เราเป็นคนSensitive และคิดมาก มากมาตั้งแต่เด็ก ๆ อ่านนิยายเจอซากซึ้งก็ร้องไห้ ดูการ์ตูนแล้วเจอฉากเศร้าร้องไห้แล้วโดนล้อ ว้ายแค่นี้ก็ร้องไห้ กลายเป็นกลัวการเข้าไปทำกิจกรรม ดูหนัง ฟังเพลง กับเด็กคนอื่น ๆ และไม่มีเพื่อนคบตั้งแต่ป.3 เป็นต้น ทำให้เราจะติดบ้านมากไม่ออกไปเล่นกับเด็กในวัยเดียวกันจนถ้าเราออกจากบ้านเมื่อไหร่ผู้ใหญ่จะพูดประมาณว่า นางห้องคือออกจากบ้าน(ภาษาอีสาน) จนมีอาการไม่อยากพูดกับใครหน้าไหนก็ช่าง
จนเราได้สร้างโลกของตัวเองที่มีแค่ฉันคนเดียวขึ้นมา เราจะมีความสุขเมื่ออยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของเรา แต่มันแย่มาก ๆ ตอนออกจากบ้านไปที่สาธารณะ หรือที่ ๆ มีคนพลุกพล่าน ซึ่งเราหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อเราต้องไปเรียน เรารู้สึกหวาดกลัวสายตาคนอื่นแต่อาการนี้ดีขึ้นเเล้วเพราะเราปรึกษากับจิตเเพยท์ เหลือแค่ความ Sensitive ที่ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
เราไม่เคยบอกพ่อแม่เรื่องนี้โดยตรงเคยบอกอ้อม ๆเกริ่น ๆไว้นิดหน่อยแต่คำตอบของแม่ทำให้เราไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อ แค่เราบอกว่าเราไปพบจิตเเพทย์มานะเพราะเรารู้สึกอยากฆ่าตัวตายหนีปัญหาที่เจอแกยังบอกว่าเราเป็นบ้าเลยอ่ะ พอดีตระกูลของเรามีพี่ที่มีอาการทางจิต แกเลยคิดว่าเราจะเป็นแบบพี่คนนั้น มันยิ่งทำให้เราไม่อยากพูดด้วย
ปัจจุบันความ Sensitive ของเรา ทำให้เรารู้สึกแย่มาก ๆ ตอนนี้เราเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ปีสาม มันเป็นช่วงที่ต้องทำสัมนา โครงงาน วิจัยต่าง ๆ ซึ่งมันมีการนำเสนอตอบคำถาม พูดคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาต่าง ๆ และความฝังใจวัยเด็กทำให้เราไม่กล้าพูดคุยกับผู้ใหญ่เท่าไหร่ แค่เริ่มคุยอาจารย์หน้านิ่ง เสียงเข้มขึ้น น้ำตาเราจะไหลอัตโนมัติ แบบควบคุมไม่ได้ พาลให้เราขาดความมั่นใจมากๆ
แล้วเวลานำเสนอหน้าชั้นเรียนตอนช่วงตอบคำถามเพราะเราเป็นคนทำงานเราจึงต้องเป็นคนตอบคำถามอาจารย์ตลอดพอดีกับที่เราอยากแก้อาการนี้ของตัวเองจึงพยายามเผชิญหน้ากับเหตุการณ์นั้นซ้ำ ๆ แต่มันไม่ดีขึ้นเลยมีบางงานที่เราน้ำตาซึมจนให้เพื่อนตอบคำถามแทนและนั่นยิ่งทำให้เราคิดมาก และวันนี้เราไปพบที่ปรึกษามาเรื่องขอทุนแต่แค่คุยได้สามประโยคเราร้องไห้ใส่หน้าอาจารย์ไปแล้วจนคุยเสร็จก็ยังร้องไห้อยู่กลับถึงหอพักก็มาร้องไห้ต่ออีก ตอนพิมพ์ก็ยังร้องไห้อยู่ เราเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ไหวแล้วนะ ตอนนี้กลายเป็นมันกระทบกับชีวิตไปแล้ว เราขาดความมั่นใจ ถ้าเราจบจนทำงานแล้วหัวหน้างาน ทำหน้านิ่งพูดคุยนิดหน่อยก็ร้องไห้ใส่ แค่คิดก็รู้สึกแย่ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
***********************************************************************************************************************************************************
คำถามที่ 1 เราต้องกลับไปพบจิตเเพทย์เกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อขอบำบัดดีมั้ยคะ หรือต้องทำยังไงที่มันจะหายขาดหรือมีอาการลดน้อยลง
