หน้าแรก
คอมมูนิตี้
ห้อง
แท็ก
คลับ
ห้อง
แก้ไขปักหมุด
ดูทั้งหมด
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
แท็ก
แก้ไขปักหมุด
ดูเพิ่มเติม
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
{room_name}
{name}
{description}
กิจกรรม
แลกพอยต์
อื่นๆ
ตั้งกระทู้
เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก
เว็บไซต์ในเครือ
Bloggang
Pantown
PantipMarket
Maggang
ติดตามพันทิป
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้
เกี่ยวกับเรา
กฎ กติกา และมารยาท
คำแนะนำการโพสต์แสดงความเห็น
นโยบายเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล
สิทธิ์การใช้งานของสมาชิก
ติดต่อทีมงาน Pantip
ติดต่อลงโฆษณา
ร่วมงานกับ Pantip
Download App Pantip
Pantip Certified Developer
อาหารและเครื่องดื่มใน Super Market ที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล แบบไหนดีไม่ดีมาดูกัน
กระทู้สนทนา
เครื่องดื่ม
โภชนาการ
น้ำตาลและสารให้ความหวาน
ต้องบอกอย่างนี้ก่อนนะครับว่า “น้ำตาล เป็นยาเสพย์ติดที่ถูกกฎหมาย” หลายๆ คน คงเคยได้ยินประโยคนี้ และ ทุกวันนี้ คนก็รู้แล้วว่า การกินน้ำตาลมากเกินไป เป็นหนึ่งในสาเหตุ ที่ทำให้เกิดโรคกลุ่ม NCDs มากมาย ทั้ง เบาหวาน หัวใจ ความดัน ฯลฯ
องค์การอนามัยโลก แนะนำว่า ผู้หญิง ไม่ควรกินน้ำตาลเกินวันละ 24 กรัม และ ผู้ชายไม่ควรเกินวันละ 36 กรัม แต่ จากสถิติ ระบุว่าคนไทย กินน้ำตาล โดยเฉลี่ย วันละ 88 กรัม ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 3-4 เท่า
เราเห็นตัวเลขนี้ครั้งแรก ก็ คง งง ว่า “เฮ้ย เป็นไปได้เหรอ ใครจะกินน้ำตาลเยอะขนาดนั้น กินก๋วยเตี๋ยวก็แทบไม่ใส่น้ำตาลเพิ่มเลย”
แท้ที่จริง แล้ว น้ำตาล มันถูกเติมเข้ามาในอาหารแทบจะทุกขั้นตอนอยู่แล้ว และ ที่เยอะที่สุด ก็คืออยู่ในเครื่องดื่มหวานๆ ที่คนไทยติดกันมากนี่เอง ( บางอันไม่ค่อยหวานด้วย ออกเปรี้ยว แต่ก็ยังน้ำตาลมหาศาล ) ไม่ต้องนับกาแฟเย็น ชาเย็น ชานมไข่มุก ที่เราไม่อาจรู้ปริมาณน้ำตาลที่แน่นอนได้ ลองไปดูพวกน้ำผลไม้กล่องที่หลายๆคนคิดว่า กินแล้วดีต่อสุขภาพดูสิ บางทีกล่องเล็กๆ กล่องเดียว น้ำตาล 20-30 กรัม เลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้ สารให้ความหวานแทนน้ำตาล จึงได้รับความสนใจ นำมาใช้กันมากขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพ แต่ยังเจาะตลาด คนอยากลดความอ้วน ได้อีกด้วย เพราะ ถ้าอยากลดความอ้วนต้องลดการทานหวาน ลดการทานน้ำตาล
เราก็เป็นคนนึงที่อยากกินอะไรอร่อยๆ แต่ดีต่อสุขภาพด้วย จึงเริ่มหาข้อมูล ว่าสารให้ความหวานแต่ละตัวแตกต่างกันยังไง วันนี้ จะมาอธิบายให้ฟัง ว่าตัวที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายนั้น มีความแตกต่างกันยังไงบ้าง
แอสปาแตม ( Aspatam ) สังเคราะห์ด้วยกระบวนการทางเคมี ใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งในขนมและน้ำอัดลม เพราะราคาถูก และ หวานกว่าน้ำตาล ถึง 200 เท่า แต่จะทิ้งรสขมเล็กน้อยหลังจากทาน
แต่ข้อเสียคือ ทนความร้อนได้ไม่ดี ถ้าโดนความร้อนสูงหรือเก็บไว้นานๆ อาจทำให้โครงสร้างของแอสปาแตมเปลี่ยนไป และ ส่งผลเสียได้ จึงไม่ควรไปใช้กับการปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนสูง
พร้อมทั้งยังมีงานวิจัยบางชิ้น บอกว่า อาจมีผลข้างเคียง ทำให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนเพิ่มขึ้น และ ถ้าทานต่อเนื่องระยะยาวอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ รวมถึงบางงานวิจัยชี้ว่าเชื่อมโยงกับการเกิดมะเร็งด้วย ทั้งนี้ ทางบริษัทผู้ผลิต ก็ได้ออกมาตอบโต้ทันที ว่ายังไม่มีงานวิจัยใดๆ ยืนยันชัดเจนได้เลย ว่า แอสปาแตมเลวร้ายอย่างที่ถูกกล่าวอ้าง
แต่เอาเป็นว่า กันไว้ดีกว่าแก้ อะไรที่มีแอสปาแตม ก็กินน้อยๆ หน่อยแล้วกัน
2. ซูคราโลส ( Sucralose ) สังเคราะห์ด้วยกระบวนการทางเคมี ถูกนำมาใช้ในน้ำตาลเทียมหลายๆยี่ห้อ เพราะให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล ถึง 600 เท่า คิดดูว่าถ้าปกติเราต้องใส่น้ำตาล 1 ช้อนชา ( 4 กรัม ) พอหันมาใช้ ซูคราโลส เราก็จะใส่แค่ 0.00167 ช้อนชา เหมือนใส่น้ำตาลแค่ 1 เม็ด เล็กๆ เท่านั้น
เวลาที่เขานำมาใช้จริง ถ้าทำเป็นน้ำตาล ที่ less cal หรือ ได้แคลน้อยลง จึงมักจะไม่นำซูคราโลส มาใช้เพียงอย่างเดียว เพราะเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะใส่ในปริมาณน้อยขนาดนั้น ทางบริษัทผู้ผลิต จะใช้น้ำตาลตามปกติ แต่ลดปริมาณลง แล้วผสมซูคราโลส ลงไปเล็กน้อย ทำให้ได้รสชาติหวานเหมือนเดิม แต่ได้รับปริมาณน้ำตาลน้อยลงนั่นเอง
ร่างกายเรา ไม่สามารถย่อยซูคราโลสได้ เรากินเข้าไป ได้ รสหวานก็จริง แต่เมื่อร่างกายย่อยไม่ได้ ดูดซึมไม่ได้มันจึงไม่มีแคลอรี่ ที่สำคัญสามารถทนความร้อนได้ดี ใช้ประกอบอาหารได้
องค์การอนามัยโลกให้การยอมรับแล้วว่าปลอดภัยเทียบเท่ากับกินน้ำตาลตาม
ธรรมชาติ สิ่งเดียวที่ควรระวังคือ คุณธรรมของผู้ผลิต เพราะบางที ใช้แอสปาแตม
แทน เพราะถูกกว่า แล้ว หลอกว่าใช้ซูคราโลส
เพราะฉะนั้น ดูบริษัทที่น่าเชื่อถือด้วยแล้วกัน
3. อะซี ซัลแฟม โพแทสเซียม ( acesulfame K ) ให้รสชาติคล้ายน้ำตาล แต่
หวานกว่าน้ำตาล ถึง 200 เท่า มักใช้ร่วมกับสารให้ความหวานตัวอื่นๆ เพื่อลดความ
รู้สึกขมติดลิ้นหลังจากกินไปแล้วได้
ถูกใช้อย่างแพร่หลายในเครื่องดื่ม และ ได้รับการยอมรับจากทั้งทางอเมริกา และ
ยุโรป ว่าปลอดภัย ที่น่าสนใจ คือ อะซีซัลแฟม โพแทสเซียม จะไม่สะสมอยู่ในร่างกาย
เมื่อถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดแล้ว จะถูกขับออกทางปัสสาวะ ได้
4. อิริทริทอล ( Erythritol ) ตัวนี้จะมาแปลกกว่าอย่างอื่น ตรงที่ให้ความหวาน น้อยกว่า
น้ำตาล ทั่วไป คือหวานแค่ 70% ของน้ำตาลเท่านั้น พูดง่ายๆ คือ ถ้าเคยกินน้ำตาล
1 ช้อนชา แล้วจะเปลี่ยนมาใช้ อิริทริทอล อาจต้องใช้เพิ่มขึ้นเป็น 1.5 ช้อนชา
ด้วยเหตุนี้ ผู้ผลิตจึงมักจะใช้ อิริทริทอล ผสมกับ สารให้ความหวานตัวอื่น เพื่อจะได้
ใส่ในปริมาณน้อยลง แต่ได้ความหวานเท่าเดิม
จุดเด่นหลักๆ เลย คือ ปลอดภัย เพราะ เสมือนเป็นอนุพันธ์ของน้ำตาลจริงๆ แต่ให้
พลังงาน น้อยกว่ามากๆๆๆ โดย
น้ำตาล 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่
อิริทิทอล 1 กรัม ให้พลังงาน 0.24 กิโลแคลอรี่ เท่านั้น
5. หญ้าหวาน ( Stevia ) เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ไม่ใช่สารเคมี จึงถือว่าปลอดภัย
ที่สุด มีความหวานมากกว่าน้ำตาล 250-300 เท่า ร่างกายไม่สามารถย่อยได้ จึงไม่ให้
พลังงาน
เมื่อกินเข้าไปแล้ว จะออกรสหวานช้ากว่าน้ำตาล แต่ จะหวานติดลิ้นนานกว่า และ
ยังสามารถ ทนความร้อนได้ดี ใช้ในการประกอบอาหารได้
ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ว่า ปลอดภัย ยังไม่พบ ผลข้างเคียงในขณะนี้
ผมมีตัวอย่างจริง ให้เราได้ดู เผื่อเอาไปปรับใช้ และ เลือกซื้อของในครั้งถัดไป
เรามาเริ่มกันที่ Equal ซึ่งเป็นบริษัท ที่ผลิตสารให้ความหวานแทนน้ำตาล มานานแสนนาน
ขนาด Equal เอง ยังมีสินค้าให้เลือกถึง สามชิ้น วางอยู่ ติดๆ กันเลย ถ้าเราไม่มีความรู้ คง งง ว่าจะซื้ออันไหนดี หรือ ไม่ก็หยิบอันที่มันราคาถูกๆ ไว้ก่อน แต่พอเรารู้แล้ว เราก็จะสามารถเปรียบเทียบได้
- Equal Classic 0 calorie ใช้ แลคโตส 96.1% และ แอสปาแตม 3.6%
50 ซอง ราคา 91 บาท
- Equal Gold 0 calorie ใช้ อิริทริทอล 98.3% และ ซูคราโลส 1.6%
50 ซอง ราคา 106 บาท
อย่างที่อธิบายไว้ อิริทริทอล นั้นหวานน้อยกว่าน้ำตาล เค้าจึงต้องใช้ อิริทริทอล เป็นหลัก
แล้ว เติมซูคราโลส ลงไปเล็กน้อย เพื่อให้ได้ความหวานเท่าน้ำตาลปกติ
- Equal Stevia 0 calorie ใช้ อิริทริทอล 98.87% และ สตีเวีย 0.83%
40 ซอง ราคา 110 บาท
หลักการเดียวกัน แต่เปลี่ยนมาใช้หญ้าหวานแทนซูคราโลส
ถ้าเราดูเปรียบเทียบแบบนี้ง่ายๆ ก็คงจะพอมองเห็นแล้ว สารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่ได้แนะนำ ไปข้างต้นนั้น ตัวที่มีราคาถูกที่สุด และ มีข้อกังวล เรื่องความปลอดภัยอยู่ ก็ คือตัวแอสปาแตม เป็นไปได้ควรเลี่ยง หรือกินให้น้อยที่สุด
ตัวที่เหมาะกว่านั้นขึ้นมา จะเป็นอิริทริทอล และ ซูคราโลส ซึ่งราคาก็จะสูงกว่าเดิมขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น และ ตัวที่ธรรมชาติที่สุด ก็คือ สตีเวีย หรือ หญ้าหวานนั่นเอง แต่ราคาก็จะสูงขึ้นไปอีกมากเลยทีเดียว
แต่ถ้าพูดถึงในเชิงเครื่องดื่มแล้ว เรามักจะไม่ค่อยเห็น การนำสตีเวียมาใช้ อาจด้วยเพราะราคาที่สูง และ รสชาติที่หวานแปลกๆ ด้วยนั่นเอง
ลองดูตัวอย่างน้ำอัดลม ยี่ห้อดัง โค้ก สูตร ไม่มีน้ำตาล และ เป็ปซี่ แม็กซ์เทสต์ ถ้ามองดูผ่านๆ เราจะพบว่า 0 calorie และ ไม่มีน้ำตาลเหมือนๆ กัน แต่เมื่อมองส่วนประกอบให้ละเอียด จะพบว่ามีความแตกต่าง
