ดาวเคราะห์น้อยแปลกๆที่น่าสนใจ

ดาวเคราะห์น้อยเป็นวัตถุที่น่าสนใจเสมอ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ค้นพบสิ่งใหม่จากดาวเคราะห์น้อยมามากมาย เช่นพบว่าดาวเคราะห์น้อยบางดวงอยู่เป็นคู่ ดาวเคราะห์น้อยที่มีน้ำแข็ง ดาวเคราะห์น้อยมีบริวาร ดาวเคราะห์น้อยที่ถูกเผาจนแตกเป็นเสี่ยง มีแม้กระทั่งดาวเคราะห์น้อยมีหางคล้ายดาวหาง

ดาวเคราะห์น้อยมีวงแหวน 10199 คาริโกล (10199 Chariklo)

ดาวเคราะห์น้อยคาริโกลเป็นสมาชิกที่ใหญ่ที่สุดในดาวเคราะห์น้อยกลุ่มเซนทอร์ โคจรรอบดวงอาทิตย์อยู่ระหว่างวงโคจรของดาวเสาร์กับดาวยูเรนัส จากการคำนวณวงโคจรล่วงหน้าทำให้พยากรณ์ได้ว่า ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้จะผ่านหน้าดาวฤกษ์ชื่อ ยูซีเอซี4 248-108672 (UCAC4 248-108672) ในวันที่ 3 มิถุนายน 2556 โดยสถานที่ที่สังเกตการบังนี้ได้คืออเมริกาใต้ นักดาราศาสตร์จึงใช้กล้องจาก 7 แห่งในทวีปนี้ สำรวจการบังดาวในครั้งนี้ ในจำนวนนี้รวมถึงกล้องจากหอสังเกตการณ์ลาซียาของอีเอสโอด้วย

 นักดาราศาสตร์พบว่านอกจากแสงดาวฤกษ์ที่หายไปจากการบังของดาวเคราะห์น้อยแล้ว ยังพบว่าที่เวลาก่อนหน้าและหลังการบังของดาวเคราะห์น้อย แสงดาวมีการหรี่ลงเป็นเวลาสั้น ๆ ด้วย นั่นแสดงถึงบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ล้อมรอบคาริโกลได้บังแสงดาวจากเบื้องหลัง สิ่งนั้นย่อมหมายถึงวงแหวนนั่นเอง การค้นพบวงแหวนของดาวยูเรนัสและดาวเนปจูนก็เกิดจากปรากฏการณ์แบบนี้เช่นกัน
คาริโกลเป็นวัตถุดวงที่ห้าในระบบสุริยะที่พบว่ามีวงแหวน ถัดจากดาวดาวเสาร์ พฤหัสบดี ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 250 กิโลเมตร จึงเป็นวัตถุมีวงแหวนที่เล็กที่สุดเท่าที่รู้จัก

เมื่อประมวลข้อมูลที่ได้จากหอดูดาวต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ ณ ตำแหน่งต่างกัน ทำให้นักดาราศาสตร์ทราบรูปร่าง ขนาด ความกว้าง และทิศการหันเหของวงแหวนนี้ด้วย พบว่าวงแหวนของคาริโกลมีเป็นวงแคบ ๆ แต่แน่นและขอบคมชัด นอกจากนี้ยังพบว่ามีวงแหวนถึงสองวงซ้อนกัน วงหนึ่งกว้าง 7 กิโลเมตร อีกวงกว้าง 3 กิโลเมตร ช่องว่างระหว่างวงแหวนกว้างประมาณ 9 กิโลเมตร

ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ยังอธิบายต้นกำเนิดของวงแหวนนี้ไม่ได้ คาดว่าน่าจะเป็นผลจากการชนบางอย่างจนทำให้เศษซากจับกันเป็นวงแหวน นอกจากนี้ การที่วงแหวนนี้มีขอบคม ทำให้เชื่อว่าต้องมีบริวารอยู่ใกล้ ๆ ที่ทำหน้าที่ "แต่งขอบ" อยู่
วงแหวนนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการให้กำเนิดบริวารดวงเล็กต่อไป กระบวนการทำนองเดียวกันนี้อาจเคยเกิดขึ้นกับโลก แต่เกิดในพิสัยที่ใหญ่กว่า และอาจอธิบายการกำเนิดดวงจันทร์ของโลก รวมถึงดวงจันทร์บริวารของดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ได้เช่นกัน 
แม้วงแหวนสองวงนี้จะยังไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ แต่หัวหน้าโครงการสำรวจในครั้งนี้ได้ตั้งชื่อวงแหวนสองวงนี้ไว้แล้วว่า ออยะโพคี (Oiapoque) และ ชุย (Chuí) ตามชื่อแม่น้ำสองสายในประเทศบราซิล
ที่มา:
First Ring System Around Asteroid - eso.org/public

ดาวเคราะห์น้อยฟลอเรนซ์มีดวงจันทร์ (3122 Florence)

ดาวเคราะห์น้อย ฟลอเรนซ์ หรือชื่อเต็มคือ 3122 ฟลอเรนซ์ (3122 Florence) ได้พุ่งเฉียดโลกไปโดยห่างจากโลก 7 ล้านกิโลเมตร หรือเป็น 18 เท่าของระยะห่างระหว่างโลก-ดวงจันทร์  การเฉียดครั้งนี้ไม่มีอะไรให้วิตก เพราะด้วยระยะที่ถือว่าเป็นการเฉียดที่ค่อนข้างห่าง แต่ที่น่าสนใจเป็นพิเศษก็คือดาวเคราะห์น้อยดวงนี้มีขนาดใหญ่ มีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 4.5 กิโลเมตร 

 การศึกษาดาวเคราะห์น้อยด้วยเรดาร์เป็นการใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุเป็นเครื่องรับส่งสัญญาณเรดาร์ เป็นเทคนิคที่มีการใช้กับดาวเคราะห์น้อยมาแล้วหลายดวง ซึ่งช่วยเผยรายละเอียดดาวเคราะห์น้อยได้อย่างน่าทึ่ง ทั้งรูปร่าง ขนาด การหมุนรอบตัวเอง ในครั้งนี้นักดาราศาสตร์คณะหนึ่งได้ใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุขนาด 70 เมตรของเครือข่ายดีปสเปซที่โกลด์สโตนสำรวจดาวเคราะห์น้อยฟลอเรนซ์ช่วงระหว่างวันที่ 29 สิงหาคมถึงวันที่ 1 กันยายน 

ภาพเรดาร์ที่ได้มาแสดงรูปร่างของดาวเคราะห์น้อยดวงนี้อย่างชัดเจน ทำให้ทราบขนาดที่แน่ชัดว่าเส้นผ่านศูนย์กลาง 4.5 กิโลเมตร สัญฐานค่อนข้างกลม มีแนวปูดเป็นสันตามแนวเส้นศูนย์สูตร และมีหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่หนึ่งหลุม ที่ราบกว้างใหญ่สองแห่ง หมุนรอบตัวเองครบรอบทุก 2.4 ชั่วโมง
แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ นักดาราศาสตร์พบว่า ดาวเคราะห์น้อยฟลอเรนซ์ยังมีวัตถุดวงเล็กอีกสองดวงพ่วงมาด้วย วัตถุเล็กสองดวงนั้นจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากบริวาร 

คาดว่าบริวารทั้งสองมีขนาดประมาณ 100-300 เมตร ดวงหนึ่งมีคาบโคจรประมาณ 22-27 ชั่วโมง อีกดวงหนึ่งอยู่ใกล้ดาวเคราะห์น้อยมากกว่า มีคาบโคจรประมาณ 8 ชั่วโมง  ซึ่งนับเป็นบริวารดาวเคราะห์น้อยใกล้โลกที่มีคาบโคจรสั้นที่สุดเท่าที่มีการค้นพบ  ดาวเคราะห์น้อยฟลอเรนซ์ไม่ใช่ดาวเคราะห์น้อยใกล้โลกดวงแรกที่พบว่ามีบริวารถึงสองดวง แต่เป็นดวงที่สามแล้ว 

