ผมจะลงทุนในหุ้นอเมริกาครบ 5 ปีตอนสิ้นปีนี้ ผมได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆเหมือนตัวเองเป็นนักฟุตบอลที่ออกไปค้าแข้งในต่างประเทศ เจอนักฟุตบอลตัวใหญ่ แข็งแรง ต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง จะหาโค้ชเก่งๆคอยแนะนำก็ลำบากเพราะไม่ค่อยมีคนไทยไปลงทุนที่นั่นเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม ด้วยความรักในการลงทุน และชอบศึกษาเรื่องหุ้นด้วยตัวเอง จึงสามารถลงทุนได้อย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ผมจึงอยากแชร์ประสบการณ์ให้กับแฟนเพจทุกคนได้ลองศึกษาหาโอกาสในการลงทุนกันดังนี้
1. การลงทุนในหุ้นอเมริกาช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นได้จริง เนื่องจากมีบริษัทที่ดีระดับโลกจำนวนมาก ที่มีค่าพีอีใกล้เคียงกับอัตราการเติบโตบริษัท (อัตราการเติบโตของกำไร 30% พีอี 30 เท่า) รวมทั้งยังมีการเติบโตของรายได้ที่มั่นคงอีกด้วย จึงทำให้ตอบแทนของผมเป็นดังนี้
ผลตอบแทน 120% จากหุ้นตัวแรกที่ลงทุนตั้งแต่ปี 2015 สัดส่วนประมาณ 30% ของพอร์ตต่างประเทศ
ผลตอบแทน 155% จากหุ้นตัวที่สองที่ลงทุนในปี 2017 แต่มีสัดส่วนเพียง 10%
ผลตอบแทน 30% จากหุ้นตัวที่สามในสัดส่วน 60% ที่ลงทุนไปตอนเดือนกรกฎาคม 2018
ผมไม่เคยขายหุ้นที่ไปลงทุนที่นั่นเลย
2. หุ้นพวกสตาร์ทอัพ แม้ว่าบริษัทยังไม่มีกำไรเลย แต่หุ้นก็ปรับตัวขึ้นอย่างมหัศจรรย์ เช่น Beyond Meat เพิ่งเข้าตลาดมาช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
แต่หุ้นปรับตัวขึ้นมากกว่า 6 เท่าตั้งแต่ราคาไอพีโอที่ 25 ดอลล่าร์ ทั้งที่กำไรของบริษัทยังติดลบอยู่ แต่นักลงทุนมองเห็นโอกาสที่จะเติบโตแบบก้าวกระโดดของบริษัทไปทั่วโลก จึงยอมจ่ายซื้อหุ้นในราคาแพงมากๆ
3. มีหุ้นฝาแฝดสองตัวก็คือ Visa และ Mastercard ที่ขึ้นมาอย่างเงียบๆกว่า 3 เท่าตัวในช่วงห้าปีที่ผมลงทุน หุ้นสองตัวนี้ไม่ค่อยมีข่าวออกมาในตลาดเท่าไหร่ แต่ธุรกิจแข็งแกร่งจากแพลตฟอร์มและเครือข่ายของผู้ใช้ทั่วโลก
ทุกครั้งที่มีการรูดบัตรเครดิต ฝาแฝดคู่นี้ก็จะได้เงินเข้ากระเป๋าเป็นส่วนแบ่งที่แน่นอน ทำให้มีรายได้ที่มั่นคง นักลงทุนสามารถคาดการณ์ผลประกอบการได้อย่างแม่นยำ จึงเป็นสาเหตุให้ทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบันเข้าซื้อหุ้นสองตัวนี้อย่างหนาแน่น ราคาจึงปรับขึ้นได้อย่างประทับใจในช่วงห้าปีที่ผ่านมา หุ้นสองตัวนี้ดีมากๆ
4. หุ้นจีนในกลุ่มเทคโนโลยีที่เข้ามาทำการซื้อขายในตลาดหุ้นอเมริกาก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เช่น Alibaba Netease และ Roku
5. หุ้นเทคโนโลยีบางตัวก็มีข่าวร้ายมากระทบตลอดเวลาทั้งเรื่องการผูกขาด การรักษาความปลอดภัยข้อมูลของลูกค้า และการเก็บภาษี จนบางครั้งก็ทำให้รู้สึกเบื่อไปบ้าง แต่ทุกครั้งที่ผลประกอบการออกมาดีก็ยังทำให้ผมถือหุ้นตัวนั้นต่อไปได้จนทุกวันนี้ เพราะพื้นฐานธุรกิจดีจริงๆ
