บุคคลผู้ไม่สดับ
ก็คิดว่าจิตมีมโนบ้าง มีวิญญาณบ้าง
มีมโนบ้างคือ
มโนความคิด เกิด สังขาร3
มโนกรรม การกระทำทางใจ
มโนทวาร ทวารคือใจ
มโนทุจริต การประพฤติชั่วด้วยใจ
มโนสุจริต การประพฤติชอบด้วยใจ
มโนวิญญาณ ความรู้ทางใจ
มโนสัมผัส สัมผัสทางใจ
มโนรม เป็นที่ชอบใจ
มโนหมายถึง สภาวะของจิตที่น้อมจิตไปกำหนดสนใจ
ตามเจตสิกที่เข้ามาปรุงแต่งให้จิตเพ่งความสนใจ
ในอายตนะต่างๆ โดยเฉพาะ
มโนวิญญาณคือการน้อมจิตไปในธรรมารมณ์ทั้ง 3 คือ
1.การน้อมจิตเสพเวทนา
2.การน้อมจิตระลึกถึงความจำในสัญญา(การนึก) และ
3.การน้อมจิตปรุงแต่งสังขาร 3 คือ
กายสังขาร(เคลื่อนไหวร่างกาย)
วจีสังขาร(การคิด)
จิตสังขาร(ปรุงแต่งอารมณ์แก่จิต)
อวิชชาทำให้เกิดสังขาร3
สังขารทำให้เกิดวิญญาณ 6
มีวิญญาณบ้างคือวิญญาณ6
วิญญาณ คือความรู้แจ้งอารมณ์
จำแนกวิญญาณออกเป็น 6 ประเภทได้แก่
1.จักขุวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางตา คือรู้รูปด้วยตา หรือการเห็น
2.โสตวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางหู คือรู้เสียงด้วยหู หรือการได้ยิน
3.ฆานวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางจมูก คือรู้กลิ่นด้วยจมูก หรือการได้กลิ่น
4.ชิวหาวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางลิ้น คือรู้รสด้วยลิ้น หรือการรู้รส
5.กายวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางกาย คือรู้โผฏฐัพพะด้วยกาย หรือการรู้สึกกายสัมผัส
6.มโนวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางใจ คือรู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ หรือการนึกคิด
รวมเป็นวิญญาณขันธ์
ทำให้เกิดอายตนะ6
ทำให้เกิดอารมณ์6
ทำให้เกิด
ผัสสะ 6
สัมผัส หรือ ผัสสะ มีหกอย่าง คือ
1.จักขุสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางตา คือ ตา+รูป+จักขุวิญญาณ
2.โสตสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางหู คือ หู+เสียง+โสตวิญญาณ
3.ฆานสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางจมูก คือ จมูก+กลิ่น+ฆานวิญญาณ
4.ชิวหาสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางลิ้น คือ ลิ้น+รส+ชิวหาวิญญาณ
5.กายสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางกาย คือ กาย+โผฏฐัพพะ(เช่น ร้อน เย็น อ่อน แข็ง)+กายวิญญาณ
6.มโนสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางใจ คือ ใจ+ธรรมารมณ์(สิ่งที่ใจนึกคิด)+มโนวิญญาณ
ทำให้เกิดเวทนา6
ทำให้เกิดตัณหา6
ทำให้เกิดอุปาทาน6
บุคคลผูสดับดีแล้ว
จิตไม่มีมโนบ้าง
ไม่มีวิญญาณบ้าง
เกิดเบื่อหน่ายคลายกำหนัด
ก็ไม่มี่มโนบ้าง ไม่มีวิญญาณ6บ้าง
ตัณหา6ก็ไม่เกิด จิตดำรฃอยู่ในวิมุตติ คือ ความหลุดพ้น
จิตเกิดตัณหาเพราะ?