"หุ้นจีน" ถูก...จนน่าลงทุน แล้วหรือยัง?

"หุ้นจีน" ถูก...จนน่าลงทุน แล้วหรือยัง?

ระหว่างวันที่ 24-26 มิถุนายนที่ผ่านมา 
ผมได้พาคณะนักศึกษาโครงการอบรมการลงทุน CSI  วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต 
และนักลงทุนทั่วไป รวมแล้วเกือบ 50 ชีวิต
- ไปเยี่ยมชมตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง  
- บริษัท Tencent หนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลก เจ้าของ App WeChat ที่โด่งดังมากในเมืองจีน เมืองเซินเจิ้น
- บริษัท DJI  บริษัทโดรนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมืองเซินเจิ้น
- บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ฮ่องกง)
ทั้งนี้  ต้องขอขอบพระคุณ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย)   ที่กรุณาประสานงาน
จนพวกเราได้ไปเยี่ยมชม...สิ่งที่สุดยอดระดับโลก ในครั้งนี้

หนึ่งในสิ่งที่ผมประทับใจมากในครั้งนี้ คือ การวิเคราะห์เศรษฐกิจของประเทศจีน  จากมุมมอง บล.หยวนต้า (ฮ่องกง)

คุณผู้อ่านคงทราบกันดีว่า  ช่วงเวลาที่ผ่านมา..ข่าวเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก
หนีไม่พ้น...  สงครามการค้า ระหว่าง สหรัฐอเมริกา - จีน
หนังสือพิมพ์ South China Morning Post ของฮ่องกง วิจารณ์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
โดยมองว่า  อเมริกามักจะมี "จุดประสงค์แฝง" (Hidden Agendas) เสมอ  เช่น การแบนการขายน้ำมันของอิหร่าน
ข้อตกลงจำกัดขีปนาวุธ อเมริกา-รัสเซีย   และเรื่องนี้...ก็เช่นเดียวกัน
โดย SCMP มองว่า  น่าจะมีด้วยกัน 2 ข้อคือ
1)  ต้องการให้บริษัทเทคฯ ของอเมริกาเข้าเมืองจีนได้  ไม่ว่าจะเป็นอเมซอน...ที่เพิ่งเลิกไป เฟสบุ๊ค กูเกิ้ล ฯลฯ  ที่ทุกวันนี้...ทำมาค้าขายในจีนไม่ได้ 
2)  ต้องการจีนซื้อสินค้าจากอเมิรกา  เพิ่มขึ้นจาก 200,000 ล้านดอลลาร์   เป็น 330,000 ล้านดอลลาร์

และทุกวันนี้...  เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาก็ถดถอยลง...อย่างมาก
จากภาพ เส้นกราฟสีน้ำเงิน  แสดงถึง ยอดการขาดดุลของอเมริกาที่เพิ่มขึ้น เกือบจะตลอดเวลาในระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา (1998-2018)
เส้นสีแดง หมายถึง ยอดการผลิตสินค้าคุณภาพสูง/ขนาดเศรษฐกิจ  พบว่า สินค้าที่มีคุณภาพสูง..กำไรสูงๆ  มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง

ในภาพกราฟด้านล่าง
แถบสีเขียว (1970-1977)  พบว่า  สินค้าที่ส่งออกสำคัญคือ  เครื่องนุ่งห่ม เหล็ก และโทรทัศน์
แถบสีเหลือง (1977-1997)   สินค้าส่งออกที่สำคัญกลับเป็น...  เซมิคอนดักเตอร์ รถยนต์  และ เครื่องมือสื่อสารโทรคมนาคม

กราฟรูปบน  เราจะเห็นได้ว่า  มูลค่าการค้าของญี่ปุ่นเทียบกับอเมริกา  ไม่เคยเกินมูลค่าการค้าของอเมริกาเลย
ในขณะที่จีน ยอดการค้าโดยรวมอยู่ที่ 109.1%  ของอเมริกาไปแล้ว

