ประเด็น "กรณีเดรัจฉานวิชา?"
มีหลักฐานว่านักบวชท่านหนึ่ง และคณะ ทำการตัดคำพระพุทธพจน์ของพระศาสดาออก แล้วใส่ความเห็นของตนลงไป ในเรื่องเดรัจฉานวิชา
หลักฐานชั้นพุทธวจนะ
เดรัจฉานวิชา คือ การเลี้ยงชีพผิดด้วย ทำนาย ปลุกเสก ปรุงยา ฯลฯ
การกระทำใดๆ ที่ไม่เป็นไปเพื่อเลี้ยงชีพผิดของภิกษุ ไม่ใช่เดรัจฉานวิชา แต่เป็น "วิชา" เช่น วิชาทำนาย วิชาดูยาม วิชาปรุงยา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เลี้ยงชีพผิด ด้วยเดรัจฉานวิชา / ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีเวน" ไม่ได้ตรัสว่า "ทำเดรัจฉานวิชา"
มิจฺฉาชีเวน แปลว่า เลี้ยงชีพผิด, เลี้ยงชีพโดยผิดทาง, เลี้ยงชีพโดยทางผิด ไม่ได้แปลว่า "ทำผิด"
เลี้ยงชีพผิดกับทำผิดนั้นต่างกัน เพราะการทำโดยไม่เลี้ยงชีพก็มี หากจะตรัสถึงการทำ ก็จะทรงตรัสว่า "ทำ" ไม่ตรัสว่าเลี้ยงชีพ เช่น
"ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว"
องค์ประกอบของเดรัจฉานวิชา คือ
๑. ภิกษุ
๒. เลี้ยงชีพผิด
๓. ด้วยเดรัจฉานวิชา มี ฯลฯ
ถ้าฆราวาสเลี้ยงชีพด้วยวิชาปรุงยาอย่างหมอชีวก สหายแพทย์ ศิษย์ของหมอชีวก ไม่เรียกว่า "เดรัจฉานวิชา"
เพราะขาดองค์ประกอบในข้อเป็นภิกษุ ผลคือไม่ขวางทางนิพพาน เพราะท่านสามารถบรรลุโสดาบัน เป็นผู้เที่ยงต่อพระนิพพานได้
กรณีฆราวาสเลี้ยงชีพผิดด้วยการหลอกลวง เช่น หลอกลวงดูดวง หลอกลวงต่างๆ ไม่เรียกว่าเดรัจฉานวิชา
เพราะเดรัจฉานวิชาจะมีได้เฉพาะในภิกษุเท่านั้น เนื่องจากภิกษุเป็นผู้เลี้ยงชีพด้วยการขอที่ชาวบ้านให้ด้วยศรัทธา หากใช้วิชาใดๆ ก็ตามเพื่อหาเลี้ยงชีพ
จึงนับว่าเป็นการเลี้ยงชีพผิด ส่วนชาวบ้านที่เลี้ยงชีพผิดด้วยการหลอกลวง เรียกว่า “มิจฉาอาชีวะ”
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาอาชีวะเป็นไฉน คือ การโกงการล่อลวง การตลบตะแลง การยอมมอบตนในทางผิด การเอาลาภต่อลาภนี้มิจฉาอาชีวะ ฯ”
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=3846&Z=3923&pagebreak=0
ภิกษุ ถ้าใช้วิชา ฯลฯ โดยไม่เลี้ยงชีพด้วยวิชาเหล่านั้น ไม่เรียกว่าเดรัจฉานวิชา
เพราะขาดองค์ประกอบในข้อเลี้ยงชีพผิด เช่น ภิกษุที่นำบาตรไม้ไปบดปรุงยาตามคำสั่งพระพุทธเจ้า และภิกษุผู้ปรุงยารักษากันตามพุทธานุญาต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงทำลายบาตรไม้นั่น บดให้ละเอียด ใช้เป็นยาหยอดตาของภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุไม่พึงใช้บาตรไม้ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=7&A=256&Z=312
สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายที่อาพาธมีความต้องการด้วยรากไม้ที่เป็นเภสัชชนิดละเอียด
จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตตัวหินบด ลูกหินบด."
[๓๕] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายที่อาพาธมีความต้องการด้วยยาผงที่กรองแล้ว
จึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตวัตถุเครื่องกรองยาผง."
ภิกษุอาพาธมีความต้องการด้วยยาผงที่ละเอียด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตผ้ากรองยา."
