เบื่อแม่สามี อยากหนีไปไกลๆ

เราเคยเขียนกระทู้เรื่องครอบครัวเรามาหลายรอบแล้วคะ และเรื่องนี้ก็เหมือนเดิมแต่เพิ่มเติมคือคือตอนนี้เรามีลูกแล้วคะ (น้องเพิ่งเกิด)

แม่สามีเราอยากให้เรามีหลานมากคะ พอวันที่เรารู้ว่าเราท้องเรากับสามีดีใจจนร้องไห้เลยคะ และคำพูดแรกของแม่สามีคือ “จะร้องทำไม มีคนมาเกิดไม่ใช่จะมีคนตาย” เราอึ้งไปนิดนึง สามีเราก็คอยปลอบคะ
นะหว่างที่เราอุ้มท้องลูก ช่วง 3 เดือนแรกเราขึ้นรถเมล์ไปทำงานเองคะ แต่พอเข้าเดือนที่ 4 สาทีเราขับรถไปรับส่ง และทุกครั้งที่กลับบ้านมา (เราเลิกงานกลับถึงบ้านประมาณ 2 ทุ่ม) แม่สามีจะปิดน้ำที่บ้านโดยให้เหตุผลว่า “ห้ามคนท้องอาบน้ำตอนกลางคืน” แต่เราไม่ฟังคะ เราขอให้สามีไปเปิดน้ำเพราะเราทำงานเหนื่อยอยากอาบน้ำคะ สามีไม่เชิงตามใจเราเพราะสามีเราก็อยากอาบน้ำเหมือนกันคะ พอแม่สามีรู้ว่าเราไม่ฟังนางและสามีเราตามใจเรา เค้าเรียกสามีไปคุย แต่สามีเราไม่หัวโบราณหรือไม่ค่อยเชื่อคะ เค้าเอาหลักการและเหตุผลมาพูด แม่สามีก็งอลนางพาลไม่คุยด้วยไปหลายวันคะ
เข้าเดือนที่ 5 เราไปหาหมอตามปกติคราวนี้เรารู้เพศน้องคะ พอกลับบ้านเหมือนแม่สามีจะรู้ว่าช่วงอายุเท่าไหร่ถึงจะรู้เพศน้อง นางชิงพูดก่อนเลยว่า “ถ้าเป็นลูกสาวให้ไปเลี้ยงกันเอง เพราะเค้าอยากเลี้ยงเด็กผู้ชาย เด็กผู้ชายเลี้ยงง่ายกว่า” สามีเราเลยพูดต่อเลยว่า “งั้นเดี๋ยวเลี้ยงเองเพราะได้ลูกสาว แม่อย่ามาแตะนะ” คราวนี้แม่สามีลุกหนีจากโต๊ะกินข้าวไม่พูดเลยคะ ส่วนสามีหันไปหาน้องสาวและถามเรื่องงาน ซึ่งคำตอบของน้องสาวก็เหมือนเดิมคือ “ยังไม่ได้” หรือ “รอเรียกตัวอยู่” สามีเราบอกนางว่าอีกไม่ดี่เดือนเราจะคลอด ตอนนี้ภาระทุกอย่างอยู่ที่เรากับสามี ซึ่งต่อให้แม่สามีขายของ (อาหารตามสั่ง) ยังไงมันก็ลดแค่ค่าอาหาร ส่วนค่าใช้จ่ายก็ยังไม่ลด คำพูดของสามีที่คุยกับน้องสาว เหมือนน้องสาวเค้าหูทวนลม คราวนี้คนที่ลุกจากโต๊ะอาหารคือเราเองคะ กินไม่ลง เรานั่งร้องไห้ในห้อง สามีเรารู้ว่าทำไมถึงร้องไห้ นางก็ทำได้แค่ปลอบคะ เราโชคดีที่ทางบ้านเราช่วยเหลือซื้อของเตรียมคลอดให้เราเลยได้ลดภาระลงไปบ้าง ขณะที่บ้านเราซื้อของไว้ให้ (ของใช้ทุกอย่างเป็นสีชมพูคะ) แม่สามีนางก็บ่นตลอดว่าจะรีบซื้อทำไมรีบซื้อไปอาจไม่ได้ใช้ หรือสีที่ซื้อมาอาจทำให้ลูกในท้องเราเปลี่ยนเพศได้ แต่บ้านเราไม่ถือคะ เพราะเน้นสะดวกหรือเผื่อเหตุฉุกเฉินจะได้ไม่ฉุกละหุกคะ