***********************************************************************************************************************************************************
แล้วก็อันที่สองนะคะ เรามีเพื่อนเป็นโรคซึมเศร้า 2 คน คนหนึงดรอปเรียนไปรักษาตัวเเล้ว ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเพื่อนเป็นซึมเศร้าเรารู้จักกันตอนปีหนึ่งค่ะเพราะเราไม่มีเพื่อน และเราจะเลือกคบเพื่อนเเบบคล้าย ๆ กับตัวเราเองที่แบบเจอก็จะรู้สึกว่าคนนี้เหมือนเรา และคนที่สองที่ยังไม่ดรอปเรียนคนนี้อาการหนักกว่าคนแรกมาก
เรื่องมันเเย่ตรงที่เราเป็นคน Sensitiveและคิดมาก จนมีอาการอยากฆ่าตัวตายเพราะเราไปพักอยู่กับเขาระยะหนึ่งเพราะหมอไม่ให้เขาอยู่คนเดียวมีความเสี่ยงจะฆ่าตัวตายสูงมากต้องมีคนอยู่ด้วยตลอดเวลา เเม่เขาอยู่ต่างจังหวัดระยะทางไกลมากมาหาลำบากและต้องทำงานด้วย แม่จะมาเสาร์อาทิตย์และกลับไปทำงานวันจันทร์ช่วงที่แม่มาเราก็กลับไปนอนหอตัวเอง เพื่อนยืนยันที่จะเรียนต่อ แล้วเค้าไม่มีเพื่อนที่ไหนอีกแล้วมีแค่เราคนเดียวที่เป็นเพื่อน ถ้าเราปฎิเสธเขาต้องกลับบ้านกลับแม่ทันที่เพราะไม่มีใครดูแล ตอนที่ไปพบเเพทย์ครั้งนั้น มีเรา เพื่อน แม่เพื่อน นั่งฟังด้วยกัน เค้าร้องไห้ต่อหน้าหมอว่ายังไงก็ไม่กลับบ้านกลับเเม่จะอยู่ที่นี่
แล้วเพื่อนคนนี้ก็ชอบพูดกรอกหูเราว่า เราเป็นไบโพล่าบ้างโรคซึมเศร้าบ้าง จนเราคิดตาม แต่ก็ปล่อย ๆ ไปเพราะเรายังไม่มีอาการอยากฆ่าตัวตายอะไรเรายังรู้สึกว่าควบคุมตัวเองได้อยู่ ตอนที่เราพักอยู่กับเพื่อนเป็นอะไรที่อึดอัดมาก เราต้องเป็นจัดยาให้เขา ระวังของมีคมทุกอย่าง ทำงานบ้านในห้องเขาด้วยเพราะเค้าไม่ทำอะไร ทำแค่นอนเล่นโทรศัพท์บอกก็เอาไว้นั่นแหละเดี๋ยววันเสาร์แม่ก็มาทำกลายเราเป็นเราต้องหนักทั้งสองเท่าเพราะห้องเราก็ต้องความสะอาดเหมือนกัน
เวลาไปเรียนช่วงที่แม่มาอยู่กับเขา เราก็กลับหอพักเราคุยกันคืนก่อนจะไปเรียนดี ๆ ว่าจะมาเรียนมั้ยพรุ่งนี้ บอกไปแต่สุดท้ายคือไม่มาเฉย ๆ ไม่บอกอะไรก่อนอ้างว่าปวดหัว ไม่สบายนู่นนี้ แต่ตอนเย็นมีเเรงไปเดินห้าง แถมตอนเช้าเราทักไปปลุกโทรปลุกจนตื่นแล้วด้วย สุดท้าบก็หายจนจบคาบ แถมวิชานั้นเป็นงานกลุ่มที่อ.จับกลุ่มให้และมีนำเสนอหน้าชั้น เราก็ต้องรับผิดด้วยนำเสนอส่วนของเพื่อนแทน(เราเป็นคนขออาจารย์ให้เพื่อนมาอยู่ในกลุ่มด้วย) มันมีเรื่องมากขึ้น ๆ จนมันถึงจุด ๆหนึ่งที่เรารู้สึกอยากเลิกคบกับเพื่อน ๆ นี้ ทำไมต้องมารู้เรื่องอะไรแบบนี้ เหนื่อย พอแล้วไม่ไหวแล้วเรื่องมันหนักจนเรามีอาการอยากฆ่าตัวตาย
รู้สึกอยากตายและเกือบตายจริง ๆ คือตอนนั้นเราอยู่บนตึกชั้น 5 และกำลังคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาของเพื่อนวางสายเสร็จมันรู้สึกไม่ไหวแล้ว และเกือบโดดตึกแต่เพื่อนเราอีกคนเดินมาตามก่อนเพราะเห็นเราหายไปนาน รอดตายหวุดหวิด เพราะตอนเราออกไปคุยโทรศัพท์กับอาจารย์เราบอกให้เพื่อนลงไปก่อนเลย แต่เพื่อนดันยืนรอไม่ได้ลงไป