- โค้ก สูตรไม่มีน้ำตาล ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล สองตัว คือ
อะซีซัลแฟม โพแทสเซียม และ ซูคราโลส
- เป็ปซี่ แม็กซ์เทสต์ ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล สองตัว คือ
อะซีซัลแฟม โพแทสเซียม และ แอสปาแตม
และอีกหนึ่งตัวอย่าง ที่ชูเรื่องน้ำตาลน้อย คือเครื่องดื่มประเภท functional drink อย่างเช่น Mansome ที่มีการออกสูตรน้ำตาลน้อย ฝาสีเทาๆ มาสักพักแล้ว มี 2 สูตรคือ สูตรคอลลาเจล สีฟ้า และ แอล-กลูตาไธโอน สีแดง ซึ่งทั้ง 2 สูตรนั้นใช้ ซูคราโลส เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลด้วยเช่นกัน
ถ้าตามข้อมูลที่มีมา ผมก็จะเลือก ใช้ ซูคราโลส แบบที่อยู่ในเครื่องดื่มเหล่านี้ มากกว่า แอสปาแตม
แต่อยากจะสรุปทิ้งท้ายไว้ ว่า ปัญหาจริงๆ ของคนที่กินสารให้ความหวานแทนน้ำตาล คือ
มักจะคิดว่ามัน ไม่มีแคลอรี่ มัน 0 kcal กินได้ ไม่อั้น ไม่อ้วนหรอก ซึ่งความคิดแบบนี้ จะก่อให้เกิดปัญหาตามมา ถึงเราจะไม่อ้วนจากเครื่องดื่ม 0 kcal แต่เราจะหิวและไปกินอย่างอื่นเพิ่มได้ง่าย และ ที่สำคัญทำให้เราเป็นคนติดหวานแบบเลิกไม่ได้ มีโอกาสที่จะอยากไปกินอะไรหวานๆ บ่อยขึ้นในอนาคต
เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดคือเดินสายกลาง โดยการ ฝึกกินหวานให้น้อยลงทีละนิด แล้วถ้าบางครั้ง อยากกินอะไรหวานๆ ก็ เลือกใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่ปลอดภัย ก็จะทำให้เราได้กินของอร่อยๆ และ มีนิสัยการกินเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นด้วยครับ
▼
กำลังโหลดข้อมูล...
▼
แสดงความคิดเห็น
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
น้ำตาลอิริทริทอลกับหญ้าหวาน อันไหนใช้แทนน้ำตาลแล้วดีต่อสุขภาพกว่ากันคะ
สมาชิกหมายเลข 1927715
สารให้ความหวานแทนน้ำตาล อะไรดีสำหรับแทนในชานมไข่มุกครับ
น้ำตาลสูงมาก สารให้ความหวานก็หลากหลายเหลือเกิน หญ้าหวาน ซัคคาริน แอสปาแตม มีอะไรอีกบ้าง ศึกษาจากไหนดี ว่าอะไรมันข้อดีเสียยังไง และแบบไหนเหมาะกับชาไข่มุก
สมาชิกหมายเลข 2810923
สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ทำมาจากอะไรค่ะ กินไปนานๆมีผลเสียอะไรรึเปล่า
สารให้ความหวานแทนน้ำตาลทำมาจากอะไรค่ะ กินไปนานๆจะมีผลเสียอะไรต่อร่างกายรึเปล่า แคลอรี่น้อยกว่าน้ำตาลทรายครึ่งต่อครึ่งเลย
สมาชิกหมายเลข 970546
รีวิวขนมปังสังขยา มนต์นมสด VS จิ๊บจิ๊บ
สวัสดีค่าา ห่างหายไปนานกับกระทู้พันทิพ :) พอดีมีของที่น่าสนใจเลยอยากเอามารีวิวให้ทุกคนได้อ่านกัน รอบนี้ขอจัดหนักจัดเต็ม กับน้ำหนักที่ต้องเพิ่มหลังจากการรีวิว 555 นั่นก็คือ การรีวิวเปรียบเทียบขนมปังสั
เต้าหู้ไข่ไม่ใส่สารกันบูด
สารให้ความหวาน อิควล กินแล้วดีกว่าน้ำตาลปกติอย่างไร กินไปนานๆอันตรายไหม
พอดีว่าเสี่ยงเป็นเบาหวานจากกรรมพันธุ์ แล้วติดหวาน ต้องการลดน้ำหนักด้วย ตัวนี้เหมาะสมไหมคะ มีตัวไหนแนะนำไหมคะ แนะนำปริมาณที่เหมาะสมต่อวันด้วยค่ะ ขอบคุณล่วงหน้ามากๆเลยค่ะ
