สืบเนื่องจากข่าว
ที่มีน้องคนหนึ่งเสียชีวิตลงเนื่องจากซื้อยาไมเกรนมาทานเอง
กระทู้นี้จึงเขียนขึ้นเพื่อแชร์ประสบการณ์ โรคปวดหัวชนิดหนักมากของผมเอง
ซึ่งหลายๆ หมอ บอกว่าผมเป็น"
ไมเกรน"
โดยหวังว่าอาจจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง หลายคนหรือสักคนสองคนก็ยังดีที่ได้มีโอกาสแวะเข้ามาอ่าน

(ภาพจาก
https://www.akerufeed.com/health/headaches)
โรคนี้ไม่มีชื่อภาษาไทย เรียกทับศัพท์ว่า “
คลัสเตอร์เฮดเอช – Cluster Headaches”
รายละเอียดต่างๆ ของโรคนี้ ผู้อ่านสามารถหาข้อมูลได้เยอะพอสมควรใน internet ครับ
แต่ที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ มันมาจากตัวผมเอง อย่าเอาไปอ้างอิงใดๆ ทางวิชาการนะครับ
อาการ
ปวดหัวข้างเดียวคล้ายๆ ไมเกรน จะเริ่มหนึบๆ ที่ท้ายทอยก่อน หนัก-เบาสลับกัน แล้วค่อยๆ หนักขึ้นๆ จนถึงขมับและเบ้าตา(ข้างใดข้างหนึ่ง)
อาการที่แตกต่างจากไมเกรน ที่ชัดเจนเลยคือ เมื่อปวดจนพีคสุดๆ จะคลื่นใส้อาเจียน น้ำตาไหล น้ำมูกไหล อาจปวดอุจจาระปัสสาวะด้วย
ที่เรียกว่าคลัสเตอร์ เพราะมันปวดเป็นชุดๆ คืออาจปวดวันละครั้ง ติดต่อกันสามเดือน แล้วหายไปสัก 1 ปี ครบ 1 ปี ก็กลับมาปวดอีก ...ความถี่ค่อนข้างชัดเจน มีรูปแบบ แต่รูปแบบก็เปลี่ยนได้เรื่อยๆ ความหนักในความปวด หมอท่านหนึ่งบอกว่าหนักกว่าไมเกรนประมาณ 10 เท่า หนักจนแทบอยากจะฆ่าตัวตาย
ผมเป็นโรคนี้ ตั้งแต่อายุ 19 ปี ช่วงแรกๆ ก็ปวดประมาณ 1 เดือน แล้วก็หายไปประมาณ 2-3 ปี หลังๆ นี่ ปวดยาวถึง 6-7 เดือน แล้วจะทิ้งช่วงสัก 4-5 เดือน ...หมอบอกว่าโรคนี้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แค่ทรมานตอนปวดเท่านั้น บอกเลยว่า โรคนี้ ถ้าเจอหมอที่ไม่ใส่ใจผู้ป่วย ก็จะวินิจฉัยว่าเป็นไมเกรน ผู้ป่วยก็ซวยไป ....ส่วนตัวผม หาหมอทั่วไปหมด ทุกศาสตร์ทุกแขนง
แรกๆ ผมไปหาหมอที่ รพ. แถวๆ วิภาวดี ...วินิจฉัยว่า เป็นไซนัสอักเสบ
ไป รพ.แถวๆ สาธร บอกเป็น ปลายประสาทอักเสบ (อันนี้แสบมาก เดี๋ยวอ่านไปตอนท้ายๆ จะรู้ว่าแสบยังไง)
รพ. อื่นๆ อีกประมาณ 5-6 รพ. บอกว่าเป็น”ไมเกรน”
(ส่วนวิธีอื่นๆ ที่ได้ลองทำคือ นวดทั่วไป/นวดจัดกระดูกต้นคอ/ขูดผิว/จับเส้น/ฝังเข็ม/ปล่อยสัตว์/สะเดาะเคราะห์ต่อชะตา ฯลฯ คิดว่าลองมาเยอะมาก)
จนสุดท้าย มาจบที่ รพ.ศิริราช (เมื่ออายุประมาณ 35 ปี)
อาจารย์หมอบอกว่าเป็น”คลัสเตอร์เฮดเอช” บอกว่าแปลกมากเพราะส่วนใหญ่พบในผู้สูงอายุ บอกว่าไม่มีทางรักษา และจ่ายยาไมเกรนมากิน
และก็นั่นแหละ ยามันก็ไม่ได้ช่วยอะไร กินก็เหมือนไม่กิน
