หน้าแรก
คอมมูนิตี้
ห้อง
แท็ก
คลับ
ห้อง
แก้ไขปักหมุด
ดูทั้งหมด
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
แท็ก
แก้ไขปักหมุด
ดูเพิ่มเติม
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
{room_name}
{name}
{description}
กิจกรรม
แลกพอยต์
อื่นๆ
ตั้งกระทู้
เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก
เว็บไซต์ในเครือ
Bloggang
Pantown
PantipMarket
Maggang
ติดตามพันทิป
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้
เกี่ยวกับเรา
กฎ กติกา และมารยาท
คำแนะนำการโพสต์แสดงความเห็น
นโยบายเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล
สิทธิ์การใช้งานของสมาชิก
ติดต่อทีมงาน Pantip
ติดต่อลงโฆษณา
ร่วมงานกับ Pantip
Download App Pantip
Pantip Certified Developer
เดรัจฉานวิชา ขายคำพระศาสดาแม้กระทั่งกาแฟ ที่วัดนาป่าพง
กระทู้สนทนา
ศาสนาพุทธ
ร้านกาแฟ
วัด
พระสงฆ์
พระไตรปิฎก
กาแฟใส่นม
เรื่องเดรัจฉานวิชาเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่วัดนาป่าพงสอนผิด อธิบายผิด บิดเบือนไปมาก ทำให้เกิดความเข้าใจผิด สาวกพระคึกฤทธิ์จึงถึงขนาดวาดภาพการ์ตูน พุทธวจน'ตูน โดยนำภาพหลวงพ่อคูนมาเป็นแบบบิดเบือนว่าพระ "ทำ" เดรัจฉานวิชาต้องตกอบาย
ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว ที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามภิกษุทำเดรัจฉานวิชาเพราะจะเป็นช่องทางทำให้เกิดมิจฉาอาชีวะ เป็นผลให้ขวางพระนิพพาน เพราะเหตุไม่สามารถยังอริยมรรคมีองค์แปด ให้เกิดได้ก็เท่านั้นเอง
วัดน่าป่าพงสอนผิดตั้งแต่ใช้คำว่า “ทำเดรัจฉานวิชา” เพราะพระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่า “ทำเดรัจฉานวิชา” แต่ทรงตรัสว่า “เลี้ยงชีพผิดด้วยเดรัจฉานวิชา” มีพระบาลีว่า “ยถา วา ปเนเก โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีเวน ชีวิกํ กปฺเปนฺติ ฯ”
ทำกับเลี้ยงชีพผิด ความหมายต่างกัน แค่การใช้คำตามพระศาสดาโดยมีคำแปลไทยที่ผู้ศึกษาบาลีแปลไว้ให้เสร็จสรรพ พระคึกฤทธิ์ยังทำไม่ตรง แล้วจะอธิบายธรรมตรงตามพุทธดำรัสพระศาสดาหรือ
การที่พระพุทธเจ้าตรัสห้ามภิกษุ “เลี้ยงชีพผิดด้วยเดรัจฉานวิชา” นั้นเป็นเพราะทรงเกรงว่าภิกษุจะไปหลอกลวงชาวบ้าน หาเงิน หาทอง กับชาวบ้าน อันเป็นการบริโภคปัจจัยอันมีโทษ
และเป็นวิชาที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์อันจะนำมาซึ่งความหลุดพ้น จึงทรงตรัสห้าม
เหตุเพราะภิกษุเป็นผู้ดำรงชีพอยู่ด้วยการ “ขอ” ด้วยการ “ให้โดยศรัทธา” ของชาวบ้าน จึงทำให้ภิกษุมีสัมมาอาชีวะ เพราะรับปัจจัยสี่ที่เขาเต็มใจให้ด้วยศรัทธา จึงเป็นหนทางให้อริยมรรคมีองค์แปดเจริญได้
พระศาสดาไม่เคยตรัสว่า “ทำเดรัจฉานวิชาแล้วตกอบาย” ทั้งหมดล้วนเป็นความเข้าใจผิดของพระคึกฤทธิ์และสาวกเอง
พระศาสดาทรงตรัสแต่เพียงว่า การเลี้ยงชีพผิด (มิจฉาอาชีวะ) นั้น เป็นเครื่องที่ทำให้พลาดสวรรค์ พลาดมรรคผล เท่านั้น
