เหนื่อยและท้อ กับปัญหาที่ต้องแบกรับ

สวัสดีค่ะ
กระทู้แรก ผิดพลาดอะไรขอโทษด้วยนะคะ

#ถ้าคุณคือลูกคนโต ที่ผ่านช่วงชีวิตในวัยเด็กมา
พร้อมกับภาพในหัวมีแต่ความรุนแรงในครอบครัว
#ถ้าคุณคือลูกคนโต ที่แม่ตั้งความหวังไว้สูง       
(หวังในทุกๆเรื่อง เรื่องเรียน เรื่อนงาน เรื่องเงิน)
#ถ้าคุณคือลูกคนโต ที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังแบก   
ปัญหาทุกอย่างบนโลกอยู่
เราคือพวกเดียวกันค่ะ

     เราอายุจะเข้า 26 ปี เดือนหน้าค่ะ เป็นลูกคนโต
มีน้องชายอีกคนอายุ 19 ปี เราโตมากับภาพที่พ่อแม่ทะเลาะกันแล้วใช้ความรุนแรงมาตลอด จนมาถึงช่วง ปวช.ปี2 แม่เราตัดสินใจแยกจากพ่อ โดยให้เรากับน้องเราเลือกเองว่าจะอยู่กับใคร ซึ่งเรากับน้องเลือกมาอยู่กับแม่ค่ะ
     วันที่เดินออกมาจากบ้านพ่อ แม่เราไม่มีอะไรติดตัวเลย คือหยิบยืมเงินจากญาติพี่น้องไปหาห้องเช่าอยู่ ส่วนเราเราเรียน ปวช. แบบระบบทวิภาคี (เรียนด้วย ทำงานด้วย) ช่วงที่เรียนแม่จะแบกภาระหนักหน่อยคือ แม่จะเป็นคนเดียวที่มีรายได้ แต่ต้องแบกค่าใช้จ่ายสำหรับ 3 คน พอช่วงที่เราสลับทำงาน แม่จะมีเงินจากการทำงานของเราเข้ามาช่วยแบ่งเบาได้ในระดับนึง
ซึ่งเงินทุกบาทที่เราได้จากการทำงาน เราบอกตรงๆว่า เราให้แม่หมด บัตร ATM เราไม่ได้เป็นคนถือ ค่าใช้จ่ายเรา แม่ให้รายวันค่ะ แต่ก็มีบ้างที่เราเอ่ยขอนอกเหนือจากรายวัน เช่น ไปดูหนังกับเพื่อน ซื้อเสื้อผ้า แต่ก็ไม่บ่อยนะคะ เรารู้สถานะทางบ้านเหมือนกัน
จนเราเรียนจบ ปวช. เราตัดสินใจไม่เรียนต่อด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง และตั้งใจว่าจะทำงานช่วยแม่หาเงิน
     เรากับแม่ใช้ชีวิตโดยการเช่าบ้านอยู่เกือบ 6 ปี
เรื่องดีๆก็เกิดขึ้น แม่เราทำเรื่องกู้ซื้อห้องเอื้ออาทรได้
ชีวิตเราเริ่มจะดีขึ้น เราได้งานเป็น Callcente เงินเดือนรวมเบ็ดเสร็จประมาณ 12,000-16,000 บาท โบนัสต่อปีประมาณ 25,000-30,000 บาท
เราก็ยังทำตัวเหมือนเดิมทุกอย่างคือ เงินเดือนเรา เราให้แม่หมด ไม่เคยถือบัตร ATM เอง เราให้แม่เป็นคนบริหารเงิน จนวันนึงเรากับแม่ตัดสินใจซื้อรถยนต์
โดยเจ้านายแม่ให้ยืมเงินดาวน์ 150,000 บาท
เราทำเรื่องซื้อรถผ่าน โดยมีค่าใช้จ่ายผ่อนรถ 7,000 บาทต่อเดือน ชีวิตเราเหมือนจะดีขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เราไม่เคยรู้ปัญหาเรื่องการเงินของแม่เลย
      เราทำ Callcente ได้ 3 ปีกว่าก็ลาออก ด้วยเหตุผลของตัวเราเอง อยากทำงานเป็นเวลา แบบไม่เข้ากะ
ประมาณเดือน มิ.ย 60 เราก็ได้งานเป็นธุรการสโมสรของคอนโดแห่งหนึ่ง เงินเดือนเราน้อยลงเกือบ 3-4 พันบาท แต่เราก็ยังคิดว่าเราไหว เพราะค่าใช้จ่ายหลักๆคือค่าห้องเอื้ออาทรเดือนละ 5,000 บาท ค่างวดรถเดือนละ 7,000 บาท และส่งเจ้านายแม่เดือนละ 3,000 บาท (แต่ช่วงที่ทำ Callcente เราส่งเดือนละ 5,000 บาท ได้โบนัสเท่าไหร่ก็จะเก็บไว้ใช้แค่ 5,000 ที่เหลือให้เจ้านายแม่)