จนมาวันหนึ่ง ขณะขับรถกลับบ้าน สายตาก็ไปสะดุดกับคลินิกเล็ก ๆ แห่งหนึ่งแถวๆ ตลิ่งชัน ขึ้นป้ายว่าคลินิกสมองและระบบประสาท(ปัจจุบันปิดไปแล้ว) ก็เลยตัดสินใจลองแวะดู
ที่นี่.... มันทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไป จากที่ทนทุกข์ทรมานมาหลายสิบปี
ตอนนี้ใช้ชีวิตร่วมกับมันได้เกือบลงตัว เข้าใจซึ่งกันและกัน 555
หมอที่นี่ยังหนุ่มมากๆ ตรวจละเอียดสุดๆ และก็คอนเฟิร์มว่าผมเป็นคลัสเตอร์เฮดเอช รักษาไม่ได้แต่มีวิธีบรรเทาอาการได้
วิธีบรรเทาอาการ
1. กินยา ยาที่จ่ายคือ Verapamil (ในท้องตลาดน่าจะมีแค่ 2 ยี่ห้อ หาซื้อไม่ง่ายนัก ตัวผมกินถูกแค่ยี่ห้อเดียว อีกยี่ห้อกินเหมือนไม่กิน ...ก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจคิดไปเอง) ยาตัวนี้มีผลข้างเคียงคือ หัวใจเต้นช้าลง เหนื่อยง่าย ท้องผูก ปากเหม็น ฉี่บ่อย (จึงต้องมีเทคนิคการกินนิดหน่อย)
2. ดมออกซิเจน ...ดมเมื่อเริ่มมีอาการ ถ้าดมทันก็ไม่ปวด หรือปวดเบาๆ แค่ 5-10 นาที (ถ้าดมไม่ทันอาจปวดนานหน่อย แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ดม ซึ่งอาจปวดยาวถึง 1-2 ชั่วโมง) เทคนิคการดมก็มีเช่นกัน คือใช้แบบครอบ(ไม่ใช่แบบเสียบจมูก) และเปิดแรงๆ 10-15 ลิตร/นาที ...ชุดดมออกซิเจนนี่แนะนำให้ซื้อติดบ้านติดรถไว้เลย ไม่กี่บาท
3. เลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการ คนอื่นไม่รู้ แต่ส่วนตัวผม มีดังต่อไปนี้
- เหนื่อยเกินไป
- ร้อนเกินไป
- กลิ่นแรงๆ ทุกชนิด เช่น น้ำหอม ไฮเตอร์
- เหล้า/เบียร์ รวมถึงอาหารที่ใช้เหล้าเป็นส่วนประกอบ/
- บุหรี่/กลิ่นบุหรี่
- วิตามินบีทุกชนิด รวมถึง ยาแก้มือเท้าชา, ยาแก้ปลายประสาทอักเสบ, อาหารเสริมที่ผสมวิตามินบี เช่น เห็ดหลินจือแคปซูลบางยี่ห้อ, เครื่องดื่มชูกำลังบางยี่ห้อ, นมกล่องๆ สีเขียวๆ สรุปคือ ลองอ่านส่วนประกอบให้ดีก่อนกิน
ทุกวันนี้ ผมก็ใช้สามวิธีนี้ในการดูแลตัวเอง พยายามเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเข้าไว้ อันที่เลี่ยงยากที่สุดคือกลิ่นบุหรี่ จมูกผมจะไวต่อกลิ่นบุหรี่มาก ระยะ 20-30 เมตร ยังอาจได้กลิ่นเลย คนที่เค้าสูบบุหรี่เค้าไม่รู้หรอกว่า เค้าได้ทำร้ายใครบ้าง เราทำได้แค่กลั้นหายใจและรีบจ้ำหนีให้ไวที่สุด พอมีอาการก็เริ่มกินยา
ดมออกซิเจนไปตามอาการ ในรถก็มีถังออกซิเจนติดไว้ พอใครเห็นก็ตกใจนิดหน่อย ถามว่า เฮ้ย! ใครเป็นอะไร ผมก็ตอบฮาๆ ไป ขี้เกียจอธิบายยืดยาว
หากมีใครสงสัยอะไรก็ถามมาได้หรือหลังไมค์ก็แล้วแต่ครับ