kizmeplz
"หมอโอ๊ค" เตือน 5 เครื่องดื่มอันตราย คนไทยดื่มเกือบทุกคน เร่งตับ-ไตวาย เสี่ยงตายไว
1. แอลกอฮอล์ : ทำร้ายทั้งตับ ไต และระบบล้างพิษของร่างกาย ดื่มแล้วสบายใจ... แต่ตับต้องทำงานล้างพิษหนักที่สุด แอลกอฮอล์เปลี่ยนเป็น Acetaldehyde ซึ่งเป็นสารพิษที่ทำลายเซลล์ตับโดยตรง ถ้าดื่มบ่อย GGT จะขึ้
สมาชิกหมายเลข 2469579
5 พฤติกรรมฮิต ทำให้คนอายุน้อยเสี่ยงเป็น "มะเร็งลำไส้" มากขึ้น
อ้างถึง... นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุข้อความว่า 5 พฤติกรรมยอดฮิตที่ทำให้คนไทยเสี่ยง “มะเร็งลำไส้” มากขึ้นแบบไม่รู้ตัว เผยสถิติคนอายุน้อยก็เสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้มากขึ้นทุกปี
จินดาหรา
++ฟินองซิเอ่ร์หรือเค้กเนยอัลมอนด์ฝรั่งเศส สูตรปราศจากน้ำตาล ขนมเอาใจผู้ป่วยเบาหวานและคนชอบทานหวานน้อย มาทางนี้เลยจ้า++
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ วันนี้หยกมาแชร์สูตรขนมฝรั่งเศสอร่อยๆวิธีทำไม่ยุ่งยากอีกเช่นเคยค่ะ แต่พิเศษตรงที่วันนี้เป็นสูตรเป็นขนมที่ปราศจากน้ำตาล นั่นเองค่ะ ฟินองซิเอ่ร์เป็นขนมชิ้นเล็กของว่างยามบ่ายขอ
Mamanyok
กินน้ำตาลเยอะเกิน40กรัมต่อวันแต่เป็นนักกีฬา
สวัสดีครับ คือตามหัวข้อผมกินน้ำตาลเยอะมากแต่ละวันคือเกิน40กรัมแต่ผมเล่นซ้อมกีฬาฟุตวอลตอนเย็นตลอดแบบนี้เป็นไรมั้ยครับ คือตอนว้อามคือกินประมาณไม่เกิน25กรัมเพราะผมกินพวกเครื่องดื่มให้พลังงานแบบไม่มีน้ำตา
สมาชิกหมายเลข 7998953
3 เมนูเค้กคลีน ไม่แป้ง ไม่น้ำตาล ไม่ใช้เตาอบ จบในไมโครเวฟเครื่องเดียว
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ วันนี้จะพาเพื่อนๆมาทำของว่างทานกันโดยใช้แค่ไมโครเวฟเครื่องเดียวค่ะ โดยวันนี้เราจะทำรวดเดียว 3 สูตรเลย ซื้อทั้ง 3 สูตรนี้ เป็นสูตรที่ไม่ใส่แป้ง ไม่ใส่น้ำตาลค่ะ ไปทำกันเลยค่ะ VDO วิ
Suwanan2011
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
เครื่องดื่ม
โภชนาการ
น้ำตาลและสารให้ความหวาน
บนสุด
ล่างสุด
อ่านเฉพาะข้อความเจ้าของกระทู้
หน้า:
หน้า
จาก
แชร์ : 154
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ยอมรับ
อาหารและเครื่องดื่มใน Super Market ที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล แบบไหนดีไม่ดีมาดูกัน
ต้องบอกอย่างนี้ก่อนนะครับว่า “น้ำตาล เป็นยาเสพย์ติดที่ถูกกฎหมาย” หลายๆ คน คงเคยได้ยินประโยคนี้ และ ทุกวันนี้ คนก็รู้แล้วว่า การกินน้ำตาลมากเกินไป เป็นหนึ่งในสาเหตุ ที่ทำให้เกิดโรคกลุ่ม NCDs มากมาย ทั้ง เบาหวาน หัวใจ ความดัน ฯลฯ
องค์การอนามัยโลก แนะนำว่า ผู้หญิง ไม่ควรกินน้ำตาลเกินวันละ 24 กรัม และ ผู้ชายไม่ควรเกินวันละ 36 กรัม แต่ จากสถิติ ระบุว่าคนไทย กินน้ำตาล โดยเฉลี่ย วันละ 88 กรัม ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 3-4 เท่า
