนิ้ว
นิ้วมือที่เป็นเช่นนี่ก็เป็นเพราะมาจากการที่พยายามจะ
ตะเกียกตะกายเพื่อที่จะเอาตัวรอดออกไปจากที่ตรงนี้ให้ได้
ลำคอที่แห้งผากจนไม่สามารถที่จะเปล่งเสียงร้องขอความ
ช่วยเหลืออะไรได้อีก
ในความมืดมิดที่เป็นอยู่ มันก็ยังมีบางสิ่งที่ทำให้รู้สึกกลัว
กลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น กลัวในสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร
กลัวในสิ่งที่ไม่รู้ว่าใครอยู่กับเรา
มีเพียงประสาทสัมผัสด้านการดมกลิ่นเท่านั้น ที่ทำให้รับรู้
ได้ว่า ผมไม่ได้อยู่คนเดียว กลิ่นที่เหม็นเน่า ดังซากศพ อีก
ทั้งกลิ่นอับและกลิ่นคาวน้ำเลือดน้ำหนอง คละคลุ้งไปทั่ว
ทำให้รู้ได้ว่า น่าจะมีอะไรไม่รู้อยู่ร่วมกัน ภายในความมืดมิด
ผมได้แต่ใช้มือคลำไปจนได้พบกับร่างทั้งสอง โดยไม่รู้เลย
ว่าร่างสองร่างเป็นใครกัน แต่ที่รู้ได้แน่ๆ คือเป็นร่างที่ไร้
ชีวิตและลมหายใจ มันเป็น ศพ!!
ซึ่งศพทั้งสองมี ความแตกต่างกัน ศพหนึ่งเมื่อลองจับ
สัมผัสดู มันเหมือนจะเป็นศพที่ตายมานานแล้ว ผิวหนังมัน
แห้งเหี่ยวแห้งจนผิวติดที่กระดูก
ส่วนอีกศพหนึ่ง ดูเหมือนมันกำลังจะเน่าและขึ้นอืด เพราะ
เมื่อมือที่จับสัมผัสไปที่ผิวหนังของศพ มันเน่าเปื่อย
หลุดลุ่ยจนแทบจะติดมือขึ้นมา ทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นเน่าลอย
ออกมาอย่างรุนแรง แรงจนทำให้
ผมอ้วกออกมาหลายต่อหลายครั้ง มันช่างแสนที่จะ ทรมาน
กับการที่จะต้องตกมาอยู่ในสภาพแบบนี้ การที่จะหาทาง
ออกจากไอ้ที่แคบๆ หรือจะหวังให้ใครมาช่วยมันช่างแสน
ที่จะสิ้นหวัง การทรมานกับความแคบความมืด ความกลัว
และกลิ่นที่เหม็นเน่า มานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แต่สำหรับ
ความทุกข์ทรมานในตอนนี้มันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน
ร่างกายที่กำลังอ่อนแรงและบอบช้ำมันไม่มีเรี่ยวแรง
พอที่จะต่อสู้และดิ้นรนที่จะออกไปจากความมืดมิดนี้ได้
เลย ลมหายใจที่แผ่วเบามันกำลังจะหมดลงในไม่ช้าเป็นแน่
การตายไปเสียก็คงจะทำให้ได้หลุดพ้นไปจากความทุกข์
เวทนาอันแสนสาหัสได้เสียที
ในขณะที่ลมหายใจกำลังจะหมดลง ผมก็ได้แต่นึกย้อนกลับ
ไปถึงเรื่องราวต่างๆ ว่าเป็นเพราะเวรกรรมอันใดเล่า มันถึง
ได้มาส่งผลให้ต้อง มาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
อากาศในตอนเช้าของเมืองหลวง วันนี้สดชื่นและสดใส
แสงแดดอ่อนๆ และสายลมที่พัดมาแผ่วเบามา กระทบที่
ใบหน้ามันช่างเป็นช่วงเวลาที่ดี สำหรับ มนุษย์เงินเดือนอย่างผม
ผมมักจะขึ้นมายืนมองวิวพลางจิบกาแฟและสูบบุหรี่ในมุม
โปรดบนดาดฟ้าของตัวตึกที่ทำงานอยู่ เป็นประจำ เพื่อมอง