6. ยังมีหุ้นอีกหลายกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่เทคโนโลยีแต่ยังคงปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่องเช่น หุ้นกลุ่มค้าปลีกที่หลายๆคนคงคิดว่าโดน Amazon กินส่วนแบ่งการตลาดไปมากแล้ว จนต้องปิดกิจการ เช่น ธุรกิจ Sears และ Kmart
แต่ธุรกิจอย่าง Ross Ultra Costco และ Home Depot ยังเติบโตได้ดีอยู่ และหุ้นก็ได้ปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง #บางครั้งการที่เราฟังคนอื่นหรือมองแต่ภาพรวมของอุตสาหกรรม อาจทำให้เราพลาดหุ้นบางตัวไปได้
7. หุ้นอเมริกาค่อนข้างผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจโลก วันไหนมีข่าวร้ายเช่นการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด สงครามการค้าปะทุขึ้นมา หรือ การปรับตัวลดลงของพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลต่ำกว่าระยะสั้น ทั้งหมดทำให้ราคาหุ้นปรับเปลี่ยนอย่างรุนแรงในบางวัน
รวมทั้งเนื่องจากหุ้นที่นี่บางตัวมีราคาหลักพันดอลล่าร์ ในแง่ของจิตวิทยาพอราคาปรับตัวลดลง นักลงทุนอาจจะเห็นตัวเลขที่สูงมากหลักร้อยดอลล่าร์ต่อวัน ลงทุนที่อเมริกาต้องมีจิตใจที่มั่นคง
8. หุ้นอเมริกาสามารถทำให้เราดีใจมากในช่วงตอนที่เรานอนอยู่ บางครั้งหุ้นปรับตัวขึ้นมากถึง 10% แต่บางครั้งก็ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงเช่นกัน เพราะฉะนั้นอย่าไปให้น้ำหนักกับผลประกอบการที่ดีหรือแย่ในระยะสั้น ให้มองในระยะยาวมากกว่า
9. วอร์เรน บัฟเฟตต์ บอกไว้ว่าถ้านักลงทุนที่ไม่ชอบศึกษาหุ้นด้วยตัวเองรวมทั้งเสียดายที่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายให้กับผู้จัดการกองทุน คุณปู่แนะนำให้ลงทุนในดัชนี S&P 500 เพราะในรอบ 100 ปีที่ผ่านมาทำผลตอบแทนได้ถึง 10% ต่อปี
ในตอนนี้มี ETF ที่นักลงทุนสามารถซื้อได้โดยตรงเหมือนซื้อหุ้น ตัวที่น่าสนใจก็คือ Vanguard S&P 500 ETF และ Vanguard Growth Index Fund ETF
10. การลงทุนด้วยการหามูลค่าที่เหมาะสม พร้อมด้วยการใช้ Margin of Satefy หรือส่วนเผื่อความปลอดภัย ช่วยให้ผมได้หุ้นในราคาที่มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนน้อย และสร้างผลกำไรได้ดีมากโดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดเกิดการ Panic
โดยสรุปผมหวังว่าการแชร์ประสบการณ์ครั้งนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้นักลงทุนไทยที่มีความรู้ความเข้าใจในการลงทุน เริ่มศึกษาหาโอกาสไปลงทุนในหุ้นอเมริกา