เราเห็นตัวเลขนี้ครั้งแรก ก็ คง งง ว่า “เฮ้ย เป็นไปได้เหรอ ใครจะกินน้ำตาลเยอะขนาดนั้น กินก๋วยเตี๋ยวก็แทบไม่ใส่น้ำตาลเพิ่มเลย”
แท้ที่จริง แล้ว น้ำตาล มันถูกเติมเข้ามาในอาหารแทบจะทุกขั้นตอนอยู่แล้ว และ ที่เยอะที่สุด ก็คืออยู่ในเครื่องดื่มหวานๆ ที่คนไทยติดกันมากนี่เอง ( บางอันไม่ค่อยหวานด้วย ออกเปรี้ยว แต่ก็ยังน้ำตาลมหาศาล ) ไม่ต้องนับกาแฟเย็น ชาเย็น ชานมไข่มุก ที่เราไม่อาจรู้ปริมาณน้ำตาลที่แน่นอนได้ ลองไปดูพวกน้ำผลไม้กล่องที่หลายๆคนคิดว่า กินแล้วดีต่อสุขภาพดูสิ บางทีกล่องเล็กๆ กล่องเดียว น้ำตาล 20-30 กรัม เลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้ สารให้ความหวานแทนน้ำตาล จึงได้รับความสนใจ นำมาใช้กันมากขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพ แต่ยังเจาะตลาด คนอยากลดความอ้วน ได้อีกด้วย เพราะ ถ้าอยากลดความอ้วนต้องลดการทานหวาน ลดการทานน้ำตาล
เราก็เป็นคนนึงที่อยากกินอะไรอร่อยๆ แต่ดีต่อสุขภาพด้วย จึงเริ่มหาข้อมูล ว่าสารให้ความหวานแต่ละตัวแตกต่างกันยังไง วันนี้ จะมาอธิบายให้ฟัง ว่าตัวที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายนั้น มีความแตกต่างกันยังไงบ้าง
แอสปาแตม ( Aspatam ) สังเคราะห์ด้วยกระบวนการทางเคมี ใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งในขนมและน้ำอัดลม เพราะราคาถูก และ หวานกว่าน้ำตาล ถึง 200 เท่า แต่จะทิ้งรสขมเล็กน้อยหลังจากทาน
แต่ข้อเสียคือ ทนความร้อนได้ไม่ดี ถ้าโดนความร้อนสูงหรือเก็บไว้นานๆ อาจทำให้โครงสร้างของแอสปาแตมเปลี่ยนไป และ ส่งผลเสียได้ จึงไม่ควรไปใช้กับการปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนสูง
พร้อมทั้งยังมีงานวิจัยบางชิ้น บอกว่า อาจมีผลข้างเคียง ทำให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนเพิ่มขึ้น และ ถ้าทานต่อเนื่องระยะยาวอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ รวมถึงบางงานวิจัยชี้ว่าเชื่อมโยงกับการเกิดมะเร็งด้วย ทั้งนี้ ทางบริษัทผู้ผลิต ก็ได้ออกมาตอบโต้ทันที ว่ายังไม่มีงานวิจัยใดๆ ยืนยันชัดเจนได้เลย ว่า แอสปาแตมเลวร้ายอย่างที่ถูกกล่าวอ้าง
แต่เอาเป็นว่า กันไว้ดีกว่าแก้ อะไรที่มีแอสปาแตม ก็กินน้อยๆ หน่อยแล้วกัน
2. ซูคราโลส ( Sucralose ) สังเคราะห์ด้วยกระบวนการทางเคมี ถูกนำมาใช้ในน้ำตาลเทียมหลายๆยี่ห้อ เพราะให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล ถึง 600 เท่า คิดดูว่าถ้าปกติเราต้องใส่น้ำตาล 1 ช้อนชา ( 4 กรัม ) พอหันมาใช้ ซูคราโลส เราก็จะใส่แค่ 0.00167 ช้อนชา เหมือนใส่น้ำตาลแค่ 1 เม็ด เล็กๆ เท่านั้น
เวลาที่เขานำมาใช้จริง ถ้าทำเป็นน้ำตาล ที่ less cal หรือ ได้แคลน้อยลง จึงมักจะไม่นำซูคราโลส มาใช้เพียงอย่างเดียว เพราะเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะใส่ในปริมาณน้อยขนาดนั้น ทางบริษัทผู้ผลิต จะใช้น้ำตาลตามปกติ แต่ลดปริมาณลง แล้วผสมซูคราโลส ลงไปเล็กน้อย ทำให้ได้รสชาติหวานเหมือนเดิม แต่ได้รับปริมาณน้ำตาลน้อยลงนั่นเอง