กราฟรูปล่าง  พอมาดู...ขนาดเศรษฐกิจของแต่ละประเทศเทียบกับขนาดเศรษฐกิจของโลก
พบว่า ในอดีต... สหภาพโซเวียตเคยรุ่งเรืองมาก่อน ก่อนปี 1970
พอหลังจากนั้น ญี่ปุ่นมีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ  เช่น Sony ออก Walkman   Toyota กลายเป็นรถยนต์ที่ขายดีไปทั่วโลก เพราะประหยัดน้ำมัน หลังเหตุการณ์ Oil Shock ในปี 1973   จึงทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีมูลค่ามากกว่า 15%  ของเศรษฐกิจโลก
ปัจจุบัน   จีน....เติบโตจากการเปลี่ยนประเทศ จากประเทศเกษตรกรรม กลายเป็น "Factory of the World"
และกำลังจะกลายเป็น "Technology Country"  ก็ทำให้ปัจจุบัน  จีนมีขนาดเศรษฐกิจคิดเป็น 15.86% ของขนาดเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม   อเมริกา...ยังคงความยิ่งใหญ่เป็น ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก มาตลอดมากกว่า 80 ปีเข้าไปแล้ว

กราฟด้านขวา แสดงถึง  มูลค่าการค้าของจีนกับอเมริกา/มูลค่าการค้าของอเมริกาท้งหมด  เทียบกับ...ญี่ปุ่น
พบว่า  ญี่ปุ่นต้องพึงพาการค้ากับอเมริกา...มากกว่า จีน

ในปี 2018 พบว่า  มูลค่าการค้าจีน-อเมริกา/มูลค่าการค้าของจีนทั้งหมด อยู่ที่ 13.71%   
พอมาไตรมาส 1/2019   มูลค่าตกลงเหลือ 11.5%   
นอกจากนั้น วันที่ 2 มิถุนายน 2019   สำนักงานสภาข้อมูลข่าวสารของจีน ก็ออกรายงานที่มีชื่อว่า
"China's Position on the Economic and Trade Consultations"   
โดยกล่าวว่า  จีนกำลังเตรียมพร้อม...เต็มอัตราศึก...ในสงครามการค้า...ที่มีโอกาสยืดเยื้ออีกยาวนาน 
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่า   ทำไม? จีน....จึงไม่ค่อยกลัวอเมริกานัก

ในอดีต จีนพัฒนาประเทศโดยการใช้ "อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์"  
จากกราฟด้านล่าง จะเห็นการพัฒนาสังคมเมือง (Urbanization)
สีฟ้า  แสดงถึง  ประชาชนจีนที่แจ้งการย้ายเข้าเมืองอย่างเป็นทางการ
สีแดง  คือ  ประชาชนจีนที่ย้ายเข้าเมือง...โดยไม่แจ้ง
สีเทา  คือ   การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อรองรับ....ประชาชนเหล่านี้
จะเห็นได้ว่า สีเทาจะมีน้ำหน้กที่มากกว่า...มาก  แสดงถึง การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์  ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ทาวน์เฮาส์  หรือ คอนโด
มีการพัฒนากันจนแทบ...ล้นตลาด  ราคาเพิ่มขึ้นมากกว่า 10 เท่า
และทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาในจีน...อย่างมโหฬาร

ในเดือนเมษายน 2019  รัฐบาลจีนประกาศถึงโครงการระบบ "การลงทะเบียนสำมะโนครัว" รูปแบบใหม่
โดยจูงใจให้ประชาชนย้ายเข้าไปเมืองใหญ่มากขึ้นไปอีก
โดยใช้...สิทธิพิเศษมาตรการภาษีนิติบุคคล  และค่าธรรมเนียมสวัสดิการสังคม...ในอัตราที่ลดลง
โดยรัฐบาลจีน ยอมลดภาษีเหล่านี้ลงถึง 2 ล้านล้านหยวน   โดยมีผลตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2019
เพื่อให้  ผู้คนอพยพเข้าไปใน...เมืองใหญ๋ๆๆ ...ให้จงได้  
โดยบริเวณที่มีโอกาสเป็น "Mega City"  จะอยู่ในบริเวณปักกิ่ง-เทียนจิน-เหอเป่ย
บริเวณสามเหลี่ยมแม่น้ำแยงซีเกียง  และบริเวณกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า

