ในสายตาเพื่อน ผมคือคนที่เขาเกลียดมาตลอดใช่ไหม

ผมมีเรื่องที่อยากจะระบายครับ เป็นเรื่องของเพื่อนสนิท ผมรู้สึกเสียใจมาก ที่ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนต้องจบลงแบบนี้ แต่มันจำเป็นที่จะต้องจบ ผมต้องถอยห่างออกมาจากความสัมพันธ์ เพราะทัศนคติของเราไม่เหมือนกัน และทัศนคติของเขาก็มีผลกระทบต่อผมอย่างที่ผมต้องรู้สึกเสียใจที่สุด เมื่อผมได้รู้ว่าเขามีทัศนคติต่อผมอย่างไร

ผมกับเพื่อนเป็นเด็กต่างจังหวัด เพื่อนของผมเขาเคยบอกผมว่าบ้านของเขายากจน พ่อแม่ของเขาหาเช้ากินค่ำ สำหรับผมแล้วผมไม่ได้คบคนที่ฐานะ เพราะผมก็ไม่ได้ร่ำรวยมาจากไหน ทางบ้านมีฐานะปานกลาง พ่อแม่รับราชการ

วันหนึ่งผมกับเพื่อนได้คุยกันเรื่องคนรวยคนจน เพื่อนของผมแสดงทัศนคติของเขาออกมาอย่างจริงจังว่า “พวกคนรวยนิสัยไม่ดี ชอบดูถูกคนอื่น และยังชอบเอาเปรียบคนอื่นด้วย” ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับทัศนคติที่จริงจังของเพื่อนในเรื่องนี้ ผมคิดว่าเพื่อนคงเจอประสบการณ์ที่ไม่ดีจากพวกคนรวย และผมก็ได้ตอบกลับไปว่า “ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอก คนรวยบางคนที่นิสัยดีๆ ก็มีเหมือนกัน”

เพื่อนสนิทของผมคนนี้ เขาเรียนเก่งกว่าผม เก่งทั้งด้านการเรียน และด้านกิจกรรม ในสายตาผมเขาเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง ในหลายๆ เรื่อง เขามีความจริงใจ เขาคอยรับฟังปัญหาของเพื่อน แม้เขาจะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่เขาก็เป็นผู้ฟังที่ดี และคอยให้คำปรึกษา ผมกับเพื่อนคนนี้ และเพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่มเราได้คบกันเป็นเพื่อน และให้เกียรติซึ่งกันมาโดยตลอด

พอเราเข้าสู่ช่วงวัยทำงาน เพื่อนของผมได้งานบริษัทที่กรุงเทพฯ ส่วนผมได้งานลูกจ้างหน่วยงานราชการที่บ้านเกิด ทุกปีเพื่อนๆ ทุกคนในกลุ่มจะกลับมารวมตัวกัน ช่วงเทศกาลบ้าง ช่วงวันหยุดยาวบ้าง ทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดี ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนก็ยังแน่นแฟ้น แต่พอนานๆ ไปเพื่อนแต่ละคนก็ต้องทำงาน มีครอบครัว มีภาระ ไม่ค่อยมาพบเจอกันทุกปีเหมือนแต่ก่อน ก็เหลือเพียงไม่กี่คนที่กลับมาเจอกัน

เรื่องของการสะบั้นความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมันเกิดจากตรงนี้ครับ มีเพื่อนอีกคนหนึ่งในกลุ่มมีปัญหาเรื่องเงิน และกำลังตกงาน ตอนนั้นเพื่อนคนนั้นก็ติดต่อมาขอยืมเงินของผม หนึ่งแสนบาท ซึ่งผมก็ได้ปรึกษากับเพื่อนสนิทของผมคนนี้ว่า จะให้ยืมดีไหม เพื่อนคนที่มาขอยืมเขาอยู่ที่ กทม เขาเป็นยังไงบ้าง ติดการพนันหรือเปล่า เพื่อนสนิทของผมเขาได้แนะนำผมว่า ควรจะให้ยืมเพราะผมมีมากกว่าเพื่อนคนนั้น ในเมื่อเพื่อนเดือดร้อนก็ควรให้ยืม เขาก็โดนถามยืมเหมือนกัน แต่เขาไม่มีให้เพราะค่าใช้จ่ายเขาเยอะ แต่สำหรับผมนั้นควรจะให้ยืมอย่างยิ่ง

ผมแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เพื่อนคนนั้นมาขอยืมเงินเพราะปกติในกลุ่มเพื่อนของเราไม่เคยยืมเงินกันเลย เพราะอาจารย์เคยสอนว่าถ้าไม่อยากผิดใจกันกับเพื่อนก็อย่าให้เพื่อนยืมเงิน และที่น่าแปลกคือ ตอนเพื่อนมายืมเขาอ้างเหตุผลต่างๆ นาๆ ดูไม่ปกติ เรื่องที่เขาอ้างเพื่อมายืมเงินมันน่าสงสัย แต่เมื่อผมได้ปรึกษากับเพื่อนสนิท และเพื่อนสนิทของผมก็ได้แนะนำว่าให้ยืมไปเถอะ ผมเลยคิดว่าให้ยืมก็ให้ยืม ทั้งๆ ที่เงินเก็บผมก็มีไม่มาก และต้องมีสำรองไว้ใช้ฉุกเฉิน แต่เพื่อนคนที่ยืมสัญญาว่าเขาจะคืนให้หลังจากนี้อีกสองเดือน เพราะอีกสองเดือนเขาจะเริ่มงานที่ใหม่

เวลาครบกำหนดตามที่ตกลงว่าจะคืนเงิน เพื่อนที่ยืมเงินหายเขากลีบเมฆไม่มีการติดต่อกลับมา ผมจึงไปปรึกษาเพื่อนสนิทของผมอีกครั้งว่า ติดต่อเพื่อนคนที่ยืมได้ไหม เพื่อนสนิทของผมก็ตอบว่าติดต่อไม่ได้ และได้พูดแนะนำผมว่า อย่าไปคิดมาก ถ้ามันจะคืนเดี๋ยวมันก็คืนเอง และยังพูดสำทับกับผมว่า ผมต้องเห็นใจเพื่อนคนนั้น เพราะ “ผมมีมากกว่าเขา ผมต้องช่วยเหลือเขา” คำพูดประโยคนี้มาอีกแล้ว ในครั้งแรกที่ผมได้ยินผมไม่ได้รู้สึกเอะใจเลย แต่พอได้ยินอีกครั้งผมจึงถามกลับไปว่า นี่ผมควรเห็นใจเพื่อนคนที่ยืมเงินแล้วไม่คืนเหรอ ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยเห็นใจผมเลย ยังคืนไม่ได้ก็ไม่บอก หายไปเลยแบบนี้สมควรแล้วเหรอ ผมก็ต้องทำงานหาเงิน ผมมีค่าใช้จ่ายเหมือนกัน แต่เพื่อนของผมกลับตอบมาว่า “เพราะบ้านของผมรวยกว่าเขาผมต้องเสียสละ” นี่มันคือตรรกะอะไรกันครับ ผมไม่เข้าใจ

จากคำพูดประโยคเดียวทำให้ย้อนคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด ผมเพิ่งมารู้สึกตัวในตอนนี้ ตอนที่ประโยคนั้นตอกย้ำให้ผมคิดทบทวน ตั้งแต่เพื่อนสนิทของผมไปทำงานที่ กทม ผมก็รู้สึกได้ว่านิสัยของเขาเปลี่ยนไป จากการกระทำและคำพูดต่างๆ ซึ่งผมไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นประเด็นสำคัญ มันกลับเป็นจุดที่สำคัญที่สุดในวันนี้ที่ผมได้นึกย้อนกลับไป ทุกปีที่กลับมารวมกลุ่มกัน เพื่อนสนิทของผมเขามักจะเล่าเรื่องที่ทำงานให้ฟัง เขามักด่าว่าเพื่อนที่ทำงานที่เขาไม่กินเส้นกันให้เพื่อนๆ ฟัง แถมทัศนคติในการใช้ชีวิตแต่ละอย่างก็เปลี่ยนไป เขาแต่งตัวมีรสนิยมมากขึ้น ใช้ของแบรนด์เนม ใช้ของราคาแพงมีระดับ เขาชอบทำท่าทางเหยียดๆ เวลาไปนั่งกินร้านอาหารบ้านนอก ชอบเปรียบเทียบกับร้านที่ กทม ว่า ที่ กทม เป็นแบบนั้นแบบนี้ ของบ้านนอกอยากเลียนแบบเขาแต่ทำไม่ได้ครึ่งของเขา ทุกอย่างมันพรั่งพรูเข้ามาให้ผมได้คิด จากพฤติกรรมเหล่านั้นที่ผมไม่คิดว่ามันจะสำคัญ แต่วันนี้ผมเพิ่งมารู้ว่า สิ่งเหล่านั้น เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเพื่อนของผมได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่ผมไม่เคยฉุกใจคิดเลย

ระยะหลังที่เพื่อนในกลุ่มแต่ละคนเริ่มหายหน้าไปจนสุดท้าย คนที่กลับมาเจอกัน จะเหลือแค่ผมกับเพื่อนสนิทคนนี้ ผมลองมาคิดทบทวนเหตุผล ผมสงสัยว่า หรือมันอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ที่เพื่อนคนอื่นๆ เริ่มหายหน้าไป ทุกครั้งที่นัดรวมตัวกัน แทนที่พวกเราจะได้นั่งพบปะพูดคุยกันเหมือนแต่ก่อน กลับต้องใช้เวลาทั้งวันของการพบปะประจำปี ไปส่งเพื่อนสนิทของผมทำธุระของเขา ทั้งเรื่องหาซื้อของฝากให้คนที่ทำงาน หาซื้อของเข้าบ้านให้พ่อแม่เขา ตู้เย็น ทีวี ไมโครเวฟ พัดลมไอน้ำ แอร์เคลื่อนที่ เครื่องซักผ้า เครื่องทำน้ำอุ่น และพวกเราจะต้องช่วยกันขนของเขาบ้าน และเป็นคนพาเขาไปซื้อของเพราะเขาไม่มีรถ จำเป็นต้องใช้รถผม หรือรถเพื่อนอีกคนพาไป เหตุการณ์จะเป็นแบบนี้ทุกปี จนเพื่อนคนอื่นๆ หายไป เหลือผมเพียงคนเดียวที่คอยช่วยเขาทุกปี และสุดท้ายก็มาเกิดเรื่องนี้ขึ้นจนทำให้ได้คิดย้อนกลับไปว่า นี่ทุกปีที่ผ่านมา เราแทบไม่ได้นั่งคุยกันเลย เราใช้เวลาทั้งวันของการพบปะกันประจำปี ไปกับการทำธุระส่วนตัวของเขาทั้งหมด และที่ค้างคาใจที่สุดก็คือ ทัศนะคติของเขา นี่เขาคงไม่มองว่าผมเป็นพวกคนรวยที่เขาเกลียด และผมต้องชดใช้ให้เขาใช่ไหมครับใครก็ได้ช่วยบอกผมที

ถึงบ้านผมจะมีฐานะบ้าง เพราะพ่อแม่รับราชการ แต่เงินทั้งหมดก็ไม่ใช่ของผมเป็นของพ่อแม่ผม และผมก็ต้องหาเงินเหมือนกับเขา ต้องใช้เงินเหมือนกัน ถ้าไม่นับสมบัติของพ่อแม่ เราก็มีต้นทุนเท่ากัน ทำไมเขาต้องคิดว่าผมอยู่ในฐานะที่เหนือกว่า และผมต้องเป็นฝ่ายเสียสละให้ทุกคนที่เดือดร้อน และคนที่เดือดร้อนอย่างเพื่อนที่ยืมเงิน เขาก็ไม่เคยเห็นใจผมเลย เขาไม่เคยเห็นผมเป็นเพื่อน ถ้าเขาเห็นผมเป็นเพื่อนเขาคงไม่พูดโกหกเพื่อหลอกยืมเงินผมหรอก

ผมเสียใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น ผมไม่รู้ว่าเพื่อนผมมีความคิดต่อผมแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือเพิ่งจะมามีตอนที่เขาทำงาน หรือเขาคิดแบบนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ผมไม่อยากพบเจอกับเพื่อนอีกแล้ว ผมขอถอยระยะห่างออกมา ขออยู่กับตัวเอง ไม่อยากคิดเสียใจใดๆ อีกแล้วครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่