ร่างกายเรา ไม่สามารถย่อยซูคราโลสได้ เรากินเข้าไป ได้ รสหวานก็จริง แต่เมื่อร่างกายย่อยไม่ได้ ดูดซึมไม่ได้มันจึงไม่มีแคลอรี่ ที่สำคัญสามารถทนความร้อนได้ดี ใช้ประกอบอาหารได้
องค์การอนามัยโลกให้การยอมรับแล้วว่าปลอดภัยเทียบเท่ากับกินน้ำตาลตาม
ธรรมชาติ สิ่งเดียวที่ควรระวังคือ คุณธรรมของผู้ผลิต เพราะบางที ใช้แอสปาแตม
แทน เพราะถูกกว่า แล้ว หลอกว่าใช้ซูคราโลส
เพราะฉะนั้น ดูบริษัทที่น่าเชื่อถือด้วยแล้วกัน
3. อะซี ซัลแฟม โพแทสเซียม ( acesulfame K ) ให้รสชาติคล้ายน้ำตาล แต่
หวานกว่าน้ำตาล ถึง 200 เท่า มักใช้ร่วมกับสารให้ความหวานตัวอื่นๆ เพื่อลดความ
รู้สึกขมติดลิ้นหลังจากกินไปแล้วได้
ถูกใช้อย่างแพร่หลายในเครื่องดื่ม และ ได้รับการยอมรับจากทั้งทางอเมริกา และ
ยุโรป ว่าปลอดภัย ที่น่าสนใจ คือ อะซีซัลแฟม โพแทสเซียม จะไม่สะสมอยู่ในร่างกาย
เมื่อถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดแล้ว จะถูกขับออกทางปัสสาวะ ได้
4. อิริทริทอล ( Erythritol ) ตัวนี้จะมาแปลกกว่าอย่างอื่น ตรงที่ให้ความหวาน น้อยกว่า
น้ำตาล ทั่วไป คือหวานแค่ 70% ของน้ำตาลเท่านั้น พูดง่ายๆ คือ ถ้าเคยกินน้ำตาล
1 ช้อนชา แล้วจะเปลี่ยนมาใช้ อิริทริทอล อาจต้องใช้เพิ่มขึ้นเป็น 1.5 ช้อนชา
ด้วยเหตุนี้ ผู้ผลิตจึงมักจะใช้ อิริทริทอล ผสมกับ สารให้ความหวานตัวอื่น เพื่อจะได้
ใส่ในปริมาณน้อยลง แต่ได้ความหวานเท่าเดิม
จุดเด่นหลักๆ เลย คือ ปลอดภัย เพราะ เสมือนเป็นอนุพันธ์ของน้ำตาลจริงๆ แต่ให้
พลังงาน น้อยกว่ามากๆๆๆ โดย
น้ำตาล 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่
อิริทิทอล 1 กรัม ให้พลังงาน 0.24 กิโลแคลอรี่ เท่านั้น
5. หญ้าหวาน ( Stevia ) เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ไม่ใช่สารเคมี จึงถือว่าปลอดภัย
ที่สุด มีความหวานมากกว่าน้ำตาล 250-300 เท่า ร่างกายไม่สามารถย่อยได้ จึงไม่ให้
พลังงาน
เมื่อกินเข้าไปแล้ว จะออกรสหวานช้ากว่าน้ำตาล แต่ จะหวานติดลิ้นนานกว่า และ
ยังสามารถ ทนความร้อนได้ดี ใช้ในการประกอบอาหารได้
ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ว่า ปลอดภัย ยังไม่พบ ผลข้างเคียงในขณะนี้
ผมมีตัวอย่างจริง ให้เราได้ดู เผื่อเอาไปปรับใช้ และ เลือกซื้อของในครั้งถัดไป
เรามาเริ่มกันที่ Equal ซึ่งเป็นบริษัท ที่ผลิตสารให้ความหวานแทนน้ำตาล มานานแสนนาน
ขนาด Equal เอง ยังมีสินค้าให้เลือกถึง สามชิ้น วางอยู่ ติดๆ กันเลย ถ้าเราไม่มีความรู้ คง งง ว่าจะซื้ออันไหนดี หรือ ไม่ก็หยิบอันที่มันราคาถูกๆ ไว้ก่อน แต่พอเรารู้แล้ว เราก็จะสามารถเปรียบเทียบได้
- Equal Classic 0 calorie ใช้ แลคโตส 96.1% และ แอสปาแตม 3.6%
50 ซอง ราคา 91 บาท
- Equal Gold 0 calorie ใช้ อิริทริทอล 98.3% และ ซูคราโลส 1.6%
50 ซอง ราคา 106 บาท