โรคปวดหัวข้างเดียว ที่หลายคนคิดว่าเป็น”ไมเกรน” และหายากินเอง
ที่มีน้องคนหนึ่งเสียชีวิตลงเนื่องจากซื้อยาไมเกรนมาทานเอง
กระทู้นี้จึงเขียนขึ้นเพื่อแชร์ประสบการณ์ โรคปวดหัวชนิดหนักมากของผมเอง
ซึ่งหลายๆ หมอ บอกว่าผมเป็น"ไมเกรน"
โดยหวังว่าอาจจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง หลายคนหรือสักคนสองคนก็ยังดีที่ได้มีโอกาสแวะเข้ามาอ่าน
โรคนี้ไม่มีชื่อภาษาไทย เรียกทับศัพท์ว่า “คลัสเตอร์เฮดเอช – Cluster Headaches”
รายละเอียดต่างๆ ของโรคนี้ ผู้อ่านสามารถหาข้อมูลได้เยอะพอสมควรใน internet ครับ
แต่ที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ มันมาจากตัวผมเอง อย่าเอาไปอ้างอิงใดๆ ทางวิชาการนะครับ
อาการ
ปวดหัวข้างเดียวคล้ายๆ ไมเกรน จะเริ่มหนึบๆ ที่ท้ายทอยก่อน หนัก-เบาสลับกัน แล้วค่อยๆ หนักขึ้นๆ จนถึงขมับและเบ้าตา(ข้างใดข้างหนึ่ง)
อาการที่แตกต่างจากไมเกรน ที่ชัดเจนเลยคือ เมื่อปวดจนพีคสุดๆ จะคลื่นใส้อาเจียน น้ำตาไหล น้ำมูกไหล อาจปวดอุจจาระปัสสาวะด้วย
ที่เรียกว่าคลัสเตอร์ เพราะมันปวดเป็นชุดๆ คืออาจปวดวันละครั้ง ติดต่อกันสามเดือน แล้วหายไปสัก 1 ปี ครบ 1 ปี ก็กลับมาปวดอีก ...ความถี่ค่อนข้างชัดเจน มีรูปแบบ แต่รูปแบบก็เปลี่ยนได้เรื่อยๆ ความหนักในความปวด หมอท่านหนึ่งบอกว่าหนักกว่าไมเกรนประมาณ 10 เท่า หนักจนแทบอยากจะฆ่าตัวตาย
ผมเป็นโรคนี้ ตั้งแต่อายุ 19 ปี ช่วงแรกๆ ก็ปวดประมาณ 1 เดือน แล้วก็หายไปประมาณ 2-3 ปี หลังๆ นี่ ปวดยาวถึง 6-7 เดือน แล้วจะทิ้งช่วงสัก 4-5 เดือน ...หมอบอกว่าโรคนี้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แค่ทรมานตอนปวดเท่านั้น บอกเลยว่า โรคนี้ ถ้าเจอหมอที่ไม่ใส่ใจผู้ป่วย ก็จะวินิจฉัยว่าเป็นไมเกรน ผู้ป่วยก็ซวยไป ....ส่วนตัวผม หาหมอทั่วไปหมด ทุกศาสตร์ทุกแขนง
แรกๆ ผมไปหาหมอที่ รพ. แถวๆ วิภาวดี ...วินิจฉัยว่า เป็นไซนัสอักเสบ
ไป รพ.แถวๆ สาธร บอกเป็น ปลายประสาทอักเสบ (อันนี้แสบมาก เดี๋ยวอ่านไปตอนท้ายๆ จะรู้ว่าแสบยังไง)
รพ. อื่นๆ อีกประมาณ 5-6 รพ. บอกว่าเป็น”ไมเกรน”
(ส่วนวิธีอื่นๆ ที่ได้ลองทำคือ นวดทั่วไป/นวดจัดกระดูกต้นคอ/ขูดผิว/จับเส้น/ฝังเข็ม/ปล่อยสัตว์/สะเดาะเคราะห์ต่อชะตา ฯลฯ คิดว่าลองมาเยอะมาก)
จนสุดท้าย มาจบที่ รพ.ศิริราช (เมื่ออายุประมาณ 35 ปี)
อาจารย์หมอบอกว่าเป็น”คลัสเตอร์เฮดเอช” บอกว่าแปลกมากเพราะส่วนใหญ่พบในผู้สูงอายุ บอกว่าไม่มีทางรักษา และจ่ายยาไมเกรนมากิน
และก็นั่นแหละ ยามันก็ไม่ได้ช่วยอะไร กินก็เหมือนไม่กิน