อนึ่ง ไม่พึงตีความตามใจตนเองว่า พลาดสวรรค์คือการตกอบาย เพราะมิฉะนั้นท่านจะเป็นผู้กล่าวตู่พระศาสดา หากพระศาสดาทรงประสงค์จะชี้ว่า การเลี้ยงชีพผิดด้วยเดรัจฉานวิชาแล้วตกอบาย จะทรงตรัสชัดเหมือนทุกพระสูตรที่ทรงตรัสเรื่องการตกอบาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยมิจฉัตตะ จึงมีการพลาดจากสวรรค์และมรรคผล ไม่มีการบรรลุสวรรค์และมรรคผล เพราะอาศัยมิจฉัตตะอย่างไร จึงมีการพลาดจากสวรรค์และมรรคผล ไม่มีการบรรลุสวรรค์และมรรคผล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความเห็นผิด ย่อมมีความดำริผิด ผู้มีความดำริผิด ย่อมมีวาจาผิด ผู้มีวาจาผิด ย่อมมีการงานผิด ผู้มีการงานผิด ย่อมมีการเลี้ยงชีพผิด ผู้มีการเลี้ยงชีพผิด ย่อมมีความพยายามผิด ผู้มีความพยายามผิด ย่อมมีความระลึกผิด ผู้มีความระลึกผิด ย่อมมีความตั้งใจผิด ผู้มีความตั้งใจผิด ย่อมมีความรู้ผิด ผู้มีความรู้ผิด ย่อมมีความหลุดพ้นผิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยมิจฉัตตะอย่างนี้แล จึงมีการพลาดจากสวรรค์และมรรคผล ไม่มีการบรรลุสวรรค์และมรรคผล ฯ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต
การเลี้ยงชีพผิด ไม่ใช่มิจฉาทิฏฐิที่จะทำให้ตกอบาย
มิจฉาทิฏฐิที่จะทำให้ตกอบายนั้น ทรงตรัสไว้ดังนี้
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นมิจฉาทิฐิมีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล การเช่นสรวงไม่มีผล ผลวิบากของกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์พวกที่เกิดผุดขึ้นไม่มี สมณะพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว สอนหมู่สัตว์ให้รู้ตามไม่มีในโลก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าทิฐิวิบัติ.... เพราะทิฐิวิบัติเป็นเหตุ สัตว์ทั้งหลายเมื่อกายแตกตายไป ย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก.....ฯ”
พระคึกฤทธิ์ไปอธิบายว่า พระที่ทำน้ำมนต์ คนที่รับการพรมน้ำมนต์ ลามปามไปถึงพระราชพิธีหลวง
มีความเห็นผิดว่า น้ำมนต์เป็นเครื่องดลบันดาล จนถึงกับพูดว่า "อย่าไปเรียกว่าทำน้ำมนต์ให้เรียกว่า
ทำน้ำเดรัจฉานวิชา” นั้น เป็นการพูดเกินคำพระศาสดา และพูดโดยเดาเอาเองด้วยความคิดของตนเองว่า พระที่ทำน้ำพระพุทธมนต์ คนที่พรมน้ำพระพุทธมนต์นั้น ทำไปด้วยความเชื่อว่า กรรมไม่มี น้ำมนต์ดลบันดาล
ทั้งๆ ที่พระศาสดาอธิบายเรื่องการไม่เชื่อผลของกรรมไว้ชัดเจนว่า
“ผลวิบากของกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่วไม่มี” ซึ่งหมายถึง ความไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรมนั่นเอง
ดังนั้น การฟังพระคึกฤทธิ์อธิบายเรื่องเดรัจฉานวิชาผิดๆ จึงส่งผลให้สาวกของพระคึกฤทธิ์เที่ยวจาบจ้วง ด่าพอ เอานรกมาขู่ทั้งพระ ทั้งโยม ไปทั่ว
ทั้งหมด เริ่มจากการอธิบายเรื่องเดรัจฉานวิชาที่ผิด ใช้ศัพท์ผิด ไม่กล่าวตามคำพระศาสดา ไม่ศึกษาพระดำรัสให้ดีนั่นเอง
ขอบคุณที่มาข้อความและภาพ
http://watnaprapong.blogspot.com/2015/08/blog-post_14.html
แก้ไขข้อความเมื่อ
▼
กำลังโหลดข้อมูล...