อย่างที่อธิบายไว้ อิริทริทอล นั้นหวานน้อยกว่าน้ำตาล เค้าจึงต้องใช้ อิริทริทอล เป็นหลัก
แล้ว เติมซูคราโลส ลงไปเล็กน้อย เพื่อให้ได้ความหวานเท่าน้ำตาลปกติ
- Equal Stevia 0 calorie ใช้ อิริทริทอล 98.87% และ สตีเวีย 0.83%
40 ซอง ราคา 110 บาท
หลักการเดียวกัน แต่เปลี่ยนมาใช้หญ้าหวานแทนซูคราโลส
ถ้าเราดูเปรียบเทียบแบบนี้ง่ายๆ ก็คงจะพอมองเห็นแล้ว สารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่ได้แนะนำ ไปข้างต้นนั้น ตัวที่มีราคาถูกที่สุด และ มีข้อกังวล เรื่องความปลอดภัยอยู่ ก็ คือตัวแอสปาแตม เป็นไปได้ควรเลี่ยง หรือกินให้น้อยที่สุด
ตัวที่เหมาะกว่านั้นขึ้นมา จะเป็นอิริทริทอล และ ซูคราโลส ซึ่งราคาก็จะสูงกว่าเดิมขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น และ ตัวที่ธรรมชาติที่สุด ก็คือ สตีเวีย หรือ หญ้าหวานนั่นเอง แต่ราคาก็จะสูงขึ้นไปอีกมากเลยทีเดียว
แต่ถ้าพูดถึงในเชิงเครื่องดื่มแล้ว เรามักจะไม่ค่อยเห็น การนำสตีเวียมาใช้ อาจด้วยเพราะราคาที่สูง และ รสชาติที่หวานแปลกๆ ด้วยนั่นเอง
ลองดูตัวอย่างน้ำอัดลม ยี่ห้อดัง โค้ก สูตร ไม่มีน้ำตาล และ เป็ปซี่ แม็กซ์เทสต์ ถ้ามองดูผ่านๆ เราจะพบว่า 0 calorie และ ไม่มีน้ำตาลเหมือนๆ กัน แต่เมื่อมองส่วนประกอบให้ละเอียด จะพบว่ามีความแตกต่าง
- โค้ก สูตรไม่มีน้ำตาล ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล สองตัว คือ
อะซีซัลแฟม โพแทสเซียม และ ซูคราโลส
- เป็ปซี่ แม็กซ์เทสต์ ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล สองตัว คือ
อะซีซัลแฟม โพแทสเซียม และ แอสปาแตม
และอีกหนึ่งตัวอย่าง ที่ชูเรื่องน้ำตาลน้อย คือเครื่องดื่มประเภท functional drink อย่างเช่น Mansome ที่มีการออกสูตรน้ำตาลน้อย ฝาสีเทาๆ มาสักพักแล้ว มี 2 สูตรคือ สูตรคอลลาเจล สีฟ้า และ แอล-กลูตาไธโอน สีแดง ซึ่งทั้ง 2 สูตรนั้นใช้ ซูคราโลส เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลด้วยเช่นกัน
ถ้าตามข้อมูลที่มีมา ผมก็จะเลือก ใช้ ซูคราโลส แบบที่อยู่ในเครื่องดื่มเหล่านี้ มากกว่า แอสปาแตม
แต่อยากจะสรุปทิ้งท้ายไว้ ว่า ปัญหาจริงๆ ของคนที่กินสารให้ความหวานแทนน้ำตาล คือ
มักจะคิดว่ามัน ไม่มีแคลอรี่ มัน 0 kcal กินได้ ไม่อั้น ไม่อ้วนหรอก ซึ่งความคิดแบบนี้ จะก่อให้เกิดปัญหาตามมา ถึงเราจะไม่อ้วนจากเครื่องดื่ม 0 kcal แต่เราจะหิวและไปกินอย่างอื่นเพิ่มได้ง่าย และ ที่สำคัญทำให้เราเป็นคนติดหวานแบบเลิกไม่ได้ มีโอกาสที่จะอยากไปกินอะไรหวานๆ บ่อยขึ้นในอนาคต
เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดคือเดินสายกลาง โดยการ ฝึกกินหวานให้น้อยลงทีละนิด แล้วถ้าบางครั้ง อยากกินอะไรหวานๆ ก็ เลือกใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่ปลอดภัย ก็จะทำให้เราได้กินของอร่อยๆ และ มีนิสัยการกินเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นด้วยครับ