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่ามีหุ้นหลายตัวที่เปลี่ยนชีวิตเราให้ดีขึ้นได้จริงๆ ผมเน้นอีกครั้งว่าไม่ได้ชักชวนให้ไปลงทุนด้วยการเก็งกำไรหรือการเล่นตามคนอื่น แต่ลงทุนด้วยความรู้ความเข้าใจครับ #หุ้นอเมริกา #ลงทุนต่างประเทศ #ตลาดอเมริกา
แชร์ประสบการณ์ลงทุนหุ้นอเมริกา (ภาคที่ 2) - By เพจ Billionaire VI
อย่างไรก็ตาม ด้วยความรักในการลงทุน และชอบศึกษาเรื่องหุ้นด้วยตัวเอง จึงสามารถลงทุนได้อย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ผมจึงอยากแชร์ประสบการณ์ให้กับแฟนเพจทุกคนได้ลองศึกษาหาโอกาสในการลงทุนกันดังนี้
1. การลงทุนในหุ้นอเมริกาช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นได้จริง เนื่องจากมีบริษัทที่ดีระดับโลกจำนวนมาก ที่มีค่าพีอีใกล้เคียงกับอัตราการเติบโตบริษัท (อัตราการเติบโตของกำไร 30% พีอี 30 เท่า) รวมทั้งยังมีการเติบโตของรายได้ที่มั่นคงอีกด้วย จึงทำให้ตอบแทนของผมเป็นดังนี้
ผลตอบแทน 120% จากหุ้นตัวแรกที่ลงทุนตั้งแต่ปี 2015 สัดส่วนประมาณ 30% ของพอร์ตต่างประเทศ
ผลตอบแทน 155% จากหุ้นตัวที่สองที่ลงทุนในปี 2017 แต่มีสัดส่วนเพียง 10%
ผลตอบแทน 30% จากหุ้นตัวที่สามในสัดส่วน 60% ที่ลงทุนไปตอนเดือนกรกฎาคม 2018
ผมไม่เคยขายหุ้นที่ไปลงทุนที่นั่นเลย
2. หุ้นพวกสตาร์ทอัพ แม้ว่าบริษัทยังไม่มีกำไรเลย แต่หุ้นก็ปรับตัวขึ้นอย่างมหัศจรรย์ เช่น Beyond Meat เพิ่งเข้าตลาดมาช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
แต่หุ้นปรับตัวขึ้นมากกว่า 6 เท่าตั้งแต่ราคาไอพีโอที่ 25 ดอลล่าร์ ทั้งที่กำไรของบริษัทยังติดลบอยู่ แต่นักลงทุนมองเห็นโอกาสที่จะเติบโตแบบก้าวกระโดดของบริษัทไปทั่วโลก จึงยอมจ่ายซื้อหุ้นในราคาแพงมากๆ
3. มีหุ้นฝาแฝดสองตัวก็คือ Visa และ Mastercard ที่ขึ้นมาอย่างเงียบๆกว่า 3 เท่าตัวในช่วงห้าปีที่ผมลงทุน หุ้นสองตัวนี้ไม่ค่อยมีข่าวออกมาในตลาดเท่าไหร่ แต่ธุรกิจแข็งแกร่งจากแพลตฟอร์มและเครือข่ายของผู้ใช้ทั่วโลก
ทุกครั้งที่มีการรูดบัตรเครดิต ฝาแฝดคู่นี้ก็จะได้เงินเข้ากระเป๋าเป็นส่วนแบ่งที่แน่นอน ทำให้มีรายได้ที่มั่นคง นักลงทุนสามารถคาดการณ์ผลประกอบการได้อย่างแม่นยำ จึงเป็นสาเหตุให้ทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบันเข้าซื้อหุ้นสองตัวนี้อย่างหนาแน่น ราคาจึงปรับขึ้นได้อย่างประทับใจในช่วงห้าปีที่ผ่านมา หุ้นสองตัวนี้ดีมากๆ
4. หุ้นจีนในกลุ่มเทคโนโลยีที่เข้ามาทำการซื้อขายในตลาดหุ้นอเมริกาก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เช่น Alibaba Netease และ Roku
5. หุ้นเทคโนโลยีบางตัวก็มีข่าวร้ายมากระทบตลอดเวลาทั้งเรื่องการผูกขาด การรักษาความปลอดภัยข้อมูลของลูกค้า และการเก็บภาษี จนบางครั้งก็ทำให้รู้สึกเบื่อไปบ้าง แต่ทุกครั้งที่ผลประกอบการออกมาดีก็ยังทำให้ผมถือหุ้นตัวนั้นต่อไปได้จนทุกวันนี้ เพราะพื้นฐานธุรกิจดีจริงๆ
