สงสัยว่าคนไม่แต่งงานไม่มีลูกเลี้ยงตอนแก่ป่วยช่วยตัวเองไม่ได้จะอยู่ไม่ได้เหรอคะ

ช่วงนี้คนสูงวัยที่บ้านป่วย กับลองหากระทู้เก่าๆดู มีความเห็นของคนมีคุณภาพศรีพันทิปว่า ถ้าไม่แต่งงาน ตอนช่วยตัวเองไม่ได้ ไม่มีลูกหลานดูแล จะอยู่ไม่ได้แถมต้องมีลูกหลายคน ห้ามมีลูกคนเดียว จะได้มีคนดูแลตอนป่วย

เลยเกิดความลังเล
ใจนึงเราดูแลคนป่วยในบ้านบางทียังเบื่อ แต่เปนคนในครอบครัวเลยดูแลเขาได้
ถ้าคนไม่แต่งงาน คนที่ไม่ใช่ลูกหลานใครอยากจะดูแล

แต่อีกใจ ถ้าจากกระทู้ที่เราเขียนนานแล้ว ตัวเราเองยังเอาตัวเองไม่รอด ขนาดพ่อแม่ น้องชายยังรำคาญเรา 
ถ้ามีลูกเพื้อให้เขามาดูแลตอนป่วย ก้อสงสารเขาไม่อยากจะเป็นภาระลูก

เลยสงสัย
คนเราจำเป็นขนาด ถึงจะไม่พร้อมจะเลี้ยงลูก จะให้ความรักแก่เขา ก้อจำเป็นแต่งงานกับใครก้อได้เพื่อผลิตลูกหลายคน
มาดูแลเราตอนช่วยตัวเองไม่ได้ 
ต้องเก็บเขาไว้เป็นคนดูแลผู้สูงอายุส่วนตัว ห้ามลูกมีชีวิตของตัวเองห้ามแต่งงาน ห้ามไปทำงานเมืองนอกเหรอคะ

บางทีเราก้อ ท้อถ้าไม่แต่งงานมีลูกตอนป่วยสงสัยจะต้องหาปืน ยิงน้องชายและยิงตัวเองตายตาม เพื่อจะได้ไม่เป็นภาระใครไหมนี่

อีกใจก้อคิดว่า คนไม่แต่งงาน ถ้ามีชีวิตก้อต้องสู้ต่อไป
ค่ะ

อีกข้อที่สงสัยคือ คิดว่า ถ้าคนไม่แต่งงาน ตอนป่วยจ้างคนมาดูแลที่บ้านหรือไปอยู่สถานที่ดูแบผู้ศูนย์อายุจะดีกว่ากันคะ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
มันก็แค่ความคิดของคนกลุ่มหนึ่ง ที่ปฏิบัติทำตามๆ กันมา จนเคยชิน ทำตามๆ กันไป แบบถูกสะกดจิตหมู่

มันแสดงถึงความไม่มั่นคงทั้งทางกายทางใจ ของสังคมที่ไม่ได้หล่อหลอมให้คนเป็นตัวของตัวเอง

เป็นความไม่มั่นคงทางกายทางใจ ของคนสังคมกลุ่ม สังคมระบบอุปถัมภ์ ระบบบุญคุณ ที่ไม่สามารถทำอะไรด้วยตนเองได้
หรือ ไม่ได้ถูกสอนให้คิดเองเป็น ไม่ได้ถูกสอนให้ช่วยเหลือตนเองได้มากนัก

//

ลองสังเกตสิ ว่าคนไทยส่วนใหญ่เลย ไม่กล้าไปไหนคนเดียว ไม่กล้าไปกินข้าวคนเดียว ไม่กล้าไปดูหนังคนเดียว

จะไปไหนมาไหน ต้องมีคนไปเป็นเพื่อนด้วย อย่างน้อยหนึ่งคน หรือ ไปเป็นกลุ่มใหญ่ๆ

บุคลิกของคนไทยส่วนใหญ่ เหมือนคนขาดความมั่นใจในตัวเอง ตัดสินใจอะไรเองไม่ได้ คิดไม่เป็น
คอมม่อนเซ้นส์ไม่ค่อยมี ทักษะในเรื่องของทิศทางไม่ค่อยมี

//

คนไทยส่วนใหญ่ ไม่ชอบความเงียบสงบ แต่ชอบความอึกทึกครึกโครม ต้องมีเสียงคุยดังๆ เสียงเพลงดังๆ

และ ชอบงานสังสรรค์รื่นเริง ชอบไปสถานที่ที่คนชุมนุมกันเยอะๆ ชอบแต่งตัวเป็นกลุ่มๆ คล้ายๆ กัน

คนไทยส่วนใหญ่ ไม่กระฉับกระเฉง ไม่กระตือรือล้น ไม่ชอบศึกษาหาความรู้ ชอบเดินทอดน่อง เดินแบบไร้จุดหมายปลายทาง