เราไปทำงานทุกวัน โดยที่เรารู้อยู่แล้วว่าร่างกายเราไม่ค่อยแข็งแรง (ตั้งท้องน้องได้ถือว่าโชคดีมากคะ) พอเข้าเดือนที่ 6 เราปวดท้องต้องนอนโรงพยาบาล แม่สามีก็บอกว่าเราชอบทำอะไรขัดความเชื่อเลยทำให้เราเป็นแบบนี้ แต่สุดท้ายเราแค่ปวดท้องเพราะน้องดิ้นแรงเกินไปคะ😁😁 (โล่งอก) แต่พอหายปวดท้องเราก็ตรวจเจอเบาหวานแทนคะ (ระหว่างท้องไม่กินของหวานเลยนะคะ เพราะแพ้คะ แต่คนที่กินคือสามีคะ แต่สามีตรยจไม่เจอเบาหวานนะคะ) และไม่ใช่แค่เบาหวาน เรายังตรวจเจอความดันด้วยคะ คราวนี้แม่สามีบ่นไปอีกคะ บอกเรานอนน้อย (นอน 4 ทุ่มตื่นตี 4 ครึ่ง) อาบน้ำตอนกลางคืน กินอาหารแปลกๆ หรือไม่ตรงเวลา ฯลฯ สารพัดที่จะบ่นได้คะ ซึ่งหลายเรื่องเราก็ยอมรับคะ เราเองไม่ค่อยมีปากเสียงเลยนิ่งคะ สามีเราเลยคุยกับแม่นางตอนกินข้าวเลยคะว่า “เรื่องที่เราป่วยเป็นเพราะเราพีกผ่อนร้อยและมีเรื่องเครียด อย่างเรื่องค่าคลอดและค่าใช้จ่ายต่างๆ ถ้าจะให้ร่างกายเราโอเค สามีเราจะไปซื้อคอนโดอยู่ใกล้ๆ ที่ทำงานเพื่อที่เราจะได้พีกผ่อนเต็มที่ ส่วนลูกที่จะเกิดเดี๋ยวจะดูแลกันเอง เพราะแม่นางไม่อบากเลี้ยงหลานสาว ส่วนบ้านนี้ก็จะช่วยออกค่าบ้านให้ครึ่งนึง ส่วนที่เหลือรวมถึงค่าน้ำค่าไฟให้จ่ายกันเอง” พอพูดแค่นั้นแม่สามีแทบจะล้มโต๊ะเลยคะ และพาลบอกว่าเราเองต่างหากที่ไม่ดูแลตัวเอง และหาเรื่องให้สามีพาเราไปอยู่ที่อื่น เราลุกหนีเข้าห้องเลยคะ สามีเราขึ้นมาคุยด้วยถามว่าจะเอายังไง เพราะสุดท้ายแม่นางก็อยากเลี้ยง เราเลยถามกลับไปว่า “เเสไม่ชอบเด็กผู้หญิงแล้วจะเลี้ยงยังไง เลี้ยงให้เป็นเด็กผู้ชายหรอ” สามีเรายิ้มแล้วบอกว่า “เค้าก็พูดไปงั้นแหละ อารมณ์คนวัยทอง” เราเลยบอกว่า “เราอยากไปอยู่ข้างนอก อยากอยู่แค่เรา สามีและลูกคะ เพราะจากเดิมตั้งแต่แม่นางพูดเรื่องเพศน้อง เราก็คุยกับสามีเรื่องการเลี้ยงลูกทันทีคะ สามีเราขับแกร๊บ เราทำงานประจำเลิก 5 โมง สามีบอกว่า จะไปซื้อคอนโดใกล้ๆ ที่ทำงานเรา แล้วเขาจะดูลูกเองจนเรากลับบ้านแล้วหลังจากนั้นเขาก็จะไปขับรถช่วงเย็นแทน
แต่สุดท้ายแผนทุกอย่างก็ล่ม เราต้องเดินทางไปกลับแบบนี้ จนเราได้คลอดก่อนกำหนด เพราะความดันเราสูง ตรวจครั้งแรก 160 หมอสั่งให้นอนพัก แต่ความดันไม่ลงเลยสั่งให้ผ่าคลอดทันทีไม่งั้นน้องจะเป็นอันตราย พอหมอบอกว่าให้ผ่าคลอดทันทีเรายิ่งกลัวเลยขอกมอคุยกับแม่ ยิ่งคุยความดันยิ่งสูงขึ้นจนทะลุ 250 หมอเลยฉีดยาคลายเครียดและยานอนหลับให้ แต่ด้วยความกังวลเรานอนไม่หลับ สามีโทรบอกให้พ่อเรามาหาเพราะตอนนั้นสามีติดงานยังมาไม่ได้ พ่อเราเข้ามาหาเราในห้องคลอด ความดันเรายิ่งสูง เพราะพ่อรู้ดีว่าครั้งนี้คือการผ่าตัดใหญ่และเป็นครั้งแรกของเรา พ่อให้กำลังใจจนเราเข้าห้องคลอด พอคลอดเสร็จเราก็ถูกย้ายมาห้องพักฟื้น แต่เรายังไม่เจอน้องเพราะน้องมีภาวะหายใจเร็ว ต้องให้ออกซิเจนช่วย ในวันที่เราคลอดทางบ้านเรามาเยี่ยมครบทุกคนเลย ส่วนแม่สามีมาในถัดไป พอนางมาถึง คำแรกที่นางพูดคือ บอกแล้วโบราณเค้าว่าไว้ไม่เชื่อ จนทำให้ลูกเราต้องใส่สายออกซิเจน นางไม่ถามเลยว่าเราเป็นยังไงบ้าง มาถึงก็พูดแบบนี้ใส่เรา แต่เราว่าเราโชคดีที่ยายังไม่หมดฤทธิ์เราเลยหลับต่อไปอีก พอตื่นขึ้นมาแม่สามีกับสามีเรายังไม่กลับเพราะยังไม่หมดเวลาเยี่ยม สามีเราบอกว่า เดี๋ยวพยาบาลจะพาลูกมาหา เราดีใจจนน้ำตาไหลเลยคะ และแน่นอนแม่สามีก็พูดไม่เข้าหูอีก แต่เราไม่สนคะ จนเราได้เจอหน้าลูก เราผ่าคลอดทำให้เราลุกขึ้นยากเพราะเจ็บแผล แต่เพราะลูกเราเลยฮึดขึ้นมานั่ง แน่นอนว่าแม่สามีคือคนแรกที่อุ้มลูกเรา และเหมือนนางไม่อยากให้เราอุ้ม จนสามีเราบอกว่าให้ส่งลูกมาให้เรา นางถึงส่งมาให้ และไม่วายพูดว่า “มือยังสั่นยังอยากอุ้มอีก” เราไม่สนคะ เราอุ้มลูกแนบอกเลยคะ และจากวันนั้นเราอยู่โรงพยาบาลกับลูกไปอีกเกือบ 20 วัน เพราะน้ำนมแม่น้อยและน้องร่างกายยังไม่แข็งแรงคะ พอถึงบ้าน สิ่งแรกที่แม่สามีพูดคือ “กลับมาก็อยู่ให้นานกว่าอยู่โรงพยาบาลนะ” เราก็งงคะ แต่โชคดีน้องไม่งอแงรบกวนพ่อแม่คะ มีแต่เราที่กวนลูก เพราะต้องปลุกน้องมากินนม
และตั้งแต่เรากลับบ้านมาแม่สามีจะขายของเลิกเร็วกว่าปกติคะ และทุกครั้งที่กลับมาก็จะรีบกินข้าว อาบน้ำ เรารู้เลยคะว่าจะเล่นกับหลาน แต่เพราะหลายไม่ตื่นนางเลยไม่ได้เล่นคะ พอนางไม่ได้เล่นนางก็บ่นสารพัด หรือพาลไปทั้วคะ ครั้งแรกที่กลับมาอยู่บ้าน แม่สามีนางวีดีโอคอลหาคนโน่นคนนี้ไปทั่วเลยคะ และอยู่ดีๆ แกก็พรวดพราดเข้ามาในห้องเรา ขณะที่เรากำลังให้นมลูกอยู่ เราตกใจร้องเสียงดังทำให้ลูกเราตกใจไปด้วย แต่นางทำเฉยเหมือนไม่ได้ยิน จนสามีเราเดินเข้ามาแล้วให้แม่นางออกไป ทำให้นางไม่พอใจ สามีเราเดินไปบอกแม่นางว่าถ้าจะเข้าไปก็เคาะประตูก่อน แม่สามีถามกลับว่า “เดี๋ยวนี้ผู้ใหญ่ต้องขออนุญาตเด็กแล้วหรอ” อ้าว!!! สามีเราบอกว่า ก็เราให้นมลูกอยู่จะทำแบบนี้ไม่ได้มันคือสิทธิส่วนบุคคล” แม่สามีนางเหมือนไม่สนใจ และเหมือนเราต้องคอยระแวงว่านางจะโผล่มาตอนไหนเสมอ ถามว่าทำไมเราไม่ล็อคประตู เราล็อคคะ แต่ลงกลอนไม่ได้ เพราะบางทีเผลอหลับสามีจะเข้าห้องไม่ได้ และประตูเราแม่สามีนางมีกุญแจสำรองทุกห้องคะ วันนั้นนางไขเข้ามาแล้วทำเนียนบอกวาได้ยินเสียงลูกเราร้องคะ เหมือนนางคอยแอบฟังอยู่หน้าห้องเราตลอดเลยคะ เพราะพอลูกเราร้องแอ๊ะ นางก็เข้ามาทันที ตอนนี้เราระแวงมากคะ แถมมีอยู่วันนึงเราไปซื้อของให้ลูก แล้วฝากให้แม่สามีดู พอกลับมาอยู่ดีๆ นางก็บอกว่า “เราเลี้ยงลูกให้อดอยาก ไม่ยอมให้ลูกกินน้ำจนปากแห้งตัวแห้ง” นางเอาน้ำใส่ขวดนมให้น้องอายุ 20 วันกินคะ เรานี่โวยวายทันที จากที่ไม่เคยมีปากมีเสียง เราไม่ยอมคะ เราถามเสียงดังเลย “ให้น้องกินน้ำได้ยังไง น้องยังเล็กเค้าห้าม” นางก็ตอบทันควันคะว่า “ใครห้าม ฉันเลี้ยงลูกทุกคน ทุกคนก็กินแบบนี้ทั้งนั้น เราไม่เคยมีลูก เลี้ยงลูกก็ไม่เป็นอย่ามาเถียง” เราวิ่งเข้าไปอุ้มลูกเตรียมกลับบ้านไปหาพ่อปม่เลยคะ สามีเรารีบเข้ามาห้ามคะ แม่สามีก็บอกไม่ให้เราพาลูกไปไหนทั้งเราเลยพูดว่า “อีกไม่นานเราก็จะกลับไปทำงานแล้ว ถึงตอนนั้นคงเอากล้วยให้ลูกเรากินก่อนถึงเวลาแน่นอน เพราะเด็กอายุยังไม่ถึง 6 เดือนเค้าห้ามกินน้ำเพราะในนมแม่หรือนมเสริมมันมีน้ำที่เพียงพออยู่แล้ว ถ้าลูกเราเป็นอะไรไปใครรับผิดชอบ” แม่สามีนางทำหน้านิ่งใส่เราแล้วบอกว่า “ใครๆ เค้าก็ทำเราจะโวยวายทำไม ถ้าจะไปก็ไปคนเดียวห้ามเอาลูกไป” สามีพาเรากลับเข้าห้องคะ สามีเราพูดกับแม่นางว่า “ถ้าอยากเลีเยงลูกเราต้องทำตามเงื่อนไข และกฎของเรา รู้ว่าเลี้ยงลูกมาก่อน แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ถ้าทำไม่ได้สามีเราจะพาเราไปอยู่ที่อื่นแน่นอน และที่สำคัญ ถ้าน้องสาวยังหางานทำไม่ได้ก่อนที่เราจะหลับไปทำงาน สามีเราก็จะย้ายไปอยู่ที่อื่นเกมือยกัน” แม่สามีโมโหคะแต่พาลกับสามีเราไม่ได้เลยไปลงกับน้องสาวแทน และเร่งให้ไปหางานทำคะ ส่วนเรากอดลูกร้องไห้เลยคะ ไม่คิดว่าจะเจออะไรแบบนี้ ตอนนี้เราแทบไม่อยากให้นางเข้าใกล้ลูก หรือแม้แต่เราเองก็ไม่อยากห่างลูกเลยคะ ตอนนี้กลัวและระแวงไปหมด จากที่เราไม่ชอบนาง ตอนนี้ยิ่งกลายเป็นเกลียดไปเลยคะ ตอนนี้เราอยากออกจากงานมาดูลูกเองแต่ก็ไม่อยากเป็นภาระสามี และตอนนี้ก็ไม่อยากให้แม่สามีเลี้ยงลูกเราคะ ส่วนทางบ้านเราก็อยากให้เราพาไปให้เค้าเลี้ยงนะคะ แต่สามีไม่ยอม เพราะเค้าก็อยากกลับมาเจอลูกที่บ้านทุกวันคะ
เราไม่คิดว่าปัญหาแม่ผัวกับลูกสะใภ้แบบนี้จะเกิดขึ้นกับเราเลยคะ ตอนนี้จากที่เราไม่เคยมีปากมีเสียง กลายเป็นเราต้องกล้าพูดเลยคะ เรื่องนี้ใครไม่เจอกับตัวคงไม่เข้าใจจริงๆ
ขอบคุณนะคะที่เข้ามาอ่าน

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่