เราเลยไปขอนัดพบจิตเเพทย์ นัดเสร็จกำลังทำแบบประเมิน 9 Q หรืออะไรสักอย่างกำลังส่ง แล้วพี่พยาบาลถามว่าไหวมั้ย แค่คำนั้นคำเดียวเราร้องไห้ออกมาหนักมาก เรารู้สึกแย่กับตัวเองที่มีความคิดจะทิ้งเพื่อน โทษตัวเองทุกอย่าง พี่พยาบาลเลยมานั่งคุยกับเราพี่ให้คำแนะนำว่าให้เราถ้อยห่างออกจากเพื่อนคนนี้สักพักประมาณว่า หาที่ให้เซฟความรู้สึกตัวเอง เพื่อจะกลับไปอยู่ข้างเขาต่อได้
หลังคุยกับพี่พยาบาลเรามีนัดทำวิจัยกลุ่มที่อยู่กับเพื่อนพอดี แล้วแฟนเพื่อนก็มาด้วยเราเลยเรียกแฟนเพื่อนไปคุยก่อนว่าเราจะขอห่างสักพักนะเพื่อไปทำใจให้ไปเกริ่นกลับเพื่อนให้ก่อนหน่อย หลังจากนั้นคือเเฟนเพื่อนก็เข้าไปคุยให้กลายเป็นว่าเพื่อนเริ่มร้องไห้ไม่หยุดจนแฟนเพื่อนต้องพาไปโรงพยาบาลพูดทำนองว่าเเล้วใครจะฟังกู กูเหลือมันเเค่คนเดียวทำนองนี้กลายเป็นเรารู้สึกแย่กว่าเดิมไปอีก
หลัง ๆ มาเพื่อนก็เข้าโรงบาลบ่อยขึ้น เอะอะก็ไปโรงบาลใครก็ขัดใจไม่ได้ ขัดใจคือร้องไห้ จนหมอเจ้าของไข้ไม่อยากให้มา แล้วสุดท้ายเพื่อนได้ยินเสียงมีคนบอกให้ไปกระโดดตึก หมอเลยสั่งให้แอดมิดที่โรงพยาบาลทันที
ที่โรงพยาบาลจะมีเวลาเยี่ยมให้ชัดเจนเพื่อนอยู่ในโรงพยาบาลเกือบเดือน เราไปเยี่ยมเพื่อนสองสามครั้งตามที่แม่และเเฟนเพื่อนขอมา เพราะเราไม่ชอบกลิ่นโรงพยาบาล โรงพยาบาลเป็นที่ ๆ เราจะไม่ไปเด็ดขาดถ้าไม่ป่วยใกล้ตาย ญาติเราก็ไม่ไปเยี่ยมเลย เพื่อนกลัวเราเลิกคบเขา เเต่ช่วงนั้นเป็นช่วงจะสอบไฟนอลเราต้องทำโปรเจค ทำวิจัย ปั่นงานส่ง เเละอ่านหนังสือสอบ ซึ่งเราลงหน่วยกิจไป 25 หน่วย มันเป็นอะไรที่หนักมาก เราเทเพื่อนทิ้งแล้วไปหาเรื่องเรียน เพราะตอนเราไปเยี่ยนมเขาเรารู้สึกไม่มีประโยชน์อะไร ไปเยี่ยมคือเขาก็นั่งอยู่บนเตียง เราก็นั่งที่ข้างเตียงไม่มีอะไรทำ แล้วคือเค้าจะให่เราอยู่ทั้งวันซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ มากสุดเราก็อยู่แค่สี่ชั่วโมงเพราะเมื่อไปนั่งหายใจทิ้งเฉย ๆ
และในที่สุดเราก็ได้พบจิตเเพทย์ พี่หมอบอกเราว่าเราไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้าหรือไบโพล่า เราเป็นคนปกติ แค่เราซึมซับความเศร้าของเพื่อนมาเป็นของเราเก็บเรื่องของเขามาคิดเป็นเรื่องตัวเอง แนะนำให้เราหาที่เซฟอารมณ์ตัวเอง ไปอยู่กลับพวกพลังบวกเยอะๆ หน่อย มันจะทำให้เราซึมซับสิ่งนั้นมาเพราะพี่หมอบอกว่าเราฮีลง่าย
ส่วนเพื่อนนั้นเพราะเข้าโรงพยาบาลแอดมิดยาวไม่สามารถระบุเวลาออกได้และไม่สามารถไปเรียนได้จึงต้องไปทำเรื่องขอดรอปเป็นกรณีพิเศษ ค่าเทอมเพื่อนคือ 30000 บาท ก็หายไปกับสายลม และได้ W มาประดับไว้บนทรานสคิปแทน เพราะเลยช่วงถอนมานานแล้ว เกรดของเพื่อนคือ 1.4 จึงต้องลงซัมเมอร์เพื่อดึงเกรดไม่งั้นจะโดนไทร์ ซึ่งตอนแรกเราก็จะลงซัมเมอร์ด้วยแต่หลุดเเล้นด้อมทุกวิชาจึงทำให้เรากลับบ้านพักใจแทน ในระหว่างซัมเมอร์ก็คอลกันบ้างเป็นบางวัน ซึ่งเราต้องก็หาเรื่องอะไรก็ได้ไปคุยกับเค้าให้ไปเป็นอย่างน้อยสองชั่วโมง
และแล้วเปิดเทอมก็มาถึง เราเจอเพื่อนครั้งแรกคือเค้าทำร้ายตัวเองกระดูกมือเหมือนจะผิดรูป บวมไม่ยอมหาย กรีดขาตัวเองจนเป็นรอยโดยใช้กรรไกรและใบมีดโกนในการกรีด พวกมีดของมีคมอื่น ๆ ถูกเก็บไปหมดเเล้ว แต่เพื่อนบอกว่ายึดไปก็ไปซื้อมาอีกอยู่ดี เราก็เลยไม่เก็บอีกมีบ้างวันที่เราไปนอนเป็นเพื่อน เราขอตัวกลับ้องประมาณสองชั่วโมง แล้วแฟนเขาก็ทักมาว่ามันกรีดขาอีกแล้ว พอเจอหน้าหลังจากสองชั่วโมงผ่านไปเราก็ถามว่าได้ทำร้ายตัวเองอีกมั้ยเค้าก็บอกว่าไม่ ไหนเอาขามาดูหน่อย เขาโชว์ขาข้างที่กรีดครั้งก่อนให้เราดูค่ะ เราก็เลยเเชทบอกแฟนเค้าว่าไม่มี แต่เพื่อนดันพูดขึ้นว่าไม่ดูอีกข้างเหรอ นั่นละค่ะ เค้าไม่ได้กรีดข้างเดิมเเต่ไปกรีดอีกข้างแทน เรารู้สึกว่าตั้งแต่เปิดเทอมมาเค้าเรียกร้องความสนใจจากเรามากแปลก ๆ ปากบอกเราว่าเกรงใจ แต่ก็จะทำให้เรารู้ บางทีส่งข้อความาหาว่ามาฆ่ากูที เเบบนี้อะค่ะ
ปัจจุบันเราเปิดเทอมมาเกือบสามอาทิตย์แล้วค่ะ อาทิตย์แรกเพื่อนไม่เข้าเรียนเลยสักคาบเดียว อาทิตย์แรกส่วนมากจะเกี่ยวกับแนะแนวรายวิชา มีแค่บางวิชาเท่านั้นที่สอน เราก็บ่อยไป อาทิตย์ที่สอง เข้าบางวิชาเรียนแปดวิชาเค้าจะเข้าแค่วิชาหรือสองวิชาเเค่นั้น แล้วส่วนมากมันเรียนเช้าคาบเช้าคือเพื่อนเทหมดเลยไม่เข้า เราเลยพุดกับเพื่อนว่าดรอปไปรักษาตัวมั้ยถ้าจะเป็นแบบนี้โดนไทร์แน่ และมันจะขอดรอปแบบรอบที่แล้วไม่ได้ด้วย พอมาเจอหน้ากันเพื่อนบอกเราว่าที่เราพูดแบบนั้นเพื่อนร้องไห้และทำร้ายข้าวของและทำร้ายตัวเอง
ล่าสุดคือเพื่อนกินยาเกินขนาด มันเรียกว่ายาต้านเศร้าอะไรสักอย่าง หมอให้กินตอนเช้า 1 เม็ด ก่อนนอน 1 เม็ด แต่วันนั้นเพื่อนกินก่อนนอนวันเดียว 10 เม็ด กินเสร็จแล้วทักมาหาเรา คือเราไม่รู้จะทำยังไงกับเพื่อนดี ล่าสุดอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อนมาถามหาเพื่อนกับเพราะไม่มาเรียนเลย เราไม่รู้จะทำยังไง ขนาดอาจารย์ที่ปรึกษายังแนะนำให้ดรอปเรียนไปรักษาตัว แต่เพื่อนดื้อ พอพูดว่ากลับไปรักษาตัวที่บ้าน เค้าจะเริ่มร้องไห้ จากที่สังเกตุมาเค้าจะไม่อยากกลับบ้านอยากใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกที่ไม่มีแม่ กับน้ามาคุมชีวิต แถมแม่เค้าเคยบ่นกับเราว่าเเม่เหนื่อย ตอนช่วงที่เค้าอาการหนักแล้วแม่มาเฝ้าที่โรงพยาบาล คือแม่ต้องหอบงานมาทำที่โรงพยาบาลด้วย แบบ หรือว่าแม่จะยกเงินเก็บที่เม่เก็บไว้ให้เค้าทั้งหมดเเล้วก็ปล่อยเค้าไป ส่วนแม่ก็ไปหาเงินใหม่เอาข้างหน้าไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกันอีก
ตอนนี้เราควรทำยังไงกับเพื่อนคนนี้ดี เรายังทำงานกลุ่มกับเพื่อนคนนี้อยู่วิชาหนึ่งซึ่งเพื่อนไม่สามารถช่วยงานอะไรเราได้เลย มอบหมายงานให้เป็นแบบคำนี้หมายความว่าไงยกตัวอย่างที่เกี่ยวข้องอีกนิดหน่อยให้ไป 1 หน้า PPT. ถึงกำหนดพอเราทวงวันแรกบอกหาข้อมูลหลายเวปอยู่กำลังรวบรวมข้อมูล เราก็เออรออีกวันแล้วกัน จนวันสุดท้ายก่อนนำเสนองาน คือเพื่อนโกหกเราตั้งแต่ครั้งแรกที่เราถามว่ากำลังรวบรวมข้อมูลแต่จริง ๆ คือยังไม่ทำอะไรเลย มันเป็นกลุ่มสามคนแล้วโชคดีที่เราเป็นคนรวมไฟล์งาน เราอะยังไงก็ได้แต่เพื่อนอีกคนนี้สิ เมื่อวานล่าสุดบอกเราว่าจะเอาของมาให้ในคาบแต่สุดท้ายมาก็ไม่ได้ถืออะไรมาให้เรา
***************************************************************************************
คำถามที่ 2 ตอนนี้คือเราควรทำยังไงดีกับเพื่อนดีโทรจิกโทรตามมากเข้าเรารู้สึกเหนื่อยเพราะไม่ได้การตอบรับอะไรจากเพื่อนกลับมาเลย เราควรเลิกโทรจิกโทรตามเพื่อนมาเรียนแล้วปล่อยเค้าไป เค้าจะแย่กว่าเดิมมั้ยคะ
****************************************************************************************
จะจัดการกับความ Sensitiveและคิดมาก ของตัวเองอย่างไรดีคะ & มีเพื่อนเป็นโรคซึมเศร้า
จนเราได้สร้างโลกของตัวเองที่มีแค่ฉันคนเดียวขึ้นมา เราจะมีความสุขเมื่ออยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของเรา แต่มันแย่มาก ๆ ตอนออกจากบ้านไปที่สาธารณะ หรือที่ ๆ มีคนพลุกพล่าน ซึ่งเราหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อเราต้องไปเรียน เรารู้สึกหวาดกลัวสายตาคนอื่นแต่อาการนี้ดีขึ้นเเล้วเพราะเราปรึกษากับจิตเเพยท์ เหลือแค่ความ Sensitive ที่ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
เราไม่เคยบอกพ่อแม่เรื่องนี้โดยตรงเคยบอกอ้อม ๆเกริ่น ๆไว้นิดหน่อยแต่คำตอบของแม่ทำให้เราไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อ แค่เราบอกว่าเราไปพบจิตเเพทย์มานะเพราะเรารู้สึกอยากฆ่าตัวตายหนีปัญหาที่เจอแกยังบอกว่าเราเป็นบ้าเลยอ่ะ พอดีตระกูลของเรามีพี่ที่มีอาการทางจิต แกเลยคิดว่าเราจะเป็นแบบพี่คนนั้น มันยิ่งทำให้เราไม่อยากพูดด้วย
ปัจจุบันความ Sensitive ของเรา ทำให้เรารู้สึกแย่มาก ๆ ตอนนี้เราเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ปีสาม มันเป็นช่วงที่ต้องทำสัมนา โครงงาน วิจัยต่าง ๆ ซึ่งมันมีการนำเสนอตอบคำถาม พูดคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาต่าง ๆ และความฝังใจวัยเด็กทำให้เราไม่กล้าพูดคุยกับผู้ใหญ่เท่าไหร่ แค่เริ่มคุยอาจารย์หน้านิ่ง เสียงเข้มขึ้น น้ำตาเราจะไหลอัตโนมัติ แบบควบคุมไม่ได้ พาลให้เราขาดความมั่นใจมากๆ
แล้วเวลานำเสนอหน้าชั้นเรียนตอนช่วงตอบคำถามเพราะเราเป็นคนทำงานเราจึงต้องเป็นคนตอบคำถามอาจารย์ตลอดพอดีกับที่เราอยากแก้อาการนี้ของตัวเองจึงพยายามเผชิญหน้ากับเหตุการณ์นั้นซ้ำ ๆ แต่มันไม่ดีขึ้นเลยมีบางงานที่เราน้ำตาซึมจนให้เพื่อนตอบคำถามแทนและนั่นยิ่งทำให้เราคิดมาก และวันนี้เราไปพบที่ปรึกษามาเรื่องขอทุนแต่แค่คุยได้สามประโยคเราร้องไห้ใส่หน้าอาจารย์ไปแล้วจนคุยเสร็จก็ยังร้องไห้อยู่กลับถึงหอพักก็มาร้องไห้ต่ออีก ตอนพิมพ์ก็ยังร้องไห้อยู่ เราเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ไหวแล้วนะ ตอนนี้กลายเป็นมันกระทบกับชีวิตไปแล้ว เราขาดความมั่นใจ ถ้าเราจบจนทำงานแล้วหัวหน้างาน ทำหน้านิ่งพูดคุยนิดหน่อยก็ร้องไห้ใส่ แค่คิดก็รู้สึกแย่ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
***********************************************************************************************************************************************************
คำถามที่ 1 เราต้องกลับไปพบจิตเเพทย์เกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อขอบำบัดดีมั้ยคะ หรือต้องทำยังไงที่มันจะหายขาดหรือมีอาการลดน้อยลง
***********************************************************************************************************************************************************
แล้วก็อันที่สองนะคะ เรามีเพื่อนเป็นโรคซึมเศร้า 2 คน คนหนึงดรอปเรียนไปรักษาตัวเเล้ว ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเพื่อนเป็นซึมเศร้าเรารู้จักกันตอนปีหนึ่งค่ะเพราะเราไม่มีเพื่อน และเราจะเลือกคบเพื่อนเเบบคล้าย ๆ กับตัวเราเองที่แบบเจอก็จะรู้สึกว่าคนนี้เหมือนเรา และคนที่สองที่ยังไม่ดรอปเรียนคนนี้อาการหนักกว่าคนแรกมาก
เรื่องมันเเย่ตรงที่เราเป็นคน Sensitiveและคิดมาก จนมีอาการอยากฆ่าตัวตายเพราะเราไปพักอยู่กับเขาระยะหนึ่งเพราะหมอไม่ให้เขาอยู่คนเดียวมีความเสี่ยงจะฆ่าตัวตายสูงมากต้องมีคนอยู่ด้วยตลอดเวลา เเม่เขาอยู่ต่างจังหวัดระยะทางไกลมากมาหาลำบากและต้องทำงานด้วย แม่จะมาเสาร์อาทิตย์และกลับไปทำงานวันจันทร์ช่วงที่แม่มาเราก็กลับไปนอนหอตัวเอง เพื่อนยืนยันที่จะเรียนต่อ แล้วเค้าไม่มีเพื่อนที่ไหนอีกแล้วมีแค่เราคนเดียวที่เป็นเพื่อน ถ้าเราปฎิเสธเขาต้องกลับบ้านกลับแม่ทันที่เพราะไม่มีใครดูแล ตอนที่ไปพบเเพทย์ครั้งนั้น มีเรา เพื่อน แม่เพื่อน นั่งฟังด้วยกัน เค้าร้องไห้ต่อหน้าหมอว่ายังไงก็ไม่กลับบ้านกลับเเม่จะอยู่ที่นี่
แล้วเพื่อนคนนี้ก็ชอบพูดกรอกหูเราว่า เราเป็นไบโพล่าบ้างโรคซึมเศร้าบ้าง จนเราคิดตาม แต่ก็ปล่อย ๆ ไปเพราะเรายังไม่มีอาการอยากฆ่าตัวตายอะไรเรายังรู้สึกว่าควบคุมตัวเองได้อยู่ ตอนที่เราพักอยู่กับเพื่อนเป็นอะไรที่อึดอัดมาก เราต้องเป็นจัดยาให้เขา ระวังของมีคมทุกอย่าง ทำงานบ้านในห้องเขาด้วยเพราะเค้าไม่ทำอะไร ทำแค่นอนเล่นโทรศัพท์บอกก็เอาไว้นั่นแหละเดี๋ยววันเสาร์แม่ก็มาทำกลายเราเป็นเราต้องหนักทั้งสองเท่าเพราะห้องเราก็ต้องความสะอาดเหมือนกัน
เวลาไปเรียนช่วงที่แม่มาอยู่กับเขา เราก็กลับหอพักเราคุยกันคืนก่อนจะไปเรียนดี ๆ ว่าจะมาเรียนมั้ยพรุ่งนี้ บอกไปแต่สุดท้ายคือไม่มาเฉย ๆ ไม่บอกอะไรก่อนอ้างว่าปวดหัว ไม่สบายนู่นนี้ แต่ตอนเย็นมีเเรงไปเดินห้าง แถมตอนเช้าเราทักไปปลุกโทรปลุกจนตื่นแล้วด้วย สุดท้าบก็หายจนจบคาบ แถมวิชานั้นเป็นงานกลุ่มที่อ.จับกลุ่มให้และมีนำเสนอหน้าชั้น เราก็ต้องรับผิดด้วยนำเสนอส่วนของเพื่อนแทน(เราเป็นคนขออาจารย์ให้เพื่อนมาอยู่ในกลุ่มด้วย) มันมีเรื่องมากขึ้น ๆ จนมันถึงจุด ๆหนึ่งที่เรารู้สึกอยากเลิกคบกับเพื่อน ๆ นี้ ทำไมต้องมารู้เรื่องอะไรแบบนี้ เหนื่อย พอแล้วไม่ไหวแล้วเรื่องมันหนักจนเรามีอาการอยากฆ่าตัวตาย
รู้สึกอยากตายและเกือบตายจริง ๆ คือตอนนั้นเราอยู่บนตึกชั้น 5 และกำลังคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาของเพื่อนวางสายเสร็จมันรู้สึกไม่ไหวแล้ว และเกือบโดดตึกแต่เพื่อนเราอีกคนเดินมาตามก่อนเพราะเห็นเราหายไปนาน รอดตายหวุดหวิด เพราะตอนเราออกไปคุยโทรศัพท์กับอาจารย์เราบอกให้เพื่อนลงไปก่อนเลย แต่เพื่อนดันยืนรอไม่ได้ลงไป
เราเลยไปขอนัดพบจิตเเพทย์ นัดเสร็จกำลังทำแบบประเมิน 9 Q หรืออะไรสักอย่างกำลังส่ง แล้วพี่พยาบาลถามว่าไหวมั้ย แค่คำนั้นคำเดียวเราร้องไห้ออกมาหนักมาก เรารู้สึกแย่กับตัวเองที่มีความคิดจะทิ้งเพื่อน โทษตัวเองทุกอย่าง พี่พยาบาลเลยมานั่งคุยกับเราพี่ให้คำแนะนำว่าให้เราถ้อยห่างออกจากเพื่อนคนนี้สักพักประมาณว่า หาที่ให้เซฟความรู้สึกตัวเอง เพื่อจะกลับไปอยู่ข้างเขาต่อได้
หลังคุยกับพี่พยาบาลเรามีนัดทำวิจัยกลุ่มที่อยู่กับเพื่อนพอดี แล้วแฟนเพื่อนก็มาด้วยเราเลยเรียกแฟนเพื่อนไปคุยก่อนว่าเราจะขอห่างสักพักนะเพื่อไปทำใจให้ไปเกริ่นกลับเพื่อนให้ก่อนหน่อย หลังจากนั้นคือเเฟนเพื่อนก็เข้าไปคุยให้กลายเป็นว่าเพื่อนเริ่มร้องไห้ไม่หยุดจนแฟนเพื่อนต้องพาไปโรงพยาบาลพูดทำนองว่าเเล้วใครจะฟังกู กูเหลือมันเเค่คนเดียวทำนองนี้กลายเป็นเรารู้สึกแย่กว่าเดิมไปอีก
หลัง ๆ มาเพื่อนก็เข้าโรงบาลบ่อยขึ้น เอะอะก็ไปโรงบาลใครก็ขัดใจไม่ได้ ขัดใจคือร้องไห้ จนหมอเจ้าของไข้ไม่อยากให้มา แล้วสุดท้ายเพื่อนได้ยินเสียงมีคนบอกให้ไปกระโดดตึก หมอเลยสั่งให้แอดมิดที่โรงพยาบาลทันที
ที่โรงพยาบาลจะมีเวลาเยี่ยมให้ชัดเจนเพื่อนอยู่ในโรงพยาบาลเกือบเดือน เราไปเยี่ยมเพื่อนสองสามครั้งตามที่แม่และเเฟนเพื่อนขอมา เพราะเราไม่ชอบกลิ่นโรงพยาบาล โรงพยาบาลเป็นที่ ๆ เราจะไม่ไปเด็ดขาดถ้าไม่ป่วยใกล้ตาย ญาติเราก็ไม่ไปเยี่ยมเลย เพื่อนกลัวเราเลิกคบเขา เเต่ช่วงนั้นเป็นช่วงจะสอบไฟนอลเราต้องทำโปรเจค ทำวิจัย ปั่นงานส่ง เเละอ่านหนังสือสอบ ซึ่งเราลงหน่วยกิจไป 25 หน่วย มันเป็นอะไรที่หนักมาก เราเทเพื่อนทิ้งแล้วไปหาเรื่องเรียน เพราะตอนเราไปเยี่ยนมเขาเรารู้สึกไม่มีประโยชน์อะไร ไปเยี่ยมคือเขาก็นั่งอยู่บนเตียง เราก็นั่งที่ข้างเตียงไม่มีอะไรทำ แล้วคือเค้าจะให่เราอยู่ทั้งวันซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ มากสุดเราก็อยู่แค่สี่ชั่วโมงเพราะเมื่อไปนั่งหายใจทิ้งเฉย ๆ
และในที่สุดเราก็ได้พบจิตเเพทย์ พี่หมอบอกเราว่าเราไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้าหรือไบโพล่า เราเป็นคนปกติ แค่เราซึมซับความเศร้าของเพื่อนมาเป็นของเราเก็บเรื่องของเขามาคิดเป็นเรื่องตัวเอง แนะนำให้เราหาที่เซฟอารมณ์ตัวเอง ไปอยู่กลับพวกพลังบวกเยอะๆ หน่อย มันจะทำให้เราซึมซับสิ่งนั้นมาเพราะพี่หมอบอกว่าเราฮีลง่าย
ส่วนเพื่อนนั้นเพราะเข้าโรงพยาบาลแอดมิดยาวไม่สามารถระบุเวลาออกได้และไม่สามารถไปเรียนได้จึงต้องไปทำเรื่องขอดรอปเป็นกรณีพิเศษ ค่าเทอมเพื่อนคือ 30000 บาท ก็หายไปกับสายลม และได้ W มาประดับไว้บนทรานสคิปแทน เพราะเลยช่วงถอนมานานแล้ว เกรดของเพื่อนคือ 1.4 จึงต้องลงซัมเมอร์เพื่อดึงเกรดไม่งั้นจะโดนไทร์ ซึ่งตอนแรกเราก็จะลงซัมเมอร์ด้วยแต่หลุดเเล้นด้อมทุกวิชาจึงทำให้เรากลับบ้านพักใจแทน ในระหว่างซัมเมอร์ก็คอลกันบ้างเป็นบางวัน ซึ่งเราต้องก็หาเรื่องอะไรก็ได้ไปคุยกับเค้าให้ไปเป็นอย่างน้อยสองชั่วโมง
และแล้วเปิดเทอมก็มาถึง เราเจอเพื่อนครั้งแรกคือเค้าทำร้ายตัวเองกระดูกมือเหมือนจะผิดรูป บวมไม่ยอมหาย กรีดขาตัวเองจนเป็นรอยโดยใช้กรรไกรและใบมีดโกนในการกรีด พวกมีดของมีคมอื่น ๆ ถูกเก็บไปหมดเเล้ว แต่เพื่อนบอกว่ายึดไปก็ไปซื้อมาอีกอยู่ดี เราก็เลยไม่เก็บอีกมีบ้างวันที่เราไปนอนเป็นเพื่อน เราขอตัวกลับ้องประมาณสองชั่วโมง แล้วแฟนเขาก็ทักมาว่ามันกรีดขาอีกแล้ว พอเจอหน้าหลังจากสองชั่วโมงผ่านไปเราก็ถามว่าได้ทำร้ายตัวเองอีกมั้ยเค้าก็บอกว่าไม่ ไหนเอาขามาดูหน่อย เขาโชว์ขาข้างที่กรีดครั้งก่อนให้เราดูค่ะ เราก็เลยเเชทบอกแฟนเค้าว่าไม่มี แต่เพื่อนดันพูดขึ้นว่าไม่ดูอีกข้างเหรอ นั่นละค่ะ เค้าไม่ได้กรีดข้างเดิมเเต่ไปกรีดอีกข้างแทน เรารู้สึกว่าตั้งแต่เปิดเทอมมาเค้าเรียกร้องความสนใจจากเรามากแปลก ๆ ปากบอกเราว่าเกรงใจ แต่ก็จะทำให้เรารู้ บางทีส่งข้อความาหาว่ามาฆ่ากูที เเบบนี้อะค่ะ
ปัจจุบันเราเปิดเทอมมาเกือบสามอาทิตย์แล้วค่ะ อาทิตย์แรกเพื่อนไม่เข้าเรียนเลยสักคาบเดียว อาทิตย์แรกส่วนมากจะเกี่ยวกับแนะแนวรายวิชา มีแค่บางวิชาเท่านั้นที่สอน เราก็บ่อยไป อาทิตย์ที่สอง เข้าบางวิชาเรียนแปดวิชาเค้าจะเข้าแค่วิชาหรือสองวิชาเเค่นั้น แล้วส่วนมากมันเรียนเช้าคาบเช้าคือเพื่อนเทหมดเลยไม่เข้า เราเลยพุดกับเพื่อนว่าดรอปไปรักษาตัวมั้ยถ้าจะเป็นแบบนี้โดนไทร์แน่ และมันจะขอดรอปแบบรอบที่แล้วไม่ได้ด้วย พอมาเจอหน้ากันเพื่อนบอกเราว่าที่เราพูดแบบนั้นเพื่อนร้องไห้และทำร้ายข้าวของและทำร้ายตัวเอง
ล่าสุดคือเพื่อนกินยาเกินขนาด มันเรียกว่ายาต้านเศร้าอะไรสักอย่าง หมอให้กินตอนเช้า 1 เม็ด ก่อนนอน 1 เม็ด แต่วันนั้นเพื่อนกินก่อนนอนวันเดียว 10 เม็ด กินเสร็จแล้วทักมาหาเรา คือเราไม่รู้จะทำยังไงกับเพื่อนดี ล่าสุดอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อนมาถามหาเพื่อนกับเพราะไม่มาเรียนเลย เราไม่รู้จะทำยังไง ขนาดอาจารย์ที่ปรึกษายังแนะนำให้ดรอปเรียนไปรักษาตัว แต่เพื่อนดื้อ พอพูดว่ากลับไปรักษาตัวที่บ้าน เค้าจะเริ่มร้องไห้ จากที่สังเกตุมาเค้าจะไม่อยากกลับบ้านอยากใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกที่ไม่มีแม่ กับน้ามาคุมชีวิต แถมแม่เค้าเคยบ่นกับเราว่าเเม่เหนื่อย ตอนช่วงที่เค้าอาการหนักแล้วแม่มาเฝ้าที่โรงพยาบาล คือแม่ต้องหอบงานมาทำที่โรงพยาบาลด้วย แบบ หรือว่าแม่จะยกเงินเก็บที่เม่เก็บไว้ให้เค้าทั้งหมดเเล้วก็ปล่อยเค้าไป ส่วนแม่ก็ไปหาเงินใหม่เอาข้างหน้าไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกันอีก
ตอนนี้เราควรทำยังไงกับเพื่อนคนนี้ดี เรายังทำงานกลุ่มกับเพื่อนคนนี้อยู่วิชาหนึ่งซึ่งเพื่อนไม่สามารถช่วยงานอะไรเราได้เลย มอบหมายงานให้เป็นแบบคำนี้หมายความว่าไงยกตัวอย่างที่เกี่ยวข้องอีกนิดหน่อยให้ไป 1 หน้า PPT. ถึงกำหนดพอเราทวงวันแรกบอกหาข้อมูลหลายเวปอยู่กำลังรวบรวมข้อมูล เราก็เออรออีกวันแล้วกัน จนวันสุดท้ายก่อนนำเสนองาน คือเพื่อนโกหกเราตั้งแต่ครั้งแรกที่เราถามว่ากำลังรวบรวมข้อมูลแต่จริง ๆ คือยังไม่ทำอะไรเลย มันเป็นกลุ่มสามคนแล้วโชคดีที่เราเป็นคนรวมไฟล์งาน เราอะยังไงก็ได้แต่เพื่อนอีกคนนี้สิ เมื่อวานล่าสุดบอกเราว่าจะเอาของมาให้ในคาบแต่สุดท้ายมาก็ไม่ได้ถืออะไรมาให้เรา
***************************************************************************************
คำถามที่ 2 ตอนนี้คือเราควรทำยังไงดีกับเพื่อนดีโทรจิกโทรตามมากเข้าเรารู้สึกเหนื่อยเพราะไม่ได้การตอบรับอะไรจากเพื่อนกลับมาเลย เราควรเลิกโทรจิกโทรตามเพื่อนมาเรียนแล้วปล่อยเค้าไป เค้าจะแย่กว่าเดิมมั้ยคะ
****************************************************************************************