ลงมาจากมุมสูง ก็จะได้เห็น ความสวยงามของเมืองหลวง และสายลมที่พัดมาเบาๆ ตลอดเวลามันทำให้รู้สึกผ่อน
คลาย สบายใจดีก่อนที่จะเริ่มเข้าไปทำงานอันแสนจะน่าเบื่อ
ผมทำงานอยู่ ชั้นที่สามสิบของตึก ซึ่งเป็นชั้นบนสุด ชั้นที่
สามสิบก็จะถูกกั้นแบ่งให้เช่าเป็นพื้นที่ สำหรับบริษัทต่างๆ
มาเช่าเพื่อทำเป็นออฟฟิศ ถัดขึ้นไปจากชั้นสามสิบจะเป็น
ในส่วนของบริเวณดาดฟ้าตึก ที่นั่นก็มักจะเป็นที่ของสิงห์
อมควัน อันที่จริงในตัวตึกก็มีพื้นที่ให้สำหรับสูบบุหรี่ได้
เป็นห้องของสิงห์อมควันที่ทำงานร่วมกันบนชั้นสามสิบ
แต่ผมกลับชอบมุมส่วนตัวบนดาดฟ้านี้เสียมากกว่า มันทำ
ให้ได้รู้สึกผ่อนคลายได้ดีกว่าห้องสูบบุหรี่ในตัวตึกที่แออัด
บริเวณโดยรอบของดาดฟ้า เป็นพื้นที่โล่งๆ จะมี
คอมเพรสเซอร์แอร์วางอยู่บ้าง จุดที่สูงที่สุดของดาดฟ้า
ที่ขึ้นมาได้จริงๆ จะเป็นบริเวณที่วางแท็งก์น้ำ ซึ่งก็มีวางอยู่
ด้วยกันหลายต่อหลายแท็งก์
แท็งก์ที่ผมจะชอบปีนขึ้นมานั่งชมวิวที่สุด นั้นจะเป็น
แท็งก์น้ำเก่าๆ ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว มันเป็นแท็งก์เหล็กชุบ
สังกะสี รูปทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่สูงขึ้นไปมาณสามเมตร
กว่าๆ เห็นจะได้ มันใหญ่พอที่จะให้คนเข้าไปอยู่ข้างในได้
ผมเองชอบที่จะปีนบันไดขึ้นมา ด้านบนของแท็งก์ เพื่อมา
หาความสุขสำราญเล็กๆ น้อยๆ บนนี้อยู่นี้เสมอๆ
ที่ดีๆ วิวมุมสูงแบบนี้ ไม่ใช่มีแค่ผมเพียงคนเดียวที่
จะขึ้นมาชื่นชมวิวอันสวยงาม พี่ยุทธกับพี่ชัย พี่สองคนที่
ทำงานในออฟฟิศชั้นที่สามสิบของตึก ก็มักจะขึ้นมา
เหมือนกัน กับผม พวกเราต่างคนก็ต่างทำงานกันคนละ
บริษัทแต่เราทั้งสามคนก็มักจะขึ้นมาสูบบุหรี่ และพูดคุย
กันถึงเรื่องราวต่างๆ ตามประสาชายโสด ด้วยความที่มี
อะไรหลายๆ อย่างคล้ายๆ กันมันจึงทำให้พวกเรา สนิท
สนมกันในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อจนถึงกับต้อง
เป็นเพื่อนกันในสังคมโซเชียลมีเดีย หรือต้องมีการพบปะ
สังสรรค์กันหลังเลิกงาน ไม่เลยพวกเราเป็นเพื่อนที่สนิท
กันแค่บนแท็งก์น้ำเก่าๆ ของดาดฟ้าตึกเท่านั้น แต่หลังจาก
ที่ต่างคน ลงจากตรงนี้ไปแล้วพวกเราไม่ได้สานสัมพันธ์
อะไรกันมากมายก็มีแต่ทักทายพูดคุยกันบ้างเมื่อเจอกัน
ตามที่ต่างๆ ในตัวตึก
เวลาของการรวมตัวกันแบบไม่ต้องนัดหมายของพวกเรา
ทั้งสามคน บนดาดฟ้า ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน ก็
มักจะเป็นช่วงเย็นหลังจากเลิกงาน ด้วยความที่ในใจกลาง
เมืองหลังเวลาเลิกงาน มันเป็นเหมือนกับผึ้งแตกรัง
พนักงานในหลายๆ บริษัทต่างก็จะเลิกงานพร้อมๆ กัน จึง