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=05&A=775&Z=947
ดังนั้น การที่วัดนาป่าพงถามว่า "ถ้าภิกษุ ไม่เลี้ยงชีพผิด ก็สามารถทำเดรัจฉานวิชาได้หรือ"
คำถามนี้ไม่ถูกต้อง เพราะ ถ้าไม่เลี้ยงชีพผิด จะไม่เป็นเดรัจฉานวิชาเลย ไม่มีประเด็นว่าทำได้หรือไม่ได้แต่อย่างใด
แหล่งข้อมูล :
http://watnaprapong.blogspot.com/2015/12/blog-post_0.html?m=1
ประเด็น "กรณีเดรัจฉานวิชา?" (กรณีพระคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล)
มีหลักฐานว่านักบวชท่านหนึ่ง และคณะ ทำการตัดคำพระพุทธพจน์ของพระศาสดาออก แล้วใส่ความเห็นของตนลงไป ในเรื่องเดรัจฉานวิชา
หลักฐานชั้นพุทธวจนะ
เดรัจฉานวิชา คือ การเลี้ยงชีพผิดด้วย ทำนาย ปลุกเสก ปรุงยา ฯลฯ
การกระทำใดๆ ที่ไม่เป็นไปเพื่อเลี้ยงชีพผิดของภิกษุ ไม่ใช่เดรัจฉานวิชา แต่เป็น "วิชา" เช่น วิชาทำนาย วิชาดูยาม วิชาปรุงยา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เลี้ยงชีพผิด ด้วยเดรัจฉานวิชา / ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีเวน" ไม่ได้ตรัสว่า "ทำเดรัจฉานวิชา"
มิจฺฉาชีเวน แปลว่า เลี้ยงชีพผิด, เลี้ยงชีพโดยผิดทาง, เลี้ยงชีพโดยทางผิด ไม่ได้แปลว่า "ทำผิด"
เลี้ยงชีพผิดกับทำผิดนั้นต่างกัน เพราะการทำโดยไม่เลี้ยงชีพก็มี หากจะตรัสถึงการทำ ก็จะทรงตรัสว่า "ทำ" ไม่ตรัสว่าเลี้ยงชีพ เช่น
"ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว"
องค์ประกอบของเดรัจฉานวิชา คือ
๑. ภิกษุ
๒. เลี้ยงชีพผิด
๓. ด้วยเดรัจฉานวิชา มี ฯลฯ
ถ้าฆราวาสเลี้ยงชีพด้วยวิชาปรุงยาอย่างหมอชีวก สหายแพทย์ ศิษย์ของหมอชีวก ไม่เรียกว่า "เดรัจฉานวิชา"
เพราะขาดองค์ประกอบในข้อเป็นภิกษุ ผลคือไม่ขวางทางนิพพาน เพราะท่านสามารถบรรลุโสดาบัน เป็นผู้เที่ยงต่อพระนิพพานได้
กรณีฆราวาสเลี้ยงชีพผิดด้วยการหลอกลวง เช่น หลอกลวงดูดวง หลอกลวงต่างๆ ไม่เรียกว่าเดรัจฉานวิชา
เพราะเดรัจฉานวิชาจะมีได้เฉพาะในภิกษุเท่านั้น เนื่องจากภิกษุเป็นผู้เลี้ยงชีพด้วยการขอที่ชาวบ้านให้ด้วยศรัทธา หากใช้วิชาใดๆ ก็ตามเพื่อหาเลี้ยงชีพ
จึงนับว่าเป็นการเลี้ยงชีพผิด ส่วนชาวบ้านที่เลี้ยงชีพผิดด้วยการหลอกลวง เรียกว่า “มิจฉาอาชีวะ”
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาอาชีวะเป็นไฉน คือ การโกงการล่อลวง การตลบตะแลง การยอมมอบตนในทางผิด การเอาลาภต่อลาภนี้มิจฉาอาชีวะ ฯ”
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=3846&Z=3923&pagebreak=0
ภิกษุ ถ้าใช้วิชา ฯลฯ โดยไม่เลี้ยงชีพด้วยวิชาเหล่านั้น ไม่เรียกว่าเดรัจฉานวิชา
เพราะขาดองค์ประกอบในข้อเลี้ยงชีพผิด เช่น ภิกษุที่นำบาตรไม้ไปบดปรุงยาตามคำสั่งพระพุทธเจ้า และภิกษุผู้ปรุงยารักษากันตามพุทธานุญาต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงทำลายบาตรไม้นั่น บดให้ละเอียด ใช้เป็นยาหยอดตาของภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุไม่พึงใช้บาตรไม้ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=7&A=256&Z=312
สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายที่อาพาธมีความต้องการด้วยรากไม้ที่เป็นเภสัชชนิดละเอียด
จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตตัวหินบด ลูกหินบด."
[๓๕] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายที่อาพาธมีความต้องการด้วยยาผงที่กรองแล้ว
จึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตวัตถุเครื่องกรองยาผง."
ภิกษุอาพาธมีความต้องการด้วยยาผงที่ละเอียด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตผ้ากรองยา."
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=05&A=775&Z=947
ดังนั้น การที่วัดนาป่าพงถามว่า "ถ้าภิกษุ ไม่เลี้ยงชีพผิด ก็สามารถทำเดรัจฉานวิชาได้หรือ"
คำถามนี้ไม่ถูกต้อง เพราะ ถ้าไม่เลี้ยงชีพผิด จะไม่เป็นเดรัจฉานวิชาเลย ไม่มีประเด็นว่าทำได้หรือไม่ได้แต่อย่างใด
แหล่งข้อมูล : http://watnaprapong.blogspot.com/2015/12/blog-post_0.html?m=1