สถานที่สำคัญแห่งหนึ่งย่านถนนเจริญประเทศ คือ อาคารสำนักงานกรมป่าไม้เดิมสมัยรัชกาลที่ 5

..........ซึ่งกรมป่าไม้ในอดีตเริ่มก่อตั้งที่เมืองเชียงใหม่ สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
ปัจจุบันยังมีการอนุรักษ์อาคารกรมป่าไม้เดิม เป็นอาคารไม้สัก บันไดทางขึ้นอยู่ทางทิศตะวันออกด้านริมน้ำปิง

..........ประวัติของกรมป่าไม้น่าสนใจอย่างยิ่ง
เพราะเกี่ยวข้องกับทรัพยากรที่มีคุณค่าของล้านนาในอดีตและเกี่ยวข้องกับเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่อีกด้วย

..........เหตุการณ์ก่อนสถาปนากรมป่าไม้นั้น
ประวัติกรมป่าไม้ของประเทศไทยได้เริ่มขึ้นในสมัยที่มีการริเริ่มทำป่าไม้สักเป็นสินค้าทางภาคเหนือ
กล่าวคือ ป่าไม้สักใน 5 นครอันได้แก่ นครเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ และน่าน
เจ้าผู้ครองนครเหล่านี้ได้ยึดถือเอาว่าป่าไม้ในเขตท้องที่ดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของตน
ผู้ใดจะทำไม้สักในป่าท้องที่ใดจะต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าผู้ครองนครนั้นๆ โดยยอมเสียเงินที่เรียกว่า "ค่าตอไม้"
ตามจำนวนต้นที่จะตัดฟันลง นอกจากนั้นเจ้าผู้ครองนครจะยกป่าใดในท้องที่ของตนให้แก่ผู้ใดก็ได้
และเมื่อเจ้าของป่าถึงแก่กรรมลงป่าไม้นั้นก็ตกเป็นทรัพย์สินอยู่ในกองมรดกด้วย มิได้มีการควบคุมการทำไม้ในทางวิชาการเลย
เช่น จำนวนไม้ที่จะให้ตัดฟันแต่ละคราว ขนาดจำกัด หรือจะตัดออกจากป่าตอนไหน เท่าใด ก็มิได้กำหนดไว้

..........เหตุการณ์ได้เป็นไปเช่นนี้ตลอดมาเป็นเวลาช้านาน
จนปรากฏว่าในระยะหลังการอนุญาตให้ทำป่าไม้ของผู้เป็นเจ้าของป่ามิได้เป็นไปโดยยุติธรรมและเรียบร้อย
ได้ก่อความยุ่งยากและเกิดกรณีพิพาทระหว่างผู้ขออนุญาต ผู้รับอนุญาตและเจ้าของป่าอยู่เนืองๆ
จนได้มีคำร้องทุกข์ของผู้เดือดร้อนถึงรัฐบาลอยู่เสมอ

..........รัฐบาลจึงได้ตราพระราชบัญญัติสำหรับผู้รักษาเมืองซึ่งจะทำสัญญากับชาวต่างประเทศ จุลศักราช 1236 (พ.ศ.2417)
โดยกำหนดว่า สัญญาที่ผู้รักษาเมืองหรือผู้ครองนครจะกระทำกับชาวต่างประเทศนั้นจะต้องได้รับสัตยาบันจากรัฐบาลก่อนจึงจะมีผลใช้บังคับได้
และรัฐบาลได้แทรกข้อความที่ว่า
"ห้ามมิให้เจ้านายเจ้าของป่าออกใบอนุญาตแห่งใดแห่งหนึ่งให้แก่บุคคลเกินกว่า 1 คน"
ไว้ในสัญญาทางพระราชไมตรีอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ.2426 อีกด้วย

..........รัฐบาลได้ตระหนักถึงความจำเป็นในการที่จะควบคุมการทำป่าไม้ให้รัดกุมยิ่งขึ้น ใน พ.ศ.2436
กระทรวงมหาดไทยได้จ้าง Mr.Castensjold ชาวเดนมาร์กไปตรวจสถานการณ์ทำป่าไม้สักทางภาคเหนือ
แต่เมื่อเดินทางไปถึงจังหวัดตาก ท่านผู้นี้ก็ป่วยหนักและถึงแก่กรรม รัฐบาลจึงต้องจัดหาผู้ชำนาญคนอื่นให้ดำเนินการต่อไป

..........ในการนี้รัฐบาลอินเดียได้เอื้อเฟื้อให้ยืม Mr.H.Slade ข้าราชการผู้ชำนาญและสามารถในการป่าไม้ของพม่ามาใช้ชั่วคราว
Mr.H.Slade ได้มาถึงกรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ.2438
แล้วได้เดินทางไปภาคเหนือเพื่อสำรวจกิจกรรมป่าไม้สักของไทย โดยผ่านจังหวัดต่างๆ จนถึงจังหวัดเชียงใหม่
ได้เสนอรายงานผลการสำรวจป่าไม้ต่อกระทรวงมหาดไทยพร้อมกับได้ชี้ข้อบกพร่องต่างๆ ในกิจการป่าไม้ของประเทศไทยและให้ข้อเสนอแนะไว้

..........Mr.H.Slade ได้ชี้แจงข้อบกพร่องและได้เสนอวิธีแก้ไขไว้หลายประการ ที่สำคัญก็คือ
รัฐบาลควรต้องเข้าจัดการป่าไม้เสียเอง ไม่ควรปล่อยให้อยู่ในมือของเอกชนคนใดคนหนึ่ง
ป่าไม้สักอันมีค่าของไทยควรจะต้องโอนมาอยู่ในความดูแลควบคุมของรัฐบาลโดยสิทธิ์ขาด
และเพื่อให้การจัดการป่าไม้ของประเทศมีเสถียรภาพอันมั่นคงกับรักษาสภาพเช่นนั้นไว้ได้
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะจัดตั้งองค์การในรูปทบวงการเมืองของรัฐบาลควบคุมและบริหารป่าไม้ขึ้น
และให้พนักงานที่ได้รับการอบรมมาโดยเฉพาะเป็นผู้ดำเนินการ เพราะการป่าไม้เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่ง

..........นอกจากนี้ควรออกกฎหมายสำหรับควบคุมกิจการป่าไม้ด้วย
อีกทั้งได้เสนอให้มีบทบัญญัติ กล่าวถึงการจัดการป่าเป็นป่าสงวนและการบันทึกสิทธิต่างๆ ที่มีอยู่เหนือป่าไม้

..........สำหรับเงินค่าตอไม้ ก็ควรเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐบาลจัดเก็บเสียเอง
แทนที่จะให้พนักงานของเจ้านายเจ้าของป่าดำเนินการ
ซึ่งได้เงินค่าตอน้อยกว่าที่ควรได้ เพราะการทุจริตของพนักงานเหล่านั้น

..........เมื่อกระทรวงมหาดไทยได้รับรายงานของ Mr.H.Slade และได้พิจารณาเห็นชอบด้วยแล้ว
จึงได้นำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เพื่อขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยซึ่งก็ได้ทรงพระราชดำริเห็นชอบและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกรมป่าไม้ขึ้น
โดยให้สังกัดอยู่ในกระทรวงมหาดไทยนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

..........ระยะแรกรัฐบาลได้ยืมตัวเจ้าหน้าที่ป่าไม้อังกฤษจากรัฐบาลอินเดีย
มาช่วยบริหารราชการป่าไม้ในฐานะเจ้ากรมระหว่างปี พ.ศ.2439 ถึง พ.ศ.2466 รวม 3 คน
คือ Mr.H.Slade, Mr.Tottenham และ Mr.W.F.Lloyd

..........ต่อมาในปี พ.ศ.2466 เมื่อ Mr.W.F.Lloyd ได้กราบถวายบังคมลาออกจากราชการแล้ว
รัฐบาลได้พิจารณาเห็นว่า พระยาดรุพันธ์พิทักษ์ (นายสนิท พุกกะมาน)
ซึ่งจบการศึกษาวิชาการป่าไม้จาก Royal Engineering College เมือง Cooper's Hill ประเทศอังกฤษ
และได้กลับมารับราชการกรมป่าไม้ เมื่อปี พ.ศ.2446 เป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ
จึงได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมป่าไม้ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2467
โดยไม่จ้างชาวต่างประเทศเป็นเจ้ากรมนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

..........ทางราชการก็ได้ถือเอาวันที่ 18 กันยายน ร.ศ.115 (พ.ศ.2439) เป็นวันสถาปนากรมป่าไม้ตลอดมา

..........สถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของกรมป่าไม้แห่งแรกของประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2439
โดยพระบรมราชนุญาตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
โดยมี Mr.H.Slade เป็นเจ้ากรมป่าไม้คนแรกคืออาคารไม้สักใหญ่ มีใต้ถุนสูง
หันหน้าไปทางทิศตะวันออกด้านแม่น้ำปิง ซึ่งปัจจุบันยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี

..........ต่อมาปี พ.ศ.2453 กรมป่าไม้ย้ายที่ทำการไปอยู่กรุงเทพฯ
ที่ทำการแห่งนี้เปลี่ยนเป็นที่ทำการป่าไม้ภาค
และเป็นที่ทำการป่าไม้เขตเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ.2484 เป็นต้นมา (หนังสือ 100 ปี กรมป่าไม้, 2539)

..........เนื่องจากกรมป่าไม้ระยะแรกตั้งอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ที่ถนนเจริญประเทศ
ดังนั้น ข้าราชการที่มีความสามารถด้านกิจการป่าไม้จึงได้มารับราชการ ณ ที่แห่งนี้
และตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บริเวณข้างเคียงที่เรียกว่า "บ้านเม็ง" หลายครอบครัว
..........หากนับชุมชนบ้านเม็ง คงจะเริ่มจากวัดชัยมงคลเรื่อยมาทางทิศใต้จนสุดโบสถ์โรงเรียนพระหฤทัย
ถัดจากนั้นไปมักเป็นทุ่งนาและบ้านเรือนห่างๆ ถัดไปเป็นชุมชนช้างคลาน
.........."เม็ง" หรือที่นักวิชาการให้ความหมายว่า "มอญ" นั้นมีประวัติศาสตร์และอารยธรรมมานาน
นอกจากนี้ยังเป็นต้นแบบของวัฒนธรรมของชาวล้านนาหลายอย่าง
เช่น ประเพณีการตักบาตรพระอุปคุต ประเพณีลอยโขมด (ลอยไฟของชาวล้านนา) หรือแม้แต่การนับถือผี
..........ประเพณีต่างๆ เหล่านี้เป็นประเพณีที่ได้รับอิทธิพลจากชาวเม็งทั้งสิ้น
ชาวเม็งในล้านนานั้นหากย้อนไปในประวัติศาสตร์ของชาวล้านนามีการกล่าวถึงชาวเม็งซึ่งอพยพมาจากหลายเมืองของอาณาจักรมอญโบราณ
เช่น พุกาม หงสาวดี และพระโค ชาวเม็งนั้นได้อพยพเข้ามาอาศัยในดินแดนล้านนาในหลายยุคสมัย
ซึ่งมีนักวิชาการได้ศึกษาการอพยพไว้ เช่น ฮันส์ เพนธ์ ศึกษาพบว่าเม็งอพยพมาตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวีแล้ว
โดยพระนางจามเทวีได้อพยพผู้คนที่มีเชื้อสายเม็ง (มอญ) มาจากอาณาจักรทวาราวดี (ลพบุรี) มาครองอาณาจักรหริภุญไชย (ลำพูน)
ในการอพยพครั้งนั้นได้นำช่างฝีมือต่างๆ ขึ้นมายังอาณาจักรหริภุญไชย
จึงกล่าวได้ว่า ชนชาติเม็งเป็นชนชาติแรกที่นำอารยธรรมและวัฒนธรรมชั้นสูงเข้ามาเผยแพร่
..........นอกจากนี้ในสมัยพญามังรายสร้างเมืองที่เวียงกุมกาม ก็มีชาวเม็งอพยพมาเช่นกัน
โดยกษัตริย์พุกามแห่งอาณาจักรมอญโบราณ
ถวายพระราชธิดานามว่านางพายโคมาให้พญามังรายเพื่อต้องการผูกไมตรีเป็นพระญาติกับพญามังราย
อาจารย์สรัสวดี อ๋องสกุล ศึกษาพบว่าในครั้งนั้นมีชาวเม็งจากอาณาจักรพุกามติดตามนางพายโคมาถึง 500 ครัวเรือน
และได้มาอาศัยอยู่บริเวณวัดกานโถมในเวียงกุมกาม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการผสมผสานวัฒนธรรมของมอญและล้านนา
..........จึงจะเห็นได้ว่าชาวเม็งได้เข้ามาอาศัยอยู่ในดินแดนล้านนา
และนำวัฒนธรรมประเพณีและวิถีชีวิตเข้ามาผสมผสานกับชาวล้านนาเดิมมานานมากกว่า 1,000 ปีแล้ว
เชียงใหม่ - นำชมอาคารไม้สัก สำนักงานกรมป่าไม้แห่งแรกของประเทศไทย สมัยรัชกาลที่ 5
..........ซึ่งกรมป่าไม้ในอดีตเริ่มก่อตั้งที่เมืองเชียงใหม่ สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
ปัจจุบันยังมีการอนุรักษ์อาคารกรมป่าไม้เดิม เป็นอาคารไม้สัก บันไดทางขึ้นอยู่ทางทิศตะวันออกด้านริมน้ำปิง
เพราะเกี่ยวข้องกับทรัพยากรที่มีคุณค่าของล้านนาในอดีตและเกี่ยวข้องกับเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่อีกด้วย
ประวัติกรมป่าไม้ของประเทศไทยได้เริ่มขึ้นในสมัยที่มีการริเริ่มทำป่าไม้สักเป็นสินค้าทางภาคเหนือ
กล่าวคือ ป่าไม้สักใน 5 นครอันได้แก่ นครเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ และน่าน
เจ้าผู้ครองนครเหล่านี้ได้ยึดถือเอาว่าป่าไม้ในเขตท้องที่ดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของตน
ผู้ใดจะทำไม้สักในป่าท้องที่ใดจะต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าผู้ครองนครนั้นๆ โดยยอมเสียเงินที่เรียกว่า "ค่าตอไม้"
ตามจำนวนต้นที่จะตัดฟันลง นอกจากนั้นเจ้าผู้ครองนครจะยกป่าใดในท้องที่ของตนให้แก่ผู้ใดก็ได้
และเมื่อเจ้าของป่าถึงแก่กรรมลงป่าไม้นั้นก็ตกเป็นทรัพย์สินอยู่ในกองมรดกด้วย มิได้มีการควบคุมการทำไม้ในทางวิชาการเลย
เช่น จำนวนไม้ที่จะให้ตัดฟันแต่ละคราว ขนาดจำกัด หรือจะตัดออกจากป่าตอนไหน เท่าใด ก็มิได้กำหนดไว้
จนปรากฏว่าในระยะหลังการอนุญาตให้ทำป่าไม้ของผู้เป็นเจ้าของป่ามิได้เป็นไปโดยยุติธรรมและเรียบร้อย
ได้ก่อความยุ่งยากและเกิดกรณีพิพาทระหว่างผู้ขออนุญาต ผู้รับอนุญาตและเจ้าของป่าอยู่เนืองๆ
จนได้มีคำร้องทุกข์ของผู้เดือดร้อนถึงรัฐบาลอยู่เสมอ
โดยกำหนดว่า สัญญาที่ผู้รักษาเมืองหรือผู้ครองนครจะกระทำกับชาวต่างประเทศนั้นจะต้องได้รับสัตยาบันจากรัฐบาลก่อนจึงจะมีผลใช้บังคับได้
และรัฐบาลได้แทรกข้อความที่ว่า
"ห้ามมิให้เจ้านายเจ้าของป่าออกใบอนุญาตแห่งใดแห่งหนึ่งให้แก่บุคคลเกินกว่า 1 คน"
ไว้ในสัญญาทางพระราชไมตรีอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ.2426 อีกด้วย
กระทรวงมหาดไทยได้จ้าง Mr.Castensjold ชาวเดนมาร์กไปตรวจสถานการณ์ทำป่าไม้สักทางภาคเหนือ
แต่เมื่อเดินทางไปถึงจังหวัดตาก ท่านผู้นี้ก็ป่วยหนักและถึงแก่กรรม รัฐบาลจึงต้องจัดหาผู้ชำนาญคนอื่นให้ดำเนินการต่อไป
Mr.H.Slade ได้มาถึงกรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ.2438
แล้วได้เดินทางไปภาคเหนือเพื่อสำรวจกิจกรรมป่าไม้สักของไทย โดยผ่านจังหวัดต่างๆ จนถึงจังหวัดเชียงใหม่
ได้เสนอรายงานผลการสำรวจป่าไม้ต่อกระทรวงมหาดไทยพร้อมกับได้ชี้ข้อบกพร่องต่างๆ ในกิจการป่าไม้ของประเทศไทยและให้ข้อเสนอแนะไว้
รัฐบาลควรต้องเข้าจัดการป่าไม้เสียเอง ไม่ควรปล่อยให้อยู่ในมือของเอกชนคนใดคนหนึ่ง
ป่าไม้สักอันมีค่าของไทยควรจะต้องโอนมาอยู่ในความดูแลควบคุมของรัฐบาลโดยสิทธิ์ขาด
และเพื่อให้การจัดการป่าไม้ของประเทศมีเสถียรภาพอันมั่นคงกับรักษาสภาพเช่นนั้นไว้ได้
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะจัดตั้งองค์การในรูปทบวงการเมืองของรัฐบาลควบคุมและบริหารป่าไม้ขึ้น
และให้พนักงานที่ได้รับการอบรมมาโดยเฉพาะเป็นผู้ดำเนินการ เพราะการป่าไม้เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่ง
อีกทั้งได้เสนอให้มีบทบัญญัติ กล่าวถึงการจัดการป่าเป็นป่าสงวนและการบันทึกสิทธิต่างๆ ที่มีอยู่เหนือป่าไม้
แทนที่จะให้พนักงานของเจ้านายเจ้าของป่าดำเนินการ
ซึ่งได้เงินค่าตอน้อยกว่าที่ควรได้ เพราะการทุจริตของพนักงานเหล่านั้น
จึงได้นำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เพื่อขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยซึ่งก็ได้ทรงพระราชดำริเห็นชอบและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกรมป่าไม้ขึ้น
โดยให้สังกัดอยู่ในกระทรวงมหาดไทยนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
มาช่วยบริหารราชการป่าไม้ในฐานะเจ้ากรมระหว่างปี พ.ศ.2439 ถึง พ.ศ.2466 รวม 3 คน
คือ Mr.H.Slade, Mr.Tottenham และ Mr.W.F.Lloyd
รัฐบาลได้พิจารณาเห็นว่า พระยาดรุพันธ์พิทักษ์ (นายสนิท พุกกะมาน)
