EEC - Smart City กับ 5G

การพัฒนาเมือง กลายเป็นหัวข้อหลักในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมที่ทั่วโลกให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ในส่วนของประเทศไทยได้เริ่มขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองเป็น "เมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City" อย่างจริงจัง และมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำทางด้านดังกล่าวในภูมิภาค

จากแผนงานของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) เร่งนำร่องเมืองอัจฉริยะที่กรุงเทพมหานคร และหัวเมืองใหญ่ อย่าง ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น และในพื้นที่อีอีซี 3 จังหวัด คือ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา ซึ่งก็มีความคืบหน้าไปในหลายด้าน

แต่อย่างไรก็ดี การสร้างเมืองอัจฉริยะ  (Smart City) ให้สามารถใช้งานได้จริงนั้น ระบบการเชื่อมโยง การสื่อสารจะต้องมีอย่างทั่วถึง และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจะต้องมีปริมาณเพียงพอต่อการใช้งาน  เพราะเมืองอัจฉริยะจะขับเคลื่อนด้วยระบบเซ็นเซอร์ และอุปกรณ์  IoT ชนิดครอบคลุมทั้งเมือง ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ จำเป็นต้องใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเป็นสื่อกลาง ซึ่งเทคโนโลยีที่สามารถรองรับการรับส่งข้อมูลได้จำนวนมหาศาล โดยมีความหน่วงที่ต่ำมาก ก็หนีไม่พ้น "เทคโนโลยี 5G"

"5G คือ หัวใจของเมืองอัจฉริยะ"

ทำให้ ทางสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) จำเป็นต้องผลักดันให้ 5G เกิดขึ้นในประเทศไทยให้ได้โดยเร็วที่สุด เห็นได้จากการเริ่มต้นด้วยการจัดสรรคลื่นความถี่ย่าน 700 MHz  และในช่วงปลายปี 2662 จะมีการจัดสรรคลื่นความถี่ด้วยวิธีประมูลในคลื่นความถี่ย่าน 2600 MHz 26 GHz และ 28 GHz

ถ้าหากในปี 2563 ไทยไม่สามารถดำเนินการ 5G ได้สำเร็จ ผลที่เกิดขึ้น คือ
1. กระทบภาคการผลิตและอุตสาหกรรม ภาพรวมประเทศจะ สูญเสียมูลค่าเศรษฐกิจสูงถึง 2.3 ล้านล้านบาทในปี 2573 คิดเป็น 20% ของจีดีพีประเทศ หรือ77% ของงบประมาณประเทศ เฉพาะภาคอุตสาหกรรมจะเสียหาย 7 แสนล้านบาท-1.6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 10-30% กระทบจีดีพีภาคอุตสาหกรรม

2. กระทบต่อแผนการผลักดันสมาร์ท ซิตี้ หรือเมืองอัจฉริยะ เพราะ 5G จะเข้ามาช่วยให้การใช้ชีวิตของประชาชนสะดวกขึ้น ทั้งการเรียน ทำงาน ท่องเที่ยว และกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน 

3. กระทบ สมาร์ท ฮอสพิทอล หรือโรงพยาบาลอัจฉริยะ อีก 25 ปี ไทยจะมีผู้สูงอายุ 20 ล้านคนซึ่ง 5G จะเข้ามาช่วยในการรักษาพยาบาลมีเทคโนโลยีอำนวยความสะดวก จะมีการผ่าตัดที่บ้าน ช่วยประหยัดค่ารักษาพยาบาลของภาครัฐคิดเป็น 1.1 หมื่นล้านบาทต่อปี

ฉะนั้นไทยจึงรอไม่ได้ที่จะเลื่อนเปิดให้บริการ 5G เพราะการสร้างเมืองอัจฉริยะ  ซึ่งถือเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย ถ้า 5G ไม่เข้ามาสนับสนุน
ลองนึกภาพ เมืองที่ใช้การจัดการไฟจราจรด้วยระบบอัตโนมัติ เมื่อมีปัญหารถติด ระบบสามารถจัดการระบายรถด้วยเทคโนโลยี จัดการได้ทั้งเมือง ไม่จำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่มาสับสวิทซ์ทีละแยก ที่สำคัญเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ระบบสามารถแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่และรถฉุกเฉิน ให้ไปยังจุดเกิดเหตุอย่างรวดเร็วที่สุด ขณะที่ระบบไฟฟ้า ประปา ตรวจสอบได้จากที่ศูนย์กลาง ทุกอย่างทำงานบนเซ็นเซอร์ IoT ที่จะคอยแจ้งสถานะต่างๆ เรียกว่า เมืองจะมีสมองของตัวเอง ที่สามารถดูแลได้สะดวกและง่ายที่สุด
 
แน่นอนทาง กสทช. ก็ต้องการมีส่วนร่วมในการสร้างเมืองอัจฉริยะให้เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยเมื่อไม่นานมานี่ ก็ได้ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงนามความร่วมมือทางวิชาการจัดตั้งศูนย์ทดลองทดสอบ 5G เพื่อเตรียมความพร้อมและรองรับการให้บริการโทรคมนาคม ตามแนวนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติผลักดันประเทศไทยเข้าสู่เทคโนโลยี 5G
 
โดยที่ศูนย์นี้จะดำเนินการศึกษา ทดสอบ และตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์ ระบบ รวมถึงบริการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี 5G ได้แก่ อุปกรณ์เชื่อมต่อ Internet of Things (IoT), ระบบการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล Big Data, ระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ (Intelligent Transportation System: ITS), ระบบสาธารณสุขทางไกล (Telehealth) เป็นต้น
 
ทั้งนี้เชื่อว่าการให้บริการโทