สวัสดีค่ะ วันนี้ขอตั้งกระทู้เกี่ยวกับโรคกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท (
Piriformis Syndrome) จากการที่เราอยู่กับโรคนี้มาครบ 1 ปีนิดๆ และตอนที่เป็นหนักๆ เราไล่หาดูข้อมูลเยอะมากๆ ดราตั้งกระทู้นี้ไว้เผื่อคนที่เป็นโรคนี้จะได้มีข้อมูลไว้ดูประกอบนะคะ เป้นกำลังใจให้ค่ะ รักษาให้ถูกเราก็จะอยู่กับมันได้ค่ะ
โรคกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท (
Piriformis Syndrome) คืออะไร

Piriformis Syndrome หรือกลุ่มอาการกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท เป็นความผิดปกติของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ เกิดจากกล้ามเนื้อพิริฟอร์มิสบริเวณก้นใกล้กับสะโพกไปกดทับเส้นประสาทไซอาติกที่อยู่ใกล้กัน ส่งผลให้รู้สึกปวดบริเวณก้นร้าวไปยังขา หากมีอาการรุนแรงมาก อาจส่งผลกระทบต่อการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการนั่ง เช่น นั่งทำงาน หรือขับรถ เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดมากขึ้นเมื่อต้องนั่งเป็นเวลานานหรือทำกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวลำตัวส่วนล่าง เช่น วิ่ง หรือขึ้นบันได เป็นต้น หากมีอาการรุนแรงมากก็อาจทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้
อ้างอิง:
https://www.pobpad.com/piriformis-syndrome-%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89 (ไปอ่านต่อกันได้)
อาการที่เราเป็น คาดว่าเกิดจากตอนที่ขับรถใหม่ซึ่งยังไม่ชินเท้า และรองเท้าที่ไม่ถนัด ไป-กลับพิจิตรในวันเดียวกัน (อาจรวมกับความเครียดที่หมาเข้าโรงพยาบาล ไม่รู้จะรอดหรือไม่รอด และความเครียดจากการทำเล่มจบปริญญาโท)
หลังจากกลับจากพิจิตร เราเริ่มมีอาการปวดร้าวที่ขาขวา ซึ่งอธิบายไม่ถูก ไม่เหมือนปวดกล้ามเนื้อเวลาออกกำลังกาย (ก็มันเป็นที่เส้นประสาทอะเนอะ) ปวดหลายวัน จนต้องไปหาหมอ ซึ่งหมอก็วินิจฉัยว่า เป็นอันนี้แหละกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท พิริฟอมิสซินโดรม เราก็คิดในใจ "อัลไลซิ อะไรมิสๆ ฟังไม่ทัน" แล้วหมอก็สั่งจ่ายยาคลายกล้ามเนื้อพร้อมท่ายืดกล้ามเนื้อสะโพกมา

กินยาหมดห่อแล้วก็ไม่หาย ไม่ทุเลา ไม่ดีขึ้นใดๆ ทั้งสิ้นทั้งปวง แถมพอยาหมดคือเจ็บกว่าเดิม
ใช้คำว่า “เจ็บ” ไม่ใช่ “ปวด” เพราะมันคืออาการเจ็บจริงๆ
อาการเจ็บอย่างไร
1. เราไม่สามารถนั่งได้เลย ต้องยืนหรือนอนเท่านั้น นั่งได้ไม่ถึง 5 นาทีต้องยืนแล้ว
2. แค่นั่งรถจากบ้านไปหน้าปากซอย 10 นาที ก็น้ำตาไหลได้ มันเจ็บมากจริงๆ
3. จังหวะลงจากรถ หรือลุกจากท่านั่งทั้งหลายจะเจ็บมากตั้งแต่สะโพกลงไปถึงข้อเท้า จนหลายครั้งต้องร้องโอ๊ยออกมาดังๆ
4.เปลี่ยนจากท่านั่งเป็นท่ายืนแล้วยังเอาเท้าขวาลงพื้นไม่ได้ทันทีเพราะเหยียดขาเลยไม่ได้ มันเจ็บ ต้องลอยเท้าไว้เหนือพื้น แล้วค่อยๆวางลง
5. นิยามความเจ็บตอนนั้นคืออาการแสบลึกๆ เหมือนมีคนเอาไฟมาจี้ใต้ผิวหนังตามแนวเส้นประสาท คือไล่จากสะโพกลงด้านหลังเข่าเอียงไปทางข้างแข้งขวาแล้วลงไปถึงข้อเท้า
6. บางครั้งมีอาการจนชาไปถึงเท้า
7. เราทำงานนั่งโต๊ะ ทุกคนข้ามาถามหมด เป็นอะไรเหรอ ทำไมไม่นั่ง เรายืนทำงานเกือบทั้งวัน นั่งเฉพาะตอนที่เมื่อยมากๆ แต่นั่งได้แค่แป๊บเดียวก็ต้องยืนขึ้นมาใหม่
8.สะดุ้งตื่นมากลางดึกเพราะเจ็บขา เจ็บจนตื่นขึ้นมาเอง บางคืนตื่นมาก็น้ำตาไหล ทั้งเจ็บขา ทั้งเจ็บใจ โมโหใครไม่ได้ก็โมโหตัวเอง ที่ไม่หายซะที
9. เข้าใจความรู้สึกของคนที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรังจนฆ่าตัวตาย เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ความเจ็บปวดนี้มันจะหมดไปซะที
เราแอบไปซื้อยาคลายกล้ามเนื้อมากินเองอีก 2-3 ชุด เผื่อว่ามันจะทุเลาลงบ้าง ตอนกินก็เหมือนจะดี พอหยุดกินก็จะตายอีก

เราลองเปลี่ยนหมอ หมอคนใหม่ก็วินิจฉัยในโรคเดียวกัน และเพื่อความชัวร์ X-Ray กระดูกไปอีก และจะส่งไปทำ MRI เพื่อวินิจฉัยให้แน่นอนเพื่อแยกขาดจากโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท และผลก็คือ เราไม่ได้เป็นอะไร กระดูกปกติ เพราะฉะนั้นก็ชัวร์แล้ว ว่าเป็น โรคกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท
รักษาด้วยวิธีอะไรไปบ้าง
1. กินยาคลายกล้ามเนื้อ ถ้าโชคดี มันจะหาย แต่นี่ไม่หาย
2. ลองไปนวดไทย หมอนเปียก น้ำตาไหลอาบหมอน และพอเปลี่ยนหมอ หมอบอกว่า กล้ามเนื้อพิริฟอมิสมันอยู่ด้านในนวดก็ไม่ถึงหรอก
3. กายภาพ โดยใช้คลื่นไฟฟ้าเข้าไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อพิริฟอมิสคลายตัว อันนี้ดีขึ้น สบายตอนทำ แต่ก็ไม่หาย แบบทำเช้า เย็นก็เริ่มเจ็บอีกแล้ว
4. ฝังเข็ม อันนี้ดีเลย ตัดตอนที่หมอแทงยาชาเข้ามาที่หลังดั่งแทงหนังหมูแล้ว อันนี้เห็นผลที่สุด เห็นผลอย่างไร เนื่องจากพอฝังเข็มกล้ามเนื้อสะโพกมันก็คลายตัว แต่ด้วยโรคที่มันไม่ยอมคลายตัวใช่มะ พอตกดึก กล้ามเนื้อสะโพกและขาน้องกระตุกจ้า กระตุกดึ๊กๆ ใต้ผิวหนังนั่นแหละ เป็นการต่อสู้กันระหว่างโรคและการฝังเข็ม แต่หมอดันย้ายโรงพยาบาลไป เลยไม่ได้ฝังต่อ อันนี้ฝังไปได้ 3-4 ครั้ง (ตอนที่โดนแทงยาชาก็คิดว่า ทำไมกูต้องมาทำอะไรแบบนี้วะ ทำไมไม่หายซะที ช่วงนี้แหละที่เริ่มอยากตายละ)
5. วิ่ง ในเมื่อกายภาพ ฝังเข็ม กินยา นอนพัก มันไม่หายซะที กระแทกเลย ลงงานวิ่งจ้า ตอนนั้นเหมือนมืดแปดด้านละ ในเมื่อนุ่มนวลแล้วไม่หาย ก็วิ่งโลด
6. โยคะ วิธีที่ดีที่สุด หมอบอกว่ากินยาอย่างเดียวไม่ช่วยนะ เราจะกลับมาเป็นอีก ต้องยืดด้วย หมอให้ท่ามา มันยืดไม่สุด ลงคลาสโยคะเลยจ้า เช่นเดิม
น้ำตาเปียกเสื่อโยคะ แต่อาการดีขึ้น ดีขึ้นมาก ตอนทำท่าโยคะมันเจ็บก็จริง แต่คืนนั้นจะเป็นคืนที่นอนสบาย ไม่ตื่นมากลางดึกเพราะเจ็บขา
ปัจจุบันเป็นอย่างไร
1. ปัจจุบันยังเจ็บขาอยู่นะ แต่เจ็บในระดับรำคาญ ไม่เจ็บเท่าช่วง 3-4 เดือนแรก
2. ไม่ได้โยคะแล้ว เพราะขี้เกียจต่อคอร์ส
3. ยังวิ่งอยู่ และจากวิ่งประชดโรค ตอนนี้เป็นบ้าเป็นบอไปแล้ว ลงทั้งเทรล ลงทั้งวิบาก ค่าสมัครอย่าถาม หนูเองยังไม่อยากคำนวณ
4. ออกกำลังกายโดยการต่อยมวยและเวทเกือบทุกวัน เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ มีการวอร์มและยืดเหยียดเพื่อป้องกันกล้ามเนื้อบาดเจ็บ ท่ายืดกล้ามเนื้อสะโพกนี่ยืดสุดบอกเลย
ตอนนี้ก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่กับโรคนี้
นั่งทำงานไปสักชั่วโมงก็ต้องลุกเดินไปเข้าห้องน้ำบ้าง เดินไปกดน้ำดื่มบ้าง (ไม่ได้อู้นะคะเจ้านาย มันเป็นการทุเลาโรค) แล้วก็ออกกำลังกายและยืดทุกวัน ตอนที่ไปโยคะ ก็เล่าให้ครูโยคะฟัง ว่าเราเป็นโรคอะไร มีอาการอย่างไร ครูก็สอนท่ายืดมาให้ และพูดประโยคที่จำขึ้นใจเลยว่า
“การที่เราเป็นโรคอย่างนี้แล้ว เราต้องออกกำลังกายเหมือนมันเป็นหน้าที่ เหมือนกับที่เราต้องกินข้าวทุกวัน ไม่ใช่ออกกำลังกายเป็นงานอดิเรก”
ฝากไว้สำหรับคนที่ยังไม่ได้ป่วยนะคะ ออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อควบคู่ไปกับการยืดหยุ่นกล้ามเนื้อให้มันสมดุล ก่อนที่จะเป็นโรคอะไร เพราะพอเป็นแล้ว ทรมาณจริงๆค่ะ
บันทึกครบรอบ 1 ปี โรคกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท (Piriformis Syndrome)
โรคกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท (Piriformis Syndrome) คืออะไร
อ้างอิง: https://www.pobpad.com/piriformis-syndrome-%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89 (ไปอ่านต่อกันได้)