▼
แสดงความคิดเห็น
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
ทุติยโกกาลิกสูตร
ทุติยโกกาลิกสูตรที่ ๑๐ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๕ สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ข้อที่ ๕๙๘ เป็นต้นไป ---------------------------------------------------------------------- สาวัตถี
traf2003
ประเด็น "กรณีเดรัจฉานวิชา?" (กรณีพระคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล)
ประเด็น "กรณีเดรัจฉานวิชา?" มีหลักฐานว่านักบวชท่านหนึ่ง และคณะ ทำการตัดคำพระพุทธพจน์ของพระศาสดาออก แล้วใส่ความเห็นของตนลงไป ในเรื่องเดรัจฉานวิชา หลักฐานชั้นพุทธวจนะ เดรัจฉาน
สมาชิกหมายเลข 7686632
สาวกวจน vs พุทธวจน
ในพระไตร มี การแสดงธรรมชอว สาวก อยู่ประปราย แล้ว พระรับรองทีหลังว่า พระองค์ถ้าจะแสดงก็แสดงเหมือนสาวกนั้นแหละ แล้ว ธรรมที่สาวกแสดง จะเป็น พุทธวจน หรือ สาวกวจน ถ้าตีความจากสูตรหนึ่งว
สะพานหมุนติ้ว
.... ขออนุญาตถามคนที่จ้องจะโจทก์ความผิดให้ "พระอาจารย์คึกฤทธิ์" ซักคำครับ ....
ผมเป็นห่วงพุทธศาสนิกชนผู้หลงผิด ช่วยลองแนะนำซิครับ ว่าพุทธศาสนิกชนเหล่านี้ควรทำอย่างไร ควรไปวัดไหน หาพระภิกษุรูปใดจึงจะทำให้ธุลีในดวงตาเบาบางลงได้ ขอบคุณครับ เข้าวัดไหนๆก็แทบจะไม่เคยเจอคำสอนของพระศา
หมดเวลารัก
พระพุทธเจ้าสอนกุฎมพีบรรลุโสดาบัน
#เปรียบความตายเหมือนงูลอกคราบ พระศาสดาเสด็จไปยังนิเวศน์ของกุฎุมพีผู้หนึ่ง ผู้ที่ภรรยาและบิดาตาย แล้วตรัสถามกุฎุมพีว่าเศร้าโศกหรือ กุฎุมพีนั้นกราบทูลว่า เศร้าโศกตั้งแต่บุตรตายไปแล้ว พระพุทธองค์ทรงตรัส
สมาชิกหมายเลข 9067942
ไม่ยึดมั่นถือมั่น …..
พุทธวจนะ หนึ่ง พระพุทธเจ้าตอบคำถาม ฆราวาสฯ จะทรงสรุปธรรมะที่ตรัสสอนไว้มากมาย สั้นๆ แก่ พวกเขาที่ยังนอนกอดบุตรภรรยา ได้หรือไม่ 😇 ตรัสว่า สิ่งทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่น ( สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ) สมั
เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม
จากข่าวฉาวในวงการสงฆ์น่าจะพิสูจน์ได้แล้วว่าพระพุทธดำรัสของพระพุทธเจ้าเป็นความจริงที่ว่ากิจของสงฆ์มีเพียง 2 อย่างเท่านั้น
หลายคนไม่มีความเคารพในคำขององค์พระศาสดา หลายคนดูหมิ่นดูแคลนว่า คำขององค์พระศาสดา ล้าสมัยไปแล้ว ไม่ทันโลก ไม่ทันยุคสมัย บางคนอ้างว่า ยุคสมัยนี้ พระภิกษุควรมีส่วนช่วยเหลือสังคม พระภิกษุต้องเป็นพระนักพ
สมาชิกหมายเลข 7572607
ทางเจริญและทางเสื่อมแห่งปัญญา -- พระพุทธะวะจะนะตามพระไตรปิฎก
ทางเจริญและทางเสื่อมแห่งปัญญา พระศาสดาประทับนั่งในที่สุดประมาณ ๑๒๐ โยชน์เทียว ทอดพระเนตรดูภิกษุนั้นแล้วดำริว่า "ภิกษ
satanmipop
ไม่มีศีล ไม่บรรลุธรรม