ทำให้เป็นช่วงเวลาโกลาหล ต่างคนก็จะต้องแก่งแย่งกันใช้
บริการระบบขนส่งสาธารณะกันน่าดู แค่ออกไปต่อคิวรอ
ใช้บริการก็นานรวมๆ เป็นชั่วโมง ไหนจะต้องออกมาแล้ว
ต้องเจอกับปัญหาการจราจรที่ติดขัดอีกด้วย
เมื่อสถานการณ์มันบังคับให้เป็นเช่นนี้ การออกจาก
ออฟฟิศหลังเลิกงานช้ากว่าปกติสักชั่วโมงสองชั่วโมง มันก็
ทำให้พวกเราหลีกเลี่ยงการจราจรที่แออัดไปได้
“พี่ยุทธ พี่ชัย วันหยุดยาวช่วงสงกรานต์นี้พวกพี่ไปเที่ยว
ไหนกัน” ผมโปรยประโยคคำถามที่แสนจะยอดฮิตใน
ช่วงเวลานี้
“คงไม่ได้ไปไหนหรอก คงเก็บตัวอยู่ที่ห้องพักนี้แหละขี้
เกียจไปไหนช่วงเทศกาลไม่อยากไปไหน คนมันเยอะแย่ง
กันกินแย่งกันเที่ยว พี่ไม่ค่อยชอบ อยู่ในเมืองดีกว่าช่วง
เทศกาล เที่ยวอยู่ในเมืองมันก็ดีนะเหมือนได้อยู่ในเมืองร้าง
เลย เงียบสงบดีรถก็ไม่ติดด้วยไม่วุ่นวายดี”
พี่ยุทธตอบกับผมด้วยท่าทีสบายๆ
“กลับบ้าน นะสิ โคตรเบื่อเลยรถติดแน่ๆ งานพี่ก็เยอะซะ
ด้วยเลิกงานเกือบสองทุ่มทุกวัน รีบเร่งปั่นทำงานให้เสร็จ
จะได้รีบกลับบ้านก่อนช่วงก่อนสงกรานต์เพื่อหนีรถติด”
พี่ชัยตอบผมด้วยท่าที ที่ดูเซ็งๆ เมื่อพูดถึงการที่จะต้องกลับ
บ้านในช่วงสงกรานต์
“แล้วเราล่ะจะไปเที่ยวไหน นพ “
พี่ยุทธถามผม
“ก็คงไม่ไปไหนหรอกพี่ อยากนอนพักอยู่ที่บ้านดีกว่า ผมก็
เหมือนพี่ยุทธนั่นแหละไม่อยากไปไหนในช่วงเทศกาล
แถมวันหยุดยาวก็ไม่รู้จะได้พักรึเปล่า อาจจะต้องเอางาน
กลับไปทำที่บ้านอีกด้วยน่ะสิ” ผมตอบพี่ยุทไป ก่อนที่ผม
จะถอนหายใจยาวออกไป เมื่อต้องคิดถึงวันหยุดแล้วยังคง
ต้องเอางานกลับไปทำที่บ้าน
ในเย็นวันสุดท้ายของการทำงาน พวกเราทั้งสามคน
ยังคงพูดคุยกันต่อไปอีกพักใหญ่ ก่อนที่ต่างคนจะแยกย้าย
กันไปใช้เวลาในช่วงวันหยุดยาวในแบบของแต่ละคน
“ผมขอตัวกลับก่อนนะพี่ ยังไงพี่ชัยขับรถกลับบ้านก็ขอให้
เดินทางกลับอย่างปลอดภัยนะพี่ พี่ยุทธวันหยุดยาว ได้นอน
พักผ่อนสบายน่าอิจฉาจริงๆ”
ผมพูดออกไปโดยไม่รู้เลยว่านี่จะเป็นประโยคสุดท้ายที่ จะ
ได้คุยเล่นพร้อมๆ กันทั้งสามคน
ผมเดินออกมาจากวงสนทนาเพื่อที่จะกลับบ้าน ก่อนที่จะ
เดินลงจากดาดฟ้าผมหันกลับไปมองและโบกมือเพื่อเป็น
การส่งลา ให้กับพี่ๆ ทั้งสองคน ที่ยังคงยืนคุยกันอยู่บน
แท็งก์น้ำ
หลังจากวันหยุดยาวได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว วงจรชีวิตก็
กลับเข้ามาวนอยู่ในโหมดแห่งการทำงานอีกเหมือนเดิม
แต่ที่น่าแปลก วันสองวันที่ผ่านมากลับไม่พบพี่ๆ ทั้งสอง
คนเลย ได้แต่ว่าสงสัยพี่ยุทธกับพี่ชัยก็คงหยุดต่อเนื่อง เป็น
แน่ หรือไม่งานก็อาจจะยุ่ง ไม่มีเวลาขึ้นมาก็เป็นได้