ดาวเคราะห์น้อยฟลอเรนซ์ถูกค้นพบเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2524 โดยหอดูดาวไซดิงสปริง ชื่อของดาวเคราะห์น้อยตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล วีรสตรีผู้บุกเบิกวิชาการพยาบาลสมัยใหม่ 
ดาวเคราะห์น้อยฟลอเรนซ์จัดเป็นดาวเคราะห์น้อยที่เรียกว่า "ดาวเคราะห์น้อยอันตรายยิ่ง" (Potentially Harzardous Asteroid) ซึ่งเป็นกลุ่มดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่ที่มีโอกาสตัดวงโคจรโลก ปัจจุบันมีดาวเคราะห์น้อยประเภทนี้ที่พบแล้วเกือบสองพันดวง และจะเข้าใกล้โลกอีกครั้งในปี พ.ศ. 3043
ที่มา:
Asteroid Florence found to have 2 moons - earthsky.org

ดาวเคราะห์น้อยทรอย (Trojan's Asteroids) ดาวเคราะห์น้อยจากแถบไคเปอร์

ภาพวาดดาวเคราะห์น้อย 617 พาโทรคลัส (617 Patroclus) ในจินตนาการของศิลปิน เป็นดาวเคราะห์น้อยทรอยที่เป็นคู่ ทั้งสองมีความกว้าง 122 และ 112 กิโลเมตร โคจรรอบกันเองครบรอบทุก 4.3 วัน อยู่ห่างกัน 680 กิโลเมตร (ภาพจาก Lynette Cook / W. M. Keck Observatory)

ดาวนี้ มีวงโคจรแปลกกว่ากลุ่มอื่น เพราะอยู่ในวงโคจรเดียวกับดาวพฤหัสบดี เกาะกลุ่มกันอยู่สองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งนำหน้าดาวพฤหัสบดีเป็นมุม 60 องศา อีกกลุ่มหนึ่งตามหลังอยู่ 60 องศา ปัจจุบันพบดาวเคราะห์น้อยทรอยแล้วหลายพันดวง ลักษณะวงโคจรพิเศษเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกนักเพราะอธิบายและพิสูจน์ได้ด้วยหลักกลศาสตร์ฟ้า แต่ที่นักดาราศาสตร์ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับดาวเคราะห์น้อยทรอยก็คือ มันมาจากไหน

อาเลสซานโดร มอร์บีเดลลี จาก หอดูดาวโกดาซูในฝรั่งเศส เสนอทฤษฎีหนึ่งที่บอกว่าดาวเคราะห์น้อยทรอยมาจากวัตถุไคเปอร์ โดยอธิบายว่า จากแบบจำลองระบบสุริยะที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์ พบว่า ณ ช่วงเวลาหนึ่งในตอนต้นของระบบสุริยะ ดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์มีคาบการโคจรพ้องกันด้วยอัตรา 2:1 (ดาวพฤหัสบดีโคจรรอบดวงอาทิตย์สองรอบใช้เวลาเท่ากับดาวเสาร์โคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ) ช่วงเวลานี้ทำให้ดาวพฤหัสบดีดึงวัตถุไคเปอร์ที่ผ่านมาใกล้เข้ามาอยู่ในวงโคจรทรอยได้หลายดวง 

ทฤษฎีนี้น่าคิด เพราะสเปกตรัมของดาวเคราะห์น้อยทรอยกับวัตถุไคเปอร์ก็ใกล้เคียงกันมาก