6. ยังมีหุ้นอีกหลายกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่เทคโนโลยีแต่ยังคงปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่องเช่น หุ้นกลุ่มค้าปลีกที่หลายๆคนคงคิดว่าโดน Amazon กินส่วนแบ่งการตลาดไปมากแล้ว จนต้องปิดกิจการ เช่น ธุรกิจ Sears และ Kmart
แต่ธุรกิจอย่าง Ross Ultra Costco และ Home Depot ยังเติบโตได้ดีอยู่ และหุ้นก็ได้ปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง #บางครั้งการที่เราฟังคนอื่นหรือมองแต่ภาพรวมของอุตสาหกรรม อาจทำให้เราพลาดหุ้นบางตัวไปได้
7. หุ้นอเมริกาค่อนข้างผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจโลก วันไหนมีข่าวร้ายเช่นการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด สงครามการค้าปะทุขึ้นมา หรือ การปรับตัวลดลงของพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลต่ำกว่าระยะสั้น ทั้งหมดทำให้ราคาหุ้นปรับเปลี่ยนอย่างรุนแรงในบางวัน
รวมทั้งเนื่องจากหุ้นที่นี่บางตัวมีราคาหลักพันดอลล่าร์ ในแง่ของจิตวิทยาพอราคาปรับตัวลดลง นักลงทุนอาจจะเห็นตัวเลขที่สูงมากหลักร้อยดอลล่าร์ต่อวัน ลงทุนที่อเมริกาต้องมีจิตใจที่มั่นคง
8. หุ้นอเมริกาสามารถทำให้เราดีใจมากในช่วงตอนที่เรานอนอยู่ บางครั้งหุ้นปรับตัวขึ้นมากถึง 10% แต่บางครั้งก็ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงเช่นกัน เพราะฉะนั้นอย่าไปให้น้ำหนักกับผลประกอบการที่ดีหรือแย่ในระยะสั้น ให้มองในระยะยาวมากกว่า
9. วอร์เรน บัฟเฟตต์ บอกไว้ว่าถ้านักลงทุนที่ไม่ชอบศึกษาหุ้นด้วยตัวเองรวมทั้งเสียดายที่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายให้กับผู้จัดการกองทุน คุณปู่แนะนำให้ลงทุนในดัชนี S&P 500 เพราะในรอบ 100 ปีที่ผ่านมาทำผลตอบแทนได้ถึง 10% ต่อปี
ในตอนนี้มี ETF ที่นักลงทุนสามารถซื้อได้โดยตรงเหมือนซื้อหุ้น ตัวที่น่าสนใจก็คือ Vanguard S&P 500 ETF และ Vanguard Growth Index Fund ETF
10. การลงทุนด้วยการหามูลค่าที่เหมาะสม พร้อมด้วยการใช้ Margin of Satefy หรือส่วนเผื่อความปลอดภัย ช่วยให้ผมได้หุ้นในราคาที่มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนน้อย และสร้างผลกำไรได้ดีมากโดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดเกิดการ Panic
โดยสรุปผมหวังว่าการแชร์ประสบการณ์ครั้งนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้นักลงทุนไทยที่มีความรู้ความเข้าใจในการลงทุน เริ่มศึกษาหาโอกาสไปลงทุนในหุ้นอเมริกา
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่ามีหุ้นหลายตัวที่เปลี่ยนชีวิตเราให้ดีขึ้นได้จริงๆ ผมเน้นอีกครั้งว่าไม่ได้ชักชวนให้ไปลงทุนด้วยการเก็งกำไรหรือการเล่นตามคนอื่น แต่ลงทุนด้วยความรู้ความเข้าใจครับ #หุ้นอเมริกา #ลงทุนต่างประเทศ #ตลาดอเมริกา