//

สิ่งเหล่านี้ ทำให้คนมีอายุในไทยส่วนใหญ่ ชอบทำตัวอ่อนแอ ดูแลตนเองไม่ได้

อีกทั้งสภาพเศรษฐกิจ สภาพสังคม ทำให้หลายคนต้องทำงานหนักในวัยหนุ่มสาว หรือ คนที่อยู่ในเมืองใหญ่
ต้องผจญมลภาวะสูง สวัสดิการความมั่นคงก็ไม่ค่อยมี

ทำให้เมื่อแก่ตัว ร่างกายไม่แข็งแรง โรคภัยไข้เจ็บถามหาเยอะ

บางคนก็กินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ กินอาหารรสจัด กินอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ หรือ นิยมบริโภคผงชูรส

//

แล้วคนไทยส่วนใหญ่ จิตใจไม่ค่อยเข้มแข็ง ขี้กลัว ขี้ตกใจง่าย ต้องหาคนอื่นมายึดเหนี่ยว

หรือ บางคนจะเสียหน้ามาก ถ้าไม่มีลูกหลานมาห้อมล้อมดูแล

//

เราเคยสังเกต ครอบครัวคนไทยบางครอบครัว วันอาทิตย์ พาพ่อแม่ออกไปกินข้าวข้างนอก พี่น้องลูกหลานมารวมตัวกัน

ดูเผินๆ เหมือนรักใคร่กลมเกลียวกันดี แต่เมื่อสังเกตดู พบว่า ไม่มีใครคุยอะไรกันเลย ในระหว่างที่นั่งรับประทานอาหาร

บางคนก็ดูเหมือนไม่อยากมา แต่ก็ต้องมา เพื่อคอนเน็คชั่น หรือ เพื่อไม่ให้โดนตำหนิ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
เป็นคำถามดีครับ ผมก็คิดและเตรียมการไว้แล้ว

แม้ว่าจะมีลูก มีครอบครัว สุดท้ายคงต้องพึ่งตนเองก่อน

ผมมีเตรียมเรื่องทรัพย์สิน และประกันส่วนหนึ่ง ที่จะพอใช้จ่ายและดูแลตัเองได้ มีเพียงพอที่จะจ่ายค่าจ้าง คนดูแล 1-2 คน เป็นเวลา 10-12 ปี มีค่าใช้จ่ายสำหรับอุปกรณ์ ของใช้ เช่นเตียง เครื่องอ๊อกซเจน เครื่องดูเสมหะ อุปกรณ์การแพทย์ เตรียมไว้แล้ว โดยไม่ต้องไปรบกวนใคร ผมว่า เงินประมาณ 5 ล้าน น่าจะพอสำหรับการจ้างคนดูแล 2 คน จ้างพยาบาลเป็นครั้งคราว ไม่รวมค่ารักษา ค่าอุปกรณ์ เครื่องมือ อันนั้นมีประกัน มีงบต่างหาก หากไม่พอ ก็ค่อยให้ลูกๆ จ่ายเพิ่ม หากมันไม่จ่าย ก็นึกว่าใช้กรรมแล้วกัน  เพราะหากเรายังไม่ไป ก้อนที่กันไว้ให้พิเศษผู้ดูแล ก็เอามาใช้ไม่ได้

ภรรยาไม่ต้องมาดูแล แยกทรัพย์สมบัติให้ไปแล้ว ไม่ต้องยุ่งเรื่องดูแล
ทรัพย์สินที่จะให้ลูกๆ เตรียมไว้ ให้แล้ว จะมาดูก็ดีใจ ไม่มาก็ไม่เป็นไร แต่ผมสอนตามขนมธรรมเนียม ส่วนการคิดถึง หากทำงานไกล ก็ใช้เทคโนโลยีเอา ติด CCTV ทำ Online ทักกันหน้าจอ พวกเขาจะได้ทำงานของเขา ว่างก็มาเป็นช่วงๆ ประสานกับคนดูแล
      มีลูกๆ กับน้องๆ ที่ฝากไว้ ให้ประเมินคนดูแล ผู้ช่วยพยาบาล หรือพยาบาลที่มาช่วยดูแล หากเขาดูแลผมดี มีทรัพย์อีกก้อนหนึ่งเตรียมไว้ให้เป็นน้ำใจตอบแทนหลังจากผมจากไป ก้อนนี้ไม่ให้ลูกหลานหรือญาติยึดไว้ หากผู้ดูแลไม่ควรได้ ให้มอบให้สาธารณกุศลแทน อันนี้มีเพื่อนที่เป็นทนายช่วยดูด้วย
      ส่วนที่ว่า ลูกๆ จะมีเติมค่าใช้จ่ายเพิ่มให้ ก็แล้วแต่เขา แล้วแต่สำนึกของแต่ละคน แล้วแต่ความพร้อม
วันหนึ่งเขามีครอบครัว ก็ไม่รู้ว่า ความคิดความอ่านของเด็กรุ่นใหม่ เขามองอย่างไร
      เราคาดหวังมาก วันหนึ่งก็อาจจะช้ำใจมาก เราคาดหวังน้อย เขามาดูแลมาก เราก็ดีใจมาก

ในช่วงที่แม่ผมนอนติดเตียง ผมดูแลเต็มที่ เท่าไหร่เท่ากัน ให้น้องคนเล็กมาดูแล จ่ายเป็นเงินเดือนให้ ค่ารักษาออกให้หมด
แต่พอมาถึงตัวเอง ผมมาคิดแล้ว เตรียมไว้ดูแลตัวเองดีกว่า
เคยเจอบางครอบครัว ลูกๆ คู่สมรส เอ็ดด่าว่า คนป่วย แถมตีอีกต่างหาก โดนตะคอกด้วย ผมนี้ไม่ชอบเลย
จ้างเอาดีกว่า ส่วนจ้างแล้วยังเจอโหด ก็ให้คนประเมินเขาดูเอาจาก CCTV หากเราพูดไม่ได้แล้ว และยังโดนสายโหด ก็นับว่าชดใช้กรรม ก็ดีเหมือนกัน ป้องกันแล้ว หากจะยังโดน ก็ถือว่าหนีกรรมไม่พ้น แต่หากเราคิดดี ทำดี ก็คงมีบั้นปลายที่ไม่เลวร้าย คงนอนติดเตียงไม่นานหรือหลับไปเลย
     ไม่คาดหวังคนอื่น เตรียมการไว้ดีกว่าครับ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
ความคิดเห็นที่ 53
ดูเหมือนว่าชาวตะวันตกเค้าก็ไม่ได้มีแนวคิดแบบนี้นะ ส่วนใหญ่ก็จะพึ่งตนเอง อยู่เองกันซะส่วนใหญ่ คนแก่ชีวิตhappy มีกิจกรรมทำ ไม่ใช่อยู่แต่บ้านนั่งรอลูกหลานมาเลี้ยง แก่แล้วเหมือนหมดอาลัยตายอยาก เหมือนไร้ชีวิตชีวา เรารู้สึกว่าสังคมเอเชียพร่ำสอนให้รู้สึกว่าคนแก่นั้นไร้คุณภาพแล้ว แต่จริงๆไม่ใช่เลย คนแก่สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดี พึ่งตนเองได้ ยังสามารถทำกิจกรรมที่ชอบได้ซึ่งต้องรักษาสุขภาพให้ดีด้วย

มีสังคมฝั่งเอเชียนี่แหละที่เห็นจะมีแนวคิดแบบนี้ การอยู่คนเดียวมันก็คงไม่ได้แย่ขนาดนั้น หรือการมีลูกแล้วลูกไม่มาหา ก็คงไม่ได้แย่ขนาดนั้น สำคัญคือต้องคิดบวกกับทุกเหตุการณ์และมองคนแก่อย่างมีคุณภาพ

ที่จะบอกก็คือ ให้มองอีกมุม
ความคิดเห็นที่ 4
เราเตรียมตัวรับความแก่ ความเจ็บไข้ไว้แล้ว ไม่คิดหวังว่าลูกต้องมาดูแล  ใครมาก็ดีกะตัวเค้าเอง ดูแลพ่อแม่เป็นมงคลชีวิต  ส่วนใครไม่ดู ไม่พร้อม เราไม่ว่านะ แล้วแต่เหตุพาไป

ส่วนคนที่คิดจะมีลูกเพื่อไว้ดูแลตอนแก่ เราไม่เห็นด้วย แต่ไม่ว่าไรเค้านะ ความคิดเค้า  เค้าจะคิดได้มั้ย ว่าการให้กำเนิดชีวิตเพื่อให้เค้ามาดูแลตัวเองตอนแก่ มันคือความเห็นแก่ตัว

จิตใจที่คิดจะให้ สูงกว่าจิตใจที่คิดจะเอาเสมอ
ความคิดเห็นที่ 3
เรื่องนี้พูดกันมาตลอด แต่โลกยุคใหม่อะไรก็เปลี่ยนไป คนที่เลือกจะไม่มีครอบครัว หรือเลือกที่จะไม่มีลูกมีมากขึ้น มีลูกแล้วก็ไม่ได้มีอะไรรับประกันว่าเขาจะดูแลคุณยามแก่ ไม่มีใครรู้อนาคต ลูกอาจจะตายก่อนหรือไม่สามารถดูแลได้ด้วยเหตุผลต่างๆ สิ่งที่ควรทำไม่ว่าจะมีหรือไม่มีลูกคือเตรียมตัวเองให้พร้อมอย่าหวังพึ่งใคร สังคมสูงอายุมาถึงแล้ว บริการดูแลผู้สูงอายุจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ คุณภาพก็คงเป็นไปตามราคาเหมือนทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นออมเงินไว้ให้พอ เริ่มเร็วเท่าไหร่ดีเท่านั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่