หากย้อนไปดู บริเวณที่เป็น "สังคมเมืองขนาดใหญ่ของโลก" (Megapolis)  ที่มีรายได้ประชากรต่อหุ้วสูง
พบว่า  สหรัฐอเมิรกา จะมีอยู่อย่างมากมาย
โดยแถบ Northeast ของอเมริกา  ที่มีนิวยอร์ค-นิวเจอร์ซี่-แมสซาชูเซทท์  และอีกหลายรัฐ
เป็นบริเวณที่มีรายได้ต่อหัว...สูงที่สุดในโลก
 แต่ถ้าในเรื่อง ความหนาแน่นต่อตารางกิโลเมตร
ย่าน Taiheiyo Belt ของญี่ปุ่น  กลับหนาแน่นมากที่สุดในโลก
และนั่นคือ "สังคมเมืองขนาดใหญ่"  จะนำมาซึ่ง...การเติบโตทางเศรษฐกิจ
จึงเป็นแนวความคิดของรัฐบาลจีนที่....ตั้งใจอย่างสูงในการสร้าง...สังคมเมืองขนาดใหญ่ๆของโลก

ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน  ยังได้ให้ความสำคัญเรื่อง "การระดมทุน"
มีการปรับปรุงกฎระเบียบของหน่วยงานที่มีชื่อว่า Science and Technology Innovation Board (STIB)
ที่เป็นคณะกรรมการที่จะคอยช่วยเหลือบรรดาอุตสาหกรรม Startup ใหม่ๆ  ให้สามารถระดมทุนจากแหล่งต่างๆได้ง่ายขึ้น
ความยิ่งใหญ่ของ STIB  ไม่ใช่มองแค่เป็น  การระดมทุน...ชั่วครั้งชั่วคราว เท่านั้น
แต่มองไปไกลถึง...  STIB  จะต้องพัฒนาไปเป็นเหมือนตลาดหุ้น NASDAQ ของอเมริกาเลย
จึงนับได้ว่า    STIB  มีโอกาสที่จะเติบโตไปอีกไกล...แสนไกล

STIB  ได้ใช้แนวทางของอุตสาหกรรมที่จะต้องพัฒนาตามแนวคิด "Made in China 2025"
จึงไม่น่าแปลกใจว่า  บรรดาอุตสาหกรรมที่เข้าข่าย...จะได้รับสิทธิพิเศษ...ที่เร็วกว่า...และมากกว่า...อุตสาหกรรมอื่นๆ
ล่าสุด  เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2019  มีบริษัทที่พร้อมจะจดทะเบียนใน STIB แล้ว มากถึง 112 บริษัท ทีเดียว

ท้ายนี้...  อาจถึงเวลาที่ต้องกลับไปดู "หุ้นจีน" กันบ้างแล้ว
ปัจจุบันนี้   ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิท เทรดกันอยู่ที่ค่า P/E แค่ 12 เท่า เท่านั้น
ซึ่งห่างจากจุดสูงสุด  ที่เคยเทรดกันอยู่ที่ P/E  สูงถึง 22 เท่า
นอกจากน้นยังต่ำกว่า   ตลาดหุ้นใหญ่ๆของโลก อาทิ...
ตลาดหุ้นอเมริกา   P/E 18.1 เท่า
ตลาดหุ้นยุโรป      P/E  14.1 เท่า
ดัชนี MSCI Global  P/E  16.4 เท่า

ขณะที่ อัตราทำกำไรสุทธิของดัชนี MSCI China A  อยู่ที่ 9.5% ในปี 2019   และ ROE อยู่ที่ 12.3%
(ประเทศไทย  อยู่ที่ 8.6%  และ  11.9% ตามลำดับ  ขณะที่ ค่า P/E อยู่ที่ 16.5 เท่า...  แย่กว่าของจีน....ทุกตัว)
ซึ่งนับได้ว่า อยู่ในอัตราที่สูงมาก

หุ้นที่ผมชอบมากๆตัวหนึ่ง Ping An Insurance  ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 2 ของตารางด้านล่าง
ผิงอัน...อยู่ในอุตสาหกรรมประกันชีวิต ที่เติบโตอย่างมหาศาล
พร้อมกับกำไรในปีนี้ที่คาดการณ์กันว่าจะสูงถึง 30%  ROE 19.7%   ปันผล 2.1%  (สูงกว่า...ฝากประจำบ้านเรา)
ค่า P/E อยู่ที่ 10.54 เท่า    
คุณผู้อ่าน...จึงควรสนใจไปดู... "หุ้นจีน"  บ้างนะครับ   ขอให้...คุณผู้อ่าน...โชคดีในการลงทุนนะครับ

หาอ่านบทความ
และความรู้ด้านการลงทุนของผู้เขียนได้เพิ่มเติมได้ที่ http://www.doctorwe.com


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่