ต่อมาได้มีรายงานวิจัยของนักดาราศาสตร์อีกคณะหนึ่งนำโดย แฟรงก์ มาร์คิส ที่ให้ผลสนับสนุนทฤษฎีนี้ การสำรวจของมาร์คิสนี้ใช้กล้องเคก 2 ขนาด 10 เมตรที่อยู่ในฮาวายสำรวจดาวเคราะห์น้อยทรอยดวงหนึ่งชื่อ 617 พาโทรคลัส (617 Patroclus) ความจริงควรจะเรียกว่าคู่หนึ่งเพราะพาโทรคลัสเป็นดาวเคราะห์น้อยคู่ และเป็นดาวเคราะห์น้อยทรอยคู่เพียงคู่เดียวที่รู้จัก การที่เป็นดาวเคราะห์น้อยคู่ทำให้นักดาราศาสตร์สามารถอาศัยการโคจรรอบกันเองของทั้งสองมาคำนวณหาความหนาแน่นของทั้งสองได้ ผลออกมาพบว่าดาวเคราะห์น้อยนี้มีความหนานแน่น 0.8 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ซึ่งน้อยเกินกว่าที่จะเป็นหินอย่างดาวเคราะห์น้อยทั่วไป แต่ความหนาแน่นประมาณนี้ใกล้เคียงกับวัตถุประเภทน้ำแข็งคลุกฝุ่นอย่างดาวหางและวัตถุไคเปอร์ขนาดเล็ก
ที่มา:
Asteroids from the Kuiper Belt - Sky & Telescope News

ดาวเคราะห์น้อย 2015 BZ509  ดาวเคราะห์น้อย ที่โคจรถอยหลัง

ดาวเคราะห์น้อย 2015 BZ509 น่าจะเดิน ทางมาจากนอกระบบสุริยะเมื่อ 4500 ล้านปีก่อน 
เทหวัตถุทั้งหมดในระบบสุริยะ ล้วนแล้วแต่โคจรรอบดวงอาทิตย์ไปในทิศทางเดียวกันหมด ไม่ว่าจะเป็นดาวเคราะห์ ดาวหาง ดาวเคราะห์น้อย หรือสะเก็ดดาวใดๆ แต่ล่าสุด เราพบ ดาวเคราะห์น้อย 2015 BZ509 ที่โคจรด้วยวงโคจรถอยหลัง ไปในทิศทางตรงข้าม กับบริวารของดวงอาทิตย์ทั้งหมด 

เริ่มต้นจากการสังเกตวงโคจรของดาวเคราะห์น้อยดวงนี้  พบว่า โคจรรอบดวงอาทิตย์ ในระยะห่างใกล้เคียงกับวงโคจรของดาวพฤหัส แต่เคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้าม ทั้งดาวพฤหัสและ 2015 BZ509  ใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ เป็นเวลา 12 ปี โดยจะเคลื่อนที่เข้าใกล้กัน 2 ครั้ง

พฤติกรรมโคจรที่แปลกประหลาดนี้  ทำให้มีความ เป็นไปได้สูงมาก ว่า ดาวเคราะห์น้อย 2015 BZ509 ไม่ใช่สมาชิกของระบบสุริยะตั้งแต่แรก แต่เป็นสมาชิกของระบบดาวอื่นที่ถูกดวงอาทิตย์ของเราคว้าเอามาเป็นบริวาร เพราะหากเป็นสมาชิกของระบบดาวเดียวกับเรา ซึ่งทุกดวงเกิดจากเนบิวลาดาวเคราะห์ที่หมุนรอบดวงอาทิตย์ในทิศทางเดียว เมื่อกลุ่มฝุ่นยุบตัวลงเป็นดาวเคราะห์ ดาวหาง หรืออื่นๆ ทิศทางการหมุนรอบดวงอาทิตย์จะต้องเป็นไปในทางเดียวกันกับสมัยที่ยังไม่ยุบตัว นั่นคือไปในทางเดียวกันทุกดวงเพราะเกิดมาเนบิวลาดาวเคราะห์กลุ่มเดียวกัน