ซึ่งจบการศึกษาวิชาการป่าไม้จาก Royal Engineering College เมือง Cooper's Hill ประเทศอังกฤษ
และได้กลับมารับราชการกรมป่าไม้ เมื่อปี พ.ศ.2446 เป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ
จึงได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมป่าไม้ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2467
โดยไม่จ้างชาวต่างประเทศเป็นเจ้ากรมนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
โดยพระบรมราชนุญาตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
โดยมี Mr.H.Slade เป็นเจ้ากรมป่าไม้คนแรกคืออาคารไม้สักใหญ่ มีใต้ถุนสูง
หันหน้าไปทางทิศตะวันออกด้านแม่น้ำปิง ซึ่งปัจจุบันยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี
ที่ทำการแห่งนี้เปลี่ยนเป็นที่ทำการป่าไม้ภาค
และเป็นที่ทำการป่าไม้เขตเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ.2484 เป็นต้นมา (หนังสือ 100 ปี กรมป่าไม้, 2539)
ดังนั้น ข้าราชการที่มีความสามารถด้านกิจการป่าไม้จึงได้มารับราชการ ณ ที่แห่งนี้
และตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บริเวณข้างเคียงที่เรียกว่า "บ้านเม็ง" หลายครอบครัว
..........หากนับชุมชนบ้านเม็ง คงจะเริ่มจากวัดชัยมงคลเรื่อยมาทางทิศใต้จนสุดโบสถ์โรงเรียนพระหฤทัย
ถัดจากนั้นไปมักเป็นทุ่งนาและบ้านเรือนห่างๆ ถัดไปเป็นชุมชนช้างคลาน
.........."เม็ง" หรือที่นักวิชาการให้ความหมายว่า "มอญ" นั้นมีประวัติศาสตร์และอารยธรรมมานาน
นอกจากนี้ยังเป็นต้นแบบของวัฒนธรรมของชาวล้านนาหลายอย่าง
เช่น ประเพณีการตักบาตรพระอุปคุต ประเพณีลอยโขมด (ลอยไฟของชาวล้านนา) หรือแม้แต่การนับถือผี
..........ประเพณีต่างๆ เหล่านี้เป็นประเพณีที่ได้รับอิทธิพลจากชาวเม็งทั้งสิ้น
ชาวเม็งในล้านนานั้นหากย้อนไปในประวัติศาสตร์ของชาวล้านนามีการกล่าวถึงชาวเม็งซึ่งอพยพมาจากหลายเมืองของอาณาจักรมอญโบราณ
เช่น พุกาม หงสาวดี และพระโค ชาวเม็งนั้นได้อพยพเข้ามาอาศัยในดินแดนล้านนาในหลายยุคสมัย
ซึ่งมีนักวิชาการได้ศึกษาการอพยพไว้ เช่น ฮันส์ เพนธ์ ศึกษาพบว่าเม็งอพยพมาตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวีแล้ว
โดยพระนางจามเทวีได้อพยพผู้คนที่มีเชื้อสายเม็ง (มอญ) มาจากอาณาจักรทวาราวดี (ลพบุรี) มาครองอาณาจักรหริภุญไชย (ลำพูน)
ในการอพยพครั้งนั้นได้นำช่างฝีมือต่างๆ ขึ้นมายังอาณาจักรหริภุญไชย
จึงกล่าวได้ว่า ชนชาติเม็งเป็นชนชาติแรกที่นำอารยธรรมและวัฒนธรรมชั้นสูงเข้ามาเผยแพร่
..........นอกจากนี้ในสมัยพญามังรายสร้างเมืองที่เวียงกุมกาม ก็มีชาวเม็งอพยพมาเช่นกัน
โดยกษัตริย์พุกามแห่งอาณาจักรมอญโบราณ
ถวายพระราชธิดานามว่านางพายโคมาให้พญามังรายเพื่อต้องการผูกไมตรีเป็นพระญาติกับพญามังราย
อาจารย์สรัสวดี อ๋องสกุล ศึกษาพบว่าในครั้งนั้นมีชาวเม็งจากอาณาจักรพุกามติดตามนางพายโคมาถึง 500 ครัวเรือน
และได้มาอาศัยอยู่บริเวณวัดกานโถมในเวียงกุมกาม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการผสมผสานวัฒนธรรมของมอญและล้านนา
..........จึงจะเห็นได้ว่าชาวเม็งได้เข้ามาอาศัยอยู่ในดินแดนล้านนา
และนำวัฒนธรรมประเพณีและวิถีชีวิตเข้ามาผสมผสานกับชาวล้านนาเดิมมานานมากกว่า 1,000 ปีแล้ว