      เราทำงานที่ใหม่ได้ประมาณ 7 เดือน เจ้านายแม่เรียกเราไปคุยเรื่องแม่ ซึ่งเรายังไม่รู้ว่าเรื่องอะไร
พอไปถึงภาพแรกที่เห็นคือแม่นั่งร้องไห้ พอเรานั่งข้างๆแม่ เจ้านายแม่ก็เริ่มบอกสิ่งที่แม่เราทำผิด
แม่เรายักยอกเงินของบริษัทมาร่วม 1.3 ล้านบาท
ในช่วงระยะเวลา 3 ปีก่อน ซึ่งความผิดร้ายแรงมาก แต่เจ้านายแม่เขาให้โอกาสเรากับแม่โดยเขาจะไม่ดำเนินคดี แต่ให้เราพยายามหาเงินมาคืนเขาให้หมดโดยเร็วที่สุด ก่อนที่คนอื่นจะรู้
ตอนนั้นเรามืดแปดด้าน ไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน ได้แต่ตั้งคำถามในหัวตัวเองว่าทำไมชีวิตต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ ทั้งที่ชีวิตกำลังจะดีขึ้น?
     เราก็ถามแม่นะ ว่าเอาเงินไปทำอะไรบ้าง ซึ่งคำตอบที่เราได้จากแม่คือ ก็เอามาใช้จ่ายในครอบครัว
เรานึกย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน ก่อนเราซื้อรถด้วยซ้ำ
ช่วงนั้นเราก็ยังทำงานเป็น Callcente เงินเดือนเราก็ได้เยอะพอสมควร ใช้ชีวิตก็ไม่ได้กินหรู อยู่สบาย กินข้าวนอกบ้านแพงสุดก็ MK หรือ บุฟเฟ่ HOTPOT ซึ่งเฉลี่ยช่วงนั้นเดือนละครั้ง ค่างวดรถก็ผ่อนตามยอดขั้นต่ำของสัญญา แต่ทำไมแม่ถึงยังเอาเงินเขามาใช้มากขนาดนั้น
     เราทำได้แค่ยอมรับสภาพตัวเอง ตอนนั้นตัดสิ้นใจจะขายรถ แต่รถเราก็พึ่งผ่อนไปได้แค่ 2 ปี แต่พอไปให้เขาตีราคาได้สูงสุดแค่ 20,000 บาท เราจึงตัดสินใจยังไม่ขายรถ จนปัญญาไม่รู้จะหาจากไหน เพราะไม่มีทรัพย์สินมีค่าอะไรที่จะเปลี่ยนเป็นมูลค่ามาชดใช้เขาได้เลย
     หลังจากรับรู้เรื่องแม่เราพยายามหารายได้เพิ่ม ทั้งหางานพาร์ทไทม์ แต่ก็หาไม่ได้ เพราะงานหลักเราเลิก 20:00 น. มองหาแนวทางการขายของออนไลน์ก็ไม่สำเร็จ เราพยายามหาทางออกทุกอย่าง เรื่องรถเราก็พยายามหาทางออกให้กับตัวเอง แต่ก็มืดทุกทาง
      จึงตัดสินใจเปลี่ยนงานอีกครั้ง ก็ได้งานที่ศูนย์จำหน่ายเบนซ์ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่จัดเตรียม เงินเดือน 12,000 บาท แต่ได้เลิกงาน 17:00 น. ในหัวตอนนั้นคืออยากขายของหลังเลิกงานตามตลาดนัด แต่พอเราปรึกษาแม่ แม่ไม่เห็นด้วย บอกว่าไม่มีเงินจะลงทุน ขายของเสี่ยงไม่รู้จะได้กำไรหรือขาดทุน เราก็โอเคมองหาทางอื่น ด้วยตำแหน่งงานเราหน้าที่หลักคือเตรียมรถเพื่อส่งมอบให้ลูกค้า พี่ๆเซลล์ก็จะมีค่าจ้างพิเศษให้บ้างเช่นคันละ 100 บาท โดยเงินพิเศษที่เราได้จากตรงนี้ เราขอแม่เอาไว้ส่งค่างวดรถ ซึ่งแม่ก็โอเค ส่วนทางเงินของเจ้านายแม่เรา จะหักจากเงินเดือนแม่เราเดือนละ 5-7 พันบาท มีบ้างที่ขอเว้นส่งเพราะหมุนไม่ทัน แต่ด้วยเรื่องการทำงานที่เบนซ์มีค่าใช้จ่ายสูงต่อวันเกือบ 150 บาท เพราะการเดินทางที่ไกลจากบ้าน รายได้ก็เลยยังไม่พอกับเรื่องค่าใช้จ่ายอยู่ดี
      ตลอดเวลาตั้งแต่วันนั้น เรารู้ว่าแม่เราเครียด แต่ทุกๆความกดดันของแม่ ก็มาลงที่เรา แม่เราเขาเป็นคนอารมณ์ร้อน ปากร้าย เวลาโมโห หงุดหงิด ก็บ่น ก็ด่าเรา โดนด่า มีบ้างที่มีปากเสียง เราเถียง แม่ก็จะน้อยใจเรา ก็จะพูดว่า
ถ้าคิดว่าแม่เป็นตัวถ่วงชีวิต ก็เดินออกไปเลย ไปใช้ชีวิตของเอง ซึ่งเราได้ยินคำพูดแบบนี้บ่อยมากๆ เราท้อ เราเหนื่อย บางครั้งเรารู้สึกคิดน้อยใจ อยากจะหนีปัญหาทุกอย่าง ด้วยการจากไป แต่ก็ห่วงแม่ ว่าแม่จะอยู่ยังไง เราไม่รู้หรอกว่าเราเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า แต่ความคิดที่ไม่อยากอยู่ต่อบนโลกมันอยู่ในหัวเราตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนนี้
      ปัจจุบัน เราออกจากเบนซ์เพราะเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และเริ่มทำงานเป็น พนง. 7-11 เมื่อวันที่ 20 พ.ค. ที่ผ่านมา เราได้ลงร้านที่ใกล้บ้าน เดินเท้าไปทำงานได้ แม่ยังคงให้เราเป็นรายวัน วันละ 50-60 บาท บางวันก็ลืมให้ แต่เราก็ไม่อะไร ที่ร้านมีข้าวให้กินฟรี อาศัยกับข้าวเพื่อนในกะเดียวกันก็ได้ ส่วนแม่เราออกจากงานเดิมมาเป็นแม่บ้านรายวัน และขี่วินรับจ้างหลังเลิกงาน รถยนต์เราติดต่อคืนรถกับทางธนาคารเจ้าของไฟแนนซ์ โดยยอมรับสภาพหนี้ที่จะตามมา
      ช่วงกลางเดือนที่ผ่านมาบ้านเราโดนการไฟฟ้ามายกมิเตอร์ เนื่องจากค้างจ่าย 2 เดือน และเป็นช่วงที่เราเข้ากะดึก ต้องนอนตอนกลางวัน ซึ่งทุกคคนน่าจะรู้ว่าอากาศบ้านเราร้อนขนาดไหน เราไม่ได้นอนเกือบ 2 วัน เพราะนอนไม่หลับ แม่จึงไปติดต่อนิติเอื้อฯขอต่อไฟใช้ชั่วคราว โดยทางนิติให้เงื่อนไขว่าคิดค่าใช้จ่ายวันละ 200 บาท จนกว่าการไฟฟ้าจะมาติดหม้อไฟให้เรา
    และเมื่อวานเงินเดือนเราออก เราได้ 10,600 บาท
(เราถือบัตร ATM เองแล้ว) เราโอนคืนเพื่อนที่หยิบยืมมาใช้ในช่วงที่เราไม่ขอแม่ (แม่ตกงานก่อนที่เราจะทำ 7-11) จำนวน 3,000 บาท โอนให้แม่เมื่อวาน 500 บาท ซื้อของใช้เข้าบ้าน 500 บาท เหลือตอนนี้ 6,000 บาท
เมื่อเช้าแม่เราถามว่าตอนนี้เงินเดือนเราเหลือเท่าไหร่ เราก็บอกเขาไปว่า 6 พัน เขาก็ทำเสียงตกใจ แล้วถอนหายใจ เดินออกจากห้องนอน เรารู้เลยว่าเขาอารมณ์เสีย สักพักเขาเดินเข้ามาบอกเราว่า ถ้ามีเงินก็ไปหาห้องเช่าอยู่นะ เงินเหลือ 6 พันไม่พอใช้หนี้หรอก เดี๋ยวเขามายึดบ้านละ ซึ่งเราเจอแบบนี้ยิ่งท้อ ยิ่งเหนื่อย
แล้วก็อดคิดน้อยใจไม่ได้ตรงที่ เราทำงานมาเงินเดือนเรา เราไม่มีสิทธิ์ได้ใช้เลยหรอ

   ตอนนี้ยอมรับว่าเราท้อ และเหนื่อยสุดๆ ความรู้สึกเหมือนตาบอดไม่พอ ยังต้องเดินในทางที่ไม่มีแม้กระทั่งแสงสว่างใดๆ เรามองไม่เห็นอนาคตตัวเอง
รู้สึกว่าเราไม่ใช่แค่กลับมาเริ่มที่ศูนย์นะ แต่มันไปไกลมากกว่าติดลบด้วยซ้ำ น้องเราก้พึ่งพาไม่ได้ ไม่เคยมาสนใจปัญหาของแม่เลย ออกจากบ้านไปอยู่กับผู้หญิง
วันไหนน้องหิวข้าว ไม่มีเงิน ก็เข้ามากินข้าวในบ้าน แล้วก็ไป แต่ไม่เคยซื้ออะไรเข้าบ้านเลย

   สุดท้ายอยากได้ความคิดเห็นจากทุกคน
ว่าเราควรจะทำยังไงกับชีวิตต่อไปดี
ควรจะเริ่มจากตรงไหน
หากใครมีคำแนะนำเรื่องรายได้เสริม ช่วยบอกเราด้วย ขอบคุณค่ะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่