อาการที่เราเป็น คาดว่าเกิดจากตอนที่ขับรถใหม่ซึ่งยังไม่ชินเท้า และรองเท้าที่ไม่ถนัด ไป-กลับพิจิตรในวันเดียวกัน (อาจรวมกับความเครียดที่หมาเข้าโรงพยาบาล ไม่รู้จะรอดหรือไม่รอด และความเครียดจากการทำเล่มจบปริญญาโท)
หลังจากกลับจากพิจิตร เราเริ่มมีอาการปวดร้าวที่ขาขวา ซึ่งอธิบายไม่ถูก ไม่เหมือนปวดกล้ามเนื้อเวลาออกกำลังกาย (ก็มันเป็นที่เส้นประสาทอะเนอะ) ปวดหลายวัน จนต้องไปหาหมอ ซึ่งหมอก็วินิจฉัยว่า เป็นอันนี้แหละกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท พิริฟอมิสซินโดรม เราก็คิดในใจ "อัลไลซิ อะไรมิสๆ ฟังไม่ทัน" แล้วหมอก็สั่งจ่ายยาคลายกล้ามเนื้อพร้อมท่ายืดกล้ามเนื้อสะโพกมา
กินยาหมดห่อแล้วก็ไม่หาย ไม่ทุเลา ไม่ดีขึ้นใดๆ ทั้งสิ้นทั้งปวง แถมพอยาหมดคือเจ็บกว่าเดิม
ใช้คำว่า “เจ็บ” ไม่ใช่ “ปวด” เพราะมันคืออาการเจ็บจริงๆ
อาการเจ็บอย่างไร
1. เราไม่สามารถนั่งได้เลย ต้องยืนหรือนอนเท่านั้น นั่งได้ไม่ถึง 5 นาทีต้องยืนแล้ว
2. แค่นั่งรถจากบ้านไปหน้าปากซอย 10 นาที ก็น้ำตาไหลได้ มันเจ็บมากจริงๆ
3. จังหวะลงจากรถ หรือลุกจากท่านั่งทั้งหลายจะเจ็บมากตั้งแต่สะโพกลงไปถึงข้อเท้า จนหลายครั้งต้องร้องโอ๊ยออกมาดังๆ
4.เปลี่ยนจากท่านั่งเป็นท่ายืนแล้วยังเอาเท้าขวาลงพื้นไม่ได้ทันทีเพราะเหยียดขาเลยไม่ได้ มันเจ็บ ต้องลอยเท้าไว้เหนือพื้น แล้วค่อยๆวางลง
5. นิยามความเจ็บตอนนั้นคืออาการแสบลึกๆ เหมือนมีคนเอาไฟมาจี้ใต้ผิวหนังตามแนวเส้นประสาท คือไล่จากสะโพกลงด้านหลังเข่าเอียงไปทางข้างแข้งขวาแล้วลงไปถึงข้อเท้า
6. บางครั้งมีอาการจนชาไปถึงเท้า
7. เราทำงานนั่งโต๊ะ ทุกคนข้ามาถามหมด เป็นอะไรเหรอ ทำไมไม่นั่ง เรายืนทำงานเกือบทั้งวัน นั่งเฉพาะตอนที่เมื่อยมากๆ แต่นั่งได้แค่แป๊บเดียวก็ต้องยืนขึ้นมาใหม่
8.สะดุ้งตื่นมากลางดึกเพราะเจ็บขา เจ็บจนตื่นขึ้นมาเอง บางคืนตื่นมาก็น้ำตาไหล ทั้งเจ็บขา ทั้งเจ็บใจ โมโหใครไม่ได้ก็โมโหตัวเอง ที่ไม่หายซะที
9. เข้าใจความรู้สึกของคนที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรังจนฆ่าตัวตาย เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ความเจ็บปวดนี้มันจะหมดไปซะที
เราแอบไปซื้อยาคลายกล้ามเนื้อมากินเองอีก 2-3 ชุด เผื่อว่ามันจะทุเลาลงบ้าง ตอนกินก็เหมือนจะดี พอหยุดกินก็จะตายอีก
รักษาด้วยวิธีอะไรไปบ้าง
1. กินยาคลายกล้ามเนื้อ ถ้าโชคดี มันจะหาย แต่นี่ไม่หาย
2. ลองไปนวดไทย หมอนเปียก น้ำตาไหลอาบหมอน และพอเปลี่ยนหมอ หมอบอกว่า กล้ามเนื้อพิริฟอมิสมันอยู่ด้านในนวดก็ไม่ถึงหรอก
3. กายภาพ โดยใช้คลื่นไฟฟ้าเข้าไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อพิริฟอมิสคลายตัว อันนี้ดีขึ้น สบายตอนทำ แต่ก็ไม่หาย แบบทำเช้า เย็นก็เริ่มเจ็บอีกแล้ว
4. ฝังเข็ม อันนี้ดีเลย ตัดตอนที่หมอแทงยาชาเข้ามาที่หลังดั่งแทงหนังหมูแล้ว อันนี้เห็นผลที่สุด เห็นผลอย่างไร เนื่องจากพอฝังเข็มกล้ามเนื้อสะโพกมันก็คลายตัว แต่ด้วยโรคที่มันไม่ยอมคลายตัวใช่มะ พอตกดึก กล้ามเนื้อสะโพกและขาน้องกระตุกจ้า กระตุกดึ๊กๆ ใต้ผิวหนังนั่นแหละ เป็นการต่อสู้กันระหว่างโรคและการฝังเข็ม แต่หมอดันย้ายโรงพยาบาลไป เลยไม่ได้ฝังต่อ อันนี้ฝังไปได้ 3-4 ครั้ง (ตอนที่โดนแทงยาชาก็คิดว่า ทำไมกูต้องมาทำอะไรแบบนี้วะ ทำไมไม่หายซะที ช่วงนี้แหละที่เริ่มอยากตายละ)
5. วิ่ง ในเมื่อกายภาพ ฝังเข็ม กินยา นอนพัก มันไม่หายซะที กระแทกเลย ลงงานวิ่งจ้า ตอนนั้นเหมือนมืดแปดด้านละ ในเมื่อนุ่มนวลแล้วไม่หาย ก็วิ่งโลด
6. โยคะ วิธีที่ดีที่สุด หมอบอกว่ากินยาอย่างเดียวไม่ช่วยนะ เราจะกลับมาเป็นอีก ต้องยืดด้วย หมอให้ท่ามา มันยืดไม่สุด ลงคลาสโยคะเลยจ้า เช่นเดิม
น้ำตาเปียกเสื่อโยคะ แต่อาการดีขึ้น ดีขึ้นมาก ตอนทำท่าโยคะมันเจ็บก็จริง แต่คืนนั้นจะเป็นคืนที่นอนสบาย ไม่ตื่นมากลางดึกเพราะเจ็บขา
ปัจจุบันเป็นอย่างไร
1. ปัจจุบันยังเจ็บขาอยู่นะ แต่เจ็บในระดับรำคาญ ไม่เจ็บเท่าช่วง 3-4 เดือนแรก
2. ไม่ได้โยคะแล้ว เพราะขี้เกียจต่อคอร์ส
3. ยังวิ่งอยู่ และจากวิ่งประชดโรค ตอนนี้เป็นบ้าเป็นบอไปแล้ว ลงทั้งเทรล ลงทั้งวิบาก ค่าสมัครอย่าถาม หนูเองยังไม่อยากคำนวณ
4. ออกกำลังกายโดยการต่อยมวยและเวทเกือบทุกวัน เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ มีการวอร์มและยืดเหยียดเพื่อป้องกันกล้ามเนื้อบาดเจ็บ ท่ายืดกล้ามเนื้อสะโพกนี่ยืดสุดบอกเลย
ตอนนี้ก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่กับโรคนี้
นั่งทำงานไปสักชั่วโมงก็ต้องลุกเดินไปเข้าห้องน้ำบ้าง เดินไปกดน้ำดื่มบ้าง (ไม่ได้อู้นะคะเจ้านาย มันเป็นการทุเลาโรค) แล้วก็ออกกำลังกายและยืดทุกวัน ตอนที่ไปโยคะ ก็เล่าให้ครูโยคะฟัง ว่าเราเป็นโรคอะไร มีอาการอย่างไร ครูก็สอนท่ายืดมาให้ และพูดประโยคที่จำขึ้นใจเลยว่า
“การที่เราเป็นโรคอย่างนี้แล้ว เราต้องออกกำลังกายเหมือนมันเป็นหน้าที่ เหมือนกับที่เราต้องกินข้าวทุกวัน ไม่ใช่ออกกำลังกายเป็นงานอดิเรก”
ฝากไว้สำหรับคนที่ยังไม่ได้ป่วยนะคะ ออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อควบคู่ไปกับการยืดหยุ่นกล้ามเนื้อให้มันสมดุล ก่อนที่จะเป็นโรคอะไร เพราะพอเป็นแล้ว ทรมาณจริงๆค่ะ