จนมาวันหนึ่ง ขณะขับรถกลับบ้าน สายตาก็ไปสะดุดกับคลินิกเล็ก ๆ แห่งหนึ่งแถวๆ ตลิ่งชัน ขึ้นป้ายว่าคลินิกสมองและระบบประสาท(ปัจจุบันปิดไปแล้ว) ก็เลยตัดสินใจลองแวะดู
ที่นี่.... มันทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไป จากที่ทนทุกข์ทรมานมาหลายสิบปี
ตอนนี้ใช้ชีวิตร่วมกับมันได้เกือบลงตัว เข้าใจซึ่งกันและกัน 555
หมอที่นี่ยังหนุ่มมากๆ ตรวจละเอียดสุดๆ และก็คอนเฟิร์มว่าผมเป็นคลัสเตอร์เฮดเอช รักษาไม่ได้แต่มีวิธีบรรเทาอาการได้
วิธีบรรเทาอาการ
1. กินยา ยาที่จ่ายคือ Verapamil (ในท้องตลาดน่าจะมีแค่ 2 ยี่ห้อ หาซื้อไม่ง่ายนัก ตัวผมกินถูกแค่ยี่ห้อเดียว อีกยี่ห้อกินเหมือนไม่กิน ...ก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจคิดไปเอง) ยาตัวนี้มีผลข้างเคียงคือ หัวใจเต้นช้าลง เหนื่อยง่าย ท้องผูก ปากเหม็น ฉี่บ่อย (จึงต้องมีเทคนิคการกินนิดหน่อย)
2. ดมออกซิเจน ...ดมเมื่อเริ่มมีอาการ ถ้าดมทันก็ไม่ปวด หรือปวดเบาๆ แค่ 5-10 นาที (ถ้าดมไม่ทันอาจปวดนานหน่อย แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ดม ซึ่งอาจปวดยาวถึง 1-2 ชั่วโมง) เทคนิคการดมก็มีเช่นกัน คือใช้แบบครอบ(ไม่ใช่แบบเสียบจมูก) และเปิดแรงๆ 10-15 ลิตร/นาที ...ชุดดมออกซิเจนนี่แนะนำให้ซื้อติดบ้านติดรถไว้เลย ไม่กี่บาท
3. เลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการ คนอื่นไม่รู้ แต่ส่วนตัวผม มีดังต่อไปนี้
- เหนื่อยเกินไป
- ร้อนเกินไป
- กลิ่นแรงๆ ทุกชนิด เช่น น้ำหอม ไฮเตอร์
- เหล้า/เบียร์ รวมถึงอาหารที่ใช้เหล้าเป็นส่วนประกอบ/
- บุหรี่/กลิ่นบุหรี่
- วิตามินบีทุกชนิด รวมถึง ยาแก้มือเท้าชา, ยาแก้ปลายประสาทอักเสบ, อาหารเสริมที่ผสมวิตามินบี เช่น เห็ดหลินจือแคปซูลบางยี่ห้อ, เครื่องดื่มชูกำลังบางยี่ห้อ, นมกล่องๆ สีเขียวๆ สรุปคือ ลองอ่านส่วนประกอบให้ดีก่อนกิน
ทุกวันนี้ ผมก็ใช้สามวิธีนี้ในการดูแลตัวเอง พยายามเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเข้าไว้ อันที่เลี่ยงยากที่สุดคือกลิ่นบุหรี่ จมูกผมจะไวต่อกลิ่นบุหรี่มาก ระยะ 20-30 เมตร ยังอาจได้กลิ่นเลย คนที่เค้าสูบบุหรี่เค้าไม่รู้หรอกว่า เค้าได้ทำร้ายใครบ้าง เราทำได้แค่กลั้นหายใจและรีบจ้ำหนีให้ไวที่สุด พอมีอาการก็เริ่มกินยา
ดมออกซิเจนไปตามอาการ ในรถก็มีถังออกซิเจนติดไว้ พอใครเห็นก็ตกใจนิดหน่อย ถามว่า เฮ้ย! ใครเป็นอะไร ผมก็ตอบฮาๆ ไป ขี้เกียจอธิบายยืดยาว
หากมีใครสงสัยอะไรก็ถามมาได้หรือหลังไมค์ก็แล้วแต่ครับ