จนในปลายสัปดาห์ของการทำงาน ช่วงหัวค่ำ ของวันนั้น
ผมก็ได้พบกลับพี่ชัย บนดาดฟ้าในที่ประจำของพวกเรา
“อ้าวพี่ชัยหายหน้าไปไหนมาหลังสงกรานต์ไม่เจอกันเลย
นะ”
ผมกล่าวคำทักทายไปตามประสาของคนที่ไม่ได้เจอกัน แต่
พี่ชัยกลับไม่ได้ตอบอะไร เขาได้แต่ยืนนิ่งๆ และก้มหน้า
มองลงที่พื้นมันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ กับท่าทีของพี่ชัย
“ร้อน............อึดอัดจังเลยนพ”
เสียงที่เย็นชา ของพี่ชัยตอบออกมาเบาๆ
“อะไรนะพี่? บนดาดฟ้า แบบนี้ลมพัดเย็นดีออกจะร้อนได้
ยังไงกัน”
ผมพูดออกไป และเริ่มสงสัยในคำพูดแปลกๆ ของพี่ชัย
หรือว่าพี่เขาจะไม่สบาย
“ร้อน............อึดอัดจังเลย...... นพ” น้ำเสียงอันแหบแห้ง
และเย็นชาของพี่ชัย ที่พูดซ้ำในประโยคเดิม มันทำให้รู้สึก
ขนลุกไปทั้งตัว แต่ที่ทำให้ต้องรู้สึกตกใจกลัว มากยิ่งไป
กว่าเมื่อพี่ชัยเงยหน้าขึ้นมา และจ้องมองมาที่ตาผม ใบหน้า
ซีดเซียวและแห้งกร้าน ริมฝีปากที่แห้งแตกออกมาเป็นแผ่น
เหมือนกับคนที่ไม่ได้ดื่มน้ำมาหลายวัน ใบหน้าของพี่ชัยที่
ผมไม่คุ้นเคย กำลังยืนมองและจ้องมาที่ตาของผม อย่างไม่
กะพริบ มันทำให้ความผู้รู้สึกกระอักกระอ่วน
และอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก โลกในตอนนี้มันเหมือนดับ
สนิทไป มันไม่มีอะไรอยู่รอบๆ ตัวเลยนอกจากใบหน้าและ
ดวงตาของพี่ชัยที่กำลังจ้องมองผมอยู่
“พี่....ชัยไม่สบายรึเปล่า หน้าพี่ดูแปลกๆ ไปนะ”
ผมถามออกไปเมื่อหลุดออกจากภวังค์แห่งความอึดอัดนั้น
ออกมาได้
“นพ........พี่....ไปก่อนนะ”
พี่ชัยตอบและหันหลังเดินกลับลงไปจากบนแท็งก์น้ำ
ปล่อยให้ผมยืนงุนงงสงสัยในท่าทีและคำพูดแปลกๆ
พี่ชัยเดินลงจากแท็งก์น้ำไปอย่างช้าๆ เพื่อที่จะไปที่ประตู
ทางลงของดาดฟ้า แต่มันก็ยิ่งทำให้ผมแปลกใจ เมื่อเห็นที่
หลังของพี่ชัย ชุดที่พี่ชัยใส่ มันทำไมดูเหมือนจะเปียกชุ่ม
ไปด้วยน้ำเหงื่อท่วมไปทั้งตัว สงสัยที่แกบ่นว่าร้อนและอึด
อัดแกคงจะไม่สบาย
“พี่ชัยถ้าพี่ไม่สบายก็พักผ่อนให้เยอะๆ นะพรุ่งนี้ก็เป็น
วันหยุดแล้ว” เสียงคำบอกลาของผมตะโกนบอกพี่ชัย
ก่อนที่พี่ชัยจะเดินไปถึงประตูทางลงดาดฟ้าพี่ชัยหันกลับมา
มองผมด้วยแววตาที่ดูสุดแสนจะเศร้าหมอง
ประตูทางขึ้นลงดาดฟ้าถูกเปิดออก น่าจะมีใครสักคนกำลัง
เดินขึ้นมา
พี่ยุทธ เดินออกมาจากประตู พร้อมทั้งกับพี่ชัยก็กำลังเดิน
สวนลงไป แต่ก็แปลก ที่พี่ยุทธและพี่ชัย ต่างเดินสวนทาง
กันแต่กลับไม่ได้ทักทายกันแต่อย่างใด
“พี่ยุทธ พี่ชัยดูแปลกๆ ไปนะตั้งแต่กลับมาจากช่วงวันหยุด
ยาว”
บทสนทนาของผมเริ่มต้นขึ้นเมื่อพี่ชัย ปีนบันไดขึ้นมาบน
แท็งก์น้ำเสร็จ
“แปลกยังไงวะ????”