https://youtube.com/shorts/aO4XiNTUNR8?si=IeYlFwNVnt0DIzbl ศีล คือ พื้นฐานของการปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าสอนว่า ศีลเป็นบาทฐาน (พื้นฐาน) ของการฝึกสมาธิและเจริญปัญญา ถ้าไม่มีศีล จิตจะฟุ้งซ่าน ไม่สงบ ไม
Alway love you
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
ศาสนาพุทธ
ร้านกาแฟ
วัด
พระสงฆ์
พระไตรปิฎก
บนสุด
ล่างสุด
อ่านเฉพาะข้อความเจ้าของกระทู้
หน้า:
หน้า
จาก
แชร์ :
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ยอมรับ
เดรัจฉานวิชา ขายคำพระศาสดาแม้กระทั่งกาแฟ ที่วัดนาป่าพง
กาแฟใส่นม
เรื่องเดรัจฉานวิชาเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่วัดนาป่าพงสอนผิด อธิบายผิด บิดเบือนไปมาก ทำให้เกิดความเข้าใจผิด สาวกพระคึกฤทธิ์จึงถึงขนาดวาดภาพการ์ตูน พุทธวจน'ตูน โดยนำภาพหลวงพ่อคูนมาเป็นแบบบิดเบือนว่าพระ "ทำ" เดรัจฉานวิชาต้องตกอบาย
ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว ที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามภิกษุทำเดรัจฉานวิชาเพราะจะเป็นช่องทางทำให้เกิดมิจฉาอาชีวะ เป็นผลให้ขวางพระนิพพาน เพราะเหตุไม่สามารถยังอริยมรรคมีองค์แปด ให้เกิดได้ก็เท่านั้นเอง
วัดน่าป่าพงสอนผิดตั้งแต่ใช้คำว่า “ทำเดรัจฉานวิชา” เพราะพระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่า “ทำเดรัจฉานวิชา” แต่ทรงตรัสว่า “เลี้ยงชีพผิดด้วยเดรัจฉานวิชา” มีพระบาลีว่า “ยถา วา ปเนเก โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ โภชนานิ ภุญฺชิตฺวา เต เอวรูปาย ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีเวน ชีวิกํ กปฺเปนฺติ ฯ”
ทำกับเลี้ยงชีพผิด ความหมายต่างกัน แค่การใช้คำตามพระศาสดาโดยมีคำแปลไทยที่ผู้ศึกษาบาลีแปลไว้ให้เสร็จสรรพ พระคึกฤทธิ์ยังทำไม่ตรง แล้วจะอธิบายธรรมตรงตามพุทธดำรัสพระศาสดาหรือ
การที่พระพุทธเจ้าตรัสห้ามภิกษุ “เลี้ยงชีพผิดด้วยเดรัจฉานวิชา” นั้นเป็นเพราะทรงเกรงว่าภิกษุจะไปหลอกลวงชาวบ้าน หาเงิน หาทอง กับชาวบ้าน อันเป็นการบริโภคปัจจัยอันมีโทษ และเป็นวิชาที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์อันจะนำมาซึ่งความหลุดพ้น จึงทรงตรัสห้าม
เหตุเพราะภิกษุเป็นผู้ดำรงชีพอยู่ด้วยการ “ขอ” ด้วยการ “ให้โดยศรัทธา” ของชาวบ้าน จึงทำให้ภิกษุมีสัมมาอาชีวะ เพราะรับปัจจัยสี่ที่เขาเต็มใจให้ด้วยศรัทธา จึงเป็นหนทางให้อริยมรรคมีองค์แปดเจริญได้
พระศาสดาไม่เคยตรัสว่า “ทำเดรัจฉานวิชาแล้วตกอบาย” ทั้งหมดล้วนเป็นความเข้าใจผิดของพระคึกฤทธิ์และสาวกเอง
พระศาสดาทรงตรัสแต่เพียงว่า การเลี้ยงชีพผิด (มิจฉาอาชีวะ) นั้น เป็นเครื่องที่ทำให้พลาดสวรรค์ พลาดมรรคผล เท่านั้น