Cr.jimmysoftwareblog.com

ดาวเคราะห์น้อยสองร่างในหนึ่งเดียว
ดาวเคราะห์น้อย 25143 อิโตะกะวะ (25143 Itokawa)


(ผังแสดงความหนาแน่นของส่วนประกอบของดาวเคราะห์น้อย 25143 อิโตะกะวะ ((25143) Itokawa))

ดาวเคราะห์น้อย 25143 อิโตะกะวะ (25143 Itokawa) เป็นดาวเคราะห์น้อยใกล้โลกขนาดย่อมดวงหนึ่ง ยานอวกาศฮะยะบุซะของญี่ปุ่นได้เคยไปสำรวจในระยะใกล้มาแล้วในปี 2548 นอกจากนี้ สตีเฟน ลอรี จากมหาวิทยาลัยเคนต์และคณะ ได้เฝ้ามองดาวเคราะห์น้อยดวงนี้อย่างละเอียดมาเป็นเวลากว่า 12 ปี ด้วยกล้องโทรทรรศน์เอ็นทีทีขนาด 3.58 เมตร ในลาซียา ประเทศชิลี 

จากการตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงความสว่างของดาวเคราะห์น้อยเป็นเวลานาน ทำให้ลอรีและคณะวัดอัตราการหมุนรอบตัวเองของดาวเคราะห์น้อยที่เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยได้อย่างแม่นยำ ความเปลี่ยนแปลงนี้มีค่าน้อยมาก เพียง 0.045 วินาทีต่อปีเท่านั้น  การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นผลมาจากปรากฏการณ์ยาร์คอฟสกี-โอคีฟ-รัดเซียฟสกี-แพด- หรือเรียกย่อ ๆ ว่า ยอร์ป (YORP) 

ปรากฏการณ์ชื่อยาวเหยียดนี้อธิบายว่าดาวเคราะห์น้อยดูดซับแสงอาทิตย์และคายออกมาอย่างไร ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาด รูปร่าง และองค์ประกอบของดาวเคราะห์น้อยนั้น จากการสำรวจอย่างใกล้ชิดของยานฮะยะบุซะ ทำให้นักดาราศาสตร์สร้างแบบจำลองด้านรูปร่างและอุณหภูมิของดาวเคราะห์น้อยนี้ได้ และพบความไม่ธรรมดาของดาวเคราะห์น้อยดวงนี้

จากแบบจำลองที่สร้างขึ้นมานี้ พบว่าจุดศูนย์กลางมวลของดาวเคราะห์น้อยอิโตะกะวะอยู่ห่างจากตำแหน่งที่ควรจะเป็นไปถึง 21 เมตร ที่เป็นเช่นนี้เกิดขึ้นได้จากสาเหตุเดียวคือ เนื้อดาวทั้งสองข้างของดาวเคราะห์น้อยมีความหนาแน่นไม่เท่ากัน และต่างกันถึงเท่าตัว นั่นหมายความว่าดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ประกอบขึ้นกับวัตถุสองดวงที่มีองค์ประกอบต่างกันมาเกาะติดกันเป็นวัตถุดวงเดียวที่มีรูปร่างเหมือนเมล็ดถั่ว นักดาราศาสตร์สันนิษฐานมานานแล้วว่าดาวเคราะห์น้อยหลายดวงน่าจะเกิดขึ้นมาจากวัตถุขนาดเล็กมาเกาะติดกันในลักษณะนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พบหลักฐานสนับสนุนจากการสำรวจจริง

การค้นพบนี้ไม่ได้หมายความว่าโลกจะมีความเสี่ยงจากการถูกดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนมากขึ้นหรือน้อยลงแต่อย่างใด แต่ข้อมูลใหม่นี้จะมีประโยชน์ในการศึกษาสมบัติต่าง ๆ ของดาวเคราะห์น้อยดวงอื่น รวมถึงการเบี่ยงเบน และการไปลงจอดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

Cr.thaiastro.nectec.or.th
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่