พี่ยุทธตอบกลับมาด้วยความสงสัย
นิยายตื่นเต้นสยองขวัญ เรื่อง กลิ่นในที่แคบ
ในนี้มันช่างมืดเสียจริงๆ และยังร้อน ร้อนและร้อนมากๆ
อีกด้วย ที่แคบๆ อากาศที่ใช้หายใจมันช่างบางเบาเหลือเกิน
มันมืดขนานไหนนะหรอ มืดจนมองอะไรไม่เห็น แม้แต่มือ
ของตัวเอง มือที่มันกำลังระบมปวดแสบไปหมดทุกปลาย
นิ้ว เล็บทุกเล็บบนนิ้วมือ มันคงเปิดฉีกออกหมดไปแล้วทั้ง
สิบนิ้ว
นิ้วมือที่เป็นเช่นนี่ก็เป็นเพราะมาจากการที่พยายามจะ
ตะเกียกตะกายเพื่อที่จะเอาตัวรอดออกไปจากที่ตรงนี้ให้ได้
ลำคอที่แห้งผากจนไม่สามารถที่จะเปล่งเสียงร้องขอความ
ช่วยเหลืออะไรได้อีก
ในความมืดมิดที่เป็นอยู่ มันก็ยังมีบางสิ่งที่ทำให้รู้สึกกลัว
กลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น กลัวในสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร
กลัวในสิ่งที่ไม่รู้ว่าใครอยู่กับเรา
มีเพียงประสาทสัมผัสด้านการดมกลิ่นเท่านั้น ที่ทำให้รับรู้
ได้ว่า ผมไม่ได้อยู่คนเดียว กลิ่นที่เหม็นเน่า ดังซากศพ อีก
ทั้งกลิ่นอับและกลิ่นคาวน้ำเลือดน้ำหนอง คละคลุ้งไปทั่ว
ทำให้รู้ได้ว่า น่าจะมีอะไรไม่รู้อยู่ร่วมกัน ภายในความมืดมิด
ผมได้แต่ใช้มือคลำไปจนได้พบกับร่างทั้งสอง โดยไม่รู้เลย
ว่าร่างสองร่างเป็นใครกัน แต่ที่รู้ได้แน่ๆ คือเป็นร่างที่ไร้
ชีวิตและลมหายใจ มันเป็น ศพ!!
ซึ่งศพทั้งสองมี ความแตกต่างกัน ศพหนึ่งเมื่อลองจับ
สัมผัสดู มันเหมือนจะเป็นศพที่ตายมานานแล้ว ผิวหนังมัน
แห้งเหี่ยวแห้งจนผิวติดที่กระดูก
ส่วนอีกศพหนึ่ง ดูเหมือนมันกำลังจะเน่าและขึ้นอืด เพราะ
เมื่อมือที่จับสัมผัสไปที่ผิวหนังของศพ มันเน่าเปื่อย
หลุดลุ่ยจนแทบจะติดมือขึ้นมา ทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นเน่าลอย
ออกมาอย่างรุนแรง แรงจนทำให้
ผมอ้วกออกมาหลายต่อหลายครั้ง มันช่างแสนที่จะ ทรมาน
กับการที่จะต้องตกมาอยู่ในสภาพแบบนี้ การที่จะหาทาง
ออกจากไอ้ที่แคบๆ หรือจะหวังให้ใครมาช่วยมันช่างแสน
ที่จะสิ้นหวัง การทรมานกับความแคบความมืด ความกลัว
และกลิ่นที่เหม็นเน่า มานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แต่สำหรับ
ความทุกข์ทรมานในตอนนี้มันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน
ร่างกายที่กำลังอ่อนแรงและบอบช้ำมันไม่มีเรี่ยวแรง
พอที่จะต่อสู้และดิ้นรนที่จะออกไปจากความมืดมิดนี้ได้
เลย ลมหายใจที่แผ่วเบามันกำลังจะหมดลงในไม่ช้าเป็นแน่
การตายไปเสียก็คงจะทำให้ได้หลุดพ้นไปจากความทุกข์
เวทนาอันแสนสาหัสได้เสียที
ในขณะที่ลมหายใจกำลังจะหมดลง ผมก็ได้แต่นึกย้อนกลับ
ไปถึงเรื่องราวต่างๆ ว่าเป็นเพราะเวรกรรมอันใดเล่า มันถึง
ได้มาส่งผลให้ต้อง มาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
อากาศในตอนเช้าของเมืองหลวง วันนี้สดชื่นและสดใส
แสงแดดอ่อนๆ และสายลมที่พัดมาแผ่วเบามา กระทบที่
ใบหน้ามันช่างเป็นช่วงเวลาที่ดี สำหรับ มนุษย์เงินเดือนอย่างผม
ผมมักจะขึ้นมายืนมองวิวพลางจิบกาแฟและสูบบุหรี่ในมุม
โปรดบนดาดฟ้าของตัวตึกที่ทำงานอยู่ เป็นประจำ เพื่อมอง
ลงมาจากมุมสูง ก็จะได้เห็น ความสวยงามของเมืองหลวง และสายลมที่พัดมาเบาๆ ตลอดเวลามันทำให้รู้สึกผ่อน
คลาย สบายใจดีก่อนที่จะเริ่มเข้าไปทำงานอันแสนจะน่าเบื่อ
ผมทำงานอยู่ ชั้นที่สามสิบของตึก ซึ่งเป็นชั้นบนสุด ชั้นที่
สามสิบก็จะถูกกั้นแบ่งให้เช่าเป็นพื้นที่ สำหรับบริษัทต่างๆ
มาเช่าเพื่อทำเป็นออฟฟิศ ถัดขึ้นไปจากชั้นสามสิบจะเป็น
ในส่วนของบริเวณดาดฟ้าตึก ที่นั่นก็มักจะเป็นที่ของสิงห์
อมควัน อันที่จริงในตัวตึกก็มีพื้นที่ให้สำหรับสูบบุหรี่ได้
เป็นห้องของสิงห์อมควันที่ทำงานร่วมกันบนชั้นสามสิบ
แต่ผมกลับชอบมุมส่วนตัวบนดาดฟ้านี้เสียมากกว่า มันทำ
ให้ได้รู้สึกผ่อนคลายได้ดีกว่าห้องสูบบุหรี่ในตัวตึกที่แออัด
บริเวณโดยรอบของดาดฟ้า เป็นพื้นที่โล่งๆ จะมี
คอมเพรสเซอร์แอร์วางอยู่บ้าง จุดที่สูงที่สุดของดาดฟ้า
ที่ขึ้นมาได้จริงๆ จะเป็นบริเวณที่วางแท็งก์น้ำ ซึ่งก็มีวางอยู่
ด้วยกันหลายต่อหลายแท็งก์
แท็งก์ที่ผมจะชอบปีนขึ้นมานั่งชมวิวที่สุด นั้นจะเป็น
แท็งก์น้ำเก่าๆ ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว มันเป็นแท็งก์เหล็กชุบ
สังกะสี รูปทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่สูงขึ้นไปมาณสามเมตร
กว่าๆ เห็นจะได้ มันใหญ่พอที่จะให้คนเข้าไปอยู่ข้างในได้
ผมเองชอบที่จะปีนบันไดขึ้นมา ด้านบนของแท็งก์ เพื่อมา
หาความสุขสำราญเล็กๆ น้อยๆ บนนี้อยู่นี้เสมอๆ
ที่ดีๆ วิวมุมสูงแบบนี้ ไม่ใช่มีแค่ผมเพียงคนเดียวที่
จะขึ้นมาชื่นชมวิวอันสวยงาม พี่ยุทธกับพี่ชัย พี่สองคนที่
ทำงานในออฟฟิศชั้นที่สามสิบของตึก ก็มักจะขึ้นมา
เหมือนกัน กับผม พวกเราต่างคนก็ต่างทำงานกันคนละ
บริษัทแต่เราทั้งสามคนก็มักจะขึ้นมาสูบบุหรี่ และพูดคุย
กันถึงเรื่องราวต่างๆ ตามประสาชายโสด ด้วยความที่มี
อะไรหลายๆ อย่างคล้ายๆ กันมันจึงทำให้พวกเรา สนิท
สนมกันในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อจนถึงกับต้อง
เป็นเพื่อนกันในสังคมโซเชียลมีเดีย หรือต้องมีการพบปะ
สังสรรค์กันหลังเลิกงาน ไม่เลยพวกเราเป็นเพื่อนที่สนิท
กันแค่บนแท็งก์น้ำเก่าๆ ของดาดฟ้าตึกเท่านั้น แต่หลังจาก
ที่ต่างคน ลงจากตรงนี้ไปแล้วพวกเราไม่ได้สานสัมพันธ์
อะไรกันมากมายก็มีแต่ทักทายพูดคุยกันบ้างเมื่อเจอกัน
ตามที่ต่างๆ ในตัวตึก
เวลาของการรวมตัวกันแบบไม่ต้องนัดหมายของพวกเรา
ทั้งสามคน บนดาดฟ้า ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน ก็
มักจะเป็นช่วงเย็นหลังจากเลิกงาน ด้วยความที่ในใจกลาง
เมืองหลังเวลาเลิกงาน มันเป็นเหมือนกับผึ้งแตกรัง
พนักงานในหลายๆ บริษัทต่างก็จะเลิกงานพร้อมๆ กัน จึง
ทำให้เป็นช่วงเวลาโกลาหล ต่างคนก็จะต้องแก่งแย่งกันใช้
บริการระบบขนส่งสาธารณะกันน่าดู แค่ออกไปต่อคิวรอ
ใช้บริการก็นานรวมๆ เป็นชั่วโมง ไหนจะต้องออกมาแล้ว
ต้องเจอกับปัญหาการจราจรที่ติดขัดอีกด้วย
เมื่อสถานการณ์มันบังคับให้เป็นเช่นนี้ การออกจาก
ออฟฟิศหลังเลิกงานช้ากว่าปกติสักชั่วโมงสองชั่วโมง มันก็
ทำให้พวกเราหลีกเลี่ยงการจราจรที่แออัดไปได้
“พี่ยุทธ พี่ชัย วันหยุดยาวช่วงสงกรานต์นี้พวกพี่ไปเที่ยว
ไหนกัน” ผมโปรยประโยคคำถามที่แสนจะยอดฮิตใน
ช่วงเวลานี้
“คงไม่ได้ไปไหนหรอก คงเก็บตัวอยู่ที่ห้องพักนี้แหละขี้
เกียจไปไหนช่วงเทศกาลไม่อยากไปไหน คนมันเยอะแย่ง
กันกินแย่งกันเที่ยว พี่ไม่ค่อยชอบ อยู่ในเมืองดีกว่าช่วง
เทศกาล เที่ยวอยู่ในเมืองมันก็ดีนะเหมือนได้อยู่ในเมืองร้าง
เลย เงียบสงบดีรถก็ไม่ติดด้วยไม่วุ่นวายดี”
พี่ยุทธตอบกับผมด้วยท่าทีสบายๆ
“กลับบ้าน นะสิ โคตรเบื่อเลยรถติดแน่ๆ งานพี่ก็เยอะซะ
ด้วยเลิกงานเกือบสองทุ่มทุกวัน รีบเร่งปั่นทำงานให้เสร็จ
จะได้รีบกลับบ้านก่อนช่วงก่อนสงกรานต์เพื่อหนีรถติด”
พี่ชัยตอบผมด้วยท่าที ที่ดูเซ็งๆ เมื่อพูดถึงการที่จะต้องกลับ
บ้านในช่วงสงกรานต์
“แล้วเราล่ะจะไปเที่ยวไหน นพ “
พี่ยุทธถามผม
“ก็คงไม่ไปไหนหรอกพี่ อยากนอนพักอยู่ที่บ้านดีกว่า ผมก็
เหมือนพี่ยุทธนั่นแหละไม่อยากไปไหนในช่วงเทศกาล
แถมวันหยุดยาวก็ไม่รู้จะได้พักรึเปล่า อาจจะต้องเอางาน
กลับไปทำที่บ้านอีกด้วยน่ะสิ” ผมตอบพี่ยุทไป ก่อนที่ผม
จะถอนหายใจยาวออกไป เมื่อต้องคิดถึงวันหยุดแล้วยังคง
ต้องเอางานกลับไปทำที่บ้าน
ในเย็นวันสุดท้ายของการทำงาน พวกเราทั้งสามคน
ยังคงพูดคุยกันต่อไปอีกพักใหญ่ ก่อนที่ต่างคนจะแยกย้าย
กันไปใช้เวลาในช่วงวันหยุดยาวในแบบของแต่ละคน
“ผมขอตัวกลับก่อนนะพี่ ยังไงพี่ชัยขับรถกลับบ้านก็ขอให้
เดินทางกลับอย่างปลอดภัยนะพี่ พี่ยุทธวันหยุดยาว ได้นอน
พักผ่อนสบายน่าอิจฉาจริงๆ”
ผมพูดออกไปโดยไม่รู้เลยว่านี่จะเป็นประโยคสุดท้ายที่ จะ
ได้คุยเล่นพร้อมๆ กันทั้งสามคน
ผมเดินออกมาจากวงสนทนาเพื่อที่จะกลับบ้าน ก่อนที่จะ
เดินลงจากดาดฟ้าผมหันกลับไปมองและโบกมือเพื่อเป็น
การส่งลา ให้กับพี่ๆ ทั้งสองคน ที่ยังคงยืนคุยกันอยู่บน
แท็งก์น้ำ
หลังจากวันหยุดยาวได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว วงจรชีวิตก็
กลับเข้ามาวนอยู่ในโหมดแห่งการทำงานอีกเหมือนเดิม
แต่ที่น่าแปลก วันสองวันที่ผ่านมากลับไม่พบพี่ๆ ทั้งสอง
คนเลย ได้แต่ว่าสงสัยพี่ยุทธกับพี่ชัยก็คงหยุดต่อเนื่อง เป็น
แน่ หรือไม่งานก็อาจจะยุ่ง ไม่มีเวลาขึ้นมาก็เป็นได้
จนในปลายสัปดาห์ของการทำงาน ช่วงหัวค่ำ ของวันนั้น
ผมก็ได้พบกลับพี่ชัย บนดาดฟ้าในที่ประจำของพวกเรา
“อ้าวพี่ชัยหายหน้าไปไหนมาหลังสงกรานต์ไม่เจอกันเลย
นะ”
ผมกล่าวคำทักทายไปตามประสาของคนที่ไม่ได้เจอกัน แต่
พี่ชัยกลับไม่ได้ตอบอะไร เขาได้แต่ยืนนิ่งๆ และก้มหน้า
มองลงที่พื้นมันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ กับท่าทีของพี่ชัย
“ร้อน............อึดอัดจังเลยนพ”
เสียงที่เย็นชา ของพี่ชัยตอบออกมาเบาๆ
“อะไรนะพี่? บนดาดฟ้า แบบนี้ลมพัดเย็นดีออกจะร้อนได้
ยังไงกัน”
ผมพูดออกไป และเริ่มสงสัยในคำพูดแปลกๆ ของพี่ชัย
หรือว่าพี่เขาจะไม่สบาย
“ร้อน............อึดอัดจังเลย...... นพ” น้ำเสียงอันแหบแห้ง
และเย็นชาของพี่ชัย ที่พูดซ้ำในประโยคเดิม มันทำให้รู้สึก
ขนลุกไปทั้งตัว แต่ที่ทำให้ต้องรู้สึกตกใจกลัว มากยิ่งไป
กว่าเมื่อพี่ชัยเงยหน้าขึ้นมา และจ้องมองมาที่ตาผม ใบหน้า
ซีดเซียวและแห้งกร้าน ริมฝีปากที่แห้งแตกออกมาเป็นแผ่น
เหมือนกับคนที่ไม่ได้ดื่มน้ำมาหลายวัน ใบหน้าของพี่ชัยที่
ผมไม่คุ้นเคย กำลังยืนมองและจ้องมาที่ตาของผม อย่างไม่
กะพริบ มันทำให้ความผู้รู้สึกกระอักกระอ่วน
และอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก โลกในตอนนี้มันเหมือนดับ
สนิทไป มันไม่มีอะไรอยู่รอบๆ ตัวเลยนอกจากใบหน้าและ
ดวงตาของพี่ชัยที่กำลังจ้องมองผมอยู่
“พี่....ชัยไม่สบายรึเปล่า หน้าพี่ดูแปลกๆ ไปนะ”
ผมถามออกไปเมื่อหลุดออกจากภวังค์แห่งความอึดอัดนั้น
ออกมาได้
“นพ........พี่....ไปก่อนนะ”
พี่ชัยตอบและหันหลังเดินกลับลงไปจากบนแท็งก์น้ำ
ปล่อยให้ผมยืนงุนงงสงสัยในท่าทีและคำพูดแปลกๆ
พี่ชัยเดินลงจากแท็งก์น้ำไปอย่างช้าๆ เพื่อที่จะไปที่ประตู
ทางลงของดาดฟ้า แต่มันก็ยิ่งทำให้ผมแปลกใจ เมื่อเห็นที่
หลังของพี่ชัย ชุดที่พี่ชัยใส่ มันทำไมดูเหมือนจะเปียกชุ่ม
ไปด้วยน้ำเหงื่อท่วมไปทั้งตัว สงสัยที่แกบ่นว่าร้อนและอึด
อัดแกคงจะไม่สบาย
“พี่ชัยถ้าพี่ไม่สบายก็พักผ่อนให้เยอะๆ นะพรุ่งนี้ก็เป็น
วันหยุดแล้ว” เสียงคำบอกลาของผมตะโกนบอกพี่ชัย
ก่อนที่พี่ชัยจะเดินไปถึงประตูทางลงดาดฟ้าพี่ชัยหันกลับมา
มองผมด้วยแววตาที่ดูสุดแสนจะเศร้าหมอง
ประตูทางขึ้นลงดาดฟ้าถูกเปิดออก น่าจะมีใครสักคนกำลัง
เดินขึ้นมา
พี่ยุทธ เดินออกมาจากประตู พร้อมทั้งกับพี่ชัยก็กำลังเดิน
สวนลงไป แต่ก็แปลก ที่พี่ยุทธและพี่ชัย ต่างเดินสวนทาง
กันแต่กลับไม่ได้ทักทายกันแต่อย่างใด
“พี่ยุทธ พี่ชัยดูแปลกๆ ไปนะตั้งแต่กลับมาจากช่วงวันหยุด
ยาว”
บทสนทนาของผมเริ่มต้นขึ้นเมื่อพี่ชัย ปีนบันไดขึ้นมาบน
แท็งก์น้ำเสร็จ
“แปลกยังไงวะ????”
พี่ยุทธตอบกลับมาด้วยความสงสัย