อนึ่ง ไม่พึงตีความตามใจตนเองว่า พลาดสวรรค์คือการตกอบาย เพราะมิฉะนั้นท่านจะเป็นผู้กล่าวตู่พระศาสดา หากพระศาสดาทรงประสงค์จะชี้ว่า การเลี้ยงชีพผิดด้วยเดรัจฉานวิชาแล้วตกอบาย จะทรงตรัสชัดเหมือนทุกพระสูตรที่ทรงตรัสเรื่องการตกอบาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยมิจฉัตตะ จึงมีการพลาดจากสวรรค์และมรรคผล ไม่มีการบรรลุสวรรค์และมรรคผล เพราะอาศัยมิจฉัตตะอย่างไร จึงมีการพลาดจากสวรรค์และมรรคผล ไม่มีการบรรลุสวรรค์และมรรคผล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความเห็นผิด ย่อมมีความดำริผิด ผู้มีความดำริผิด ย่อมมีวาจาผิด ผู้มีวาจาผิด ย่อมมีการงานผิด ผู้มีการงานผิด ย่อมมีการเลี้ยงชีพผิด ผู้มีการเลี้ยงชีพผิด ย่อมมีความพยายามผิด ผู้มีความพยายามผิด ย่อมมีความระลึกผิด ผู้มีความระลึกผิด ย่อมมีความตั้งใจผิด ผู้มีความตั้งใจผิด ย่อมมีความรู้ผิด ผู้มีความรู้ผิด ย่อมมีความหลุดพ้นผิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยมิจฉัตตะอย่างนี้แล จึงมีการพลาดจากสวรรค์และมรรคผล ไม่มีการบรรลุสวรรค์และมรรคผล ฯ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต
การเลี้ยงชีพผิด ไม่ใช่มิจฉาทิฏฐิที่จะทำให้ตกอบาย
มิจฉาทิฏฐิที่จะทำให้ตกอบายนั้น ทรงตรัสไว้ดังนี้
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นมิจฉาทิฐิมีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล การเช่นสรวงไม่มีผล ผลวิบากของกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์พวกที่เกิดผุดขึ้นไม่มี สมณะพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว สอนหมู่สัตว์ให้รู้ตามไม่มีในโลก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าทิฐิวิบัติ.... เพราะทิฐิวิบัติเป็นเหตุ สัตว์ทั้งหลายเมื่อกายแตกตายไป ย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก.....ฯ”
พระคึกฤทธิ์ไปอธิบายว่า พระที่ทำน้ำมนต์ คนที่รับการพรมน้ำมนต์ ลามปามไปถึงพระราชพิธีหลวงมีความเห็นผิดว่า น้ำมนต์เป็นเครื่องดลบันดาล จนถึงกับพูดว่า "อย่าไปเรียกว่าทำน้ำมนต์ให้เรียกว่า ทำน้ำเดรัจฉานวิชา” นั้น เป็นการพูดเกินคำพระศาสดา และพูดโดยเดาเอาเองด้วยความคิดของตนเองว่า พระที่ทำน้ำพระพุทธมนต์ คนที่พรมน้ำพระพุทธมนต์นั้น ทำไปด้วยความเชื่อว่า กรรมไม่มี น้ำมนต์ดลบันดาล
ทั้งๆ ที่พระศาสดาอธิบายเรื่องการไม่เชื่อผลของกรรมไว้ชัดเจนว่า “ผลวิบากของกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่วไม่มี” ซึ่งหมายถึง ความไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรมนั่นเอง
ดังนั้น การฟังพระคึกฤทธิ์อธิบายเรื่องเดรัจฉานวิชาผิดๆ จึงส่งผลให้สาวกของพระคึกฤทธิ์เที่ยวจาบจ้วง ด่าพอ เอานรกมาขู่ทั้งพระ ทั้งโยม ไปทั่ว ทั้งหมด เริ่มจากการอธิบายเรื่องเดรัจฉานวิชาที่ผิด ใช้ศัพท์ผิด ไม่กล่าวตามคำพระศาสดา ไม่ศึกษาพระดำรัสให้ดีนั่นเอง
ขอบคุณที่มาข้อความและภาพ http://watnaprapong.blogspot.com/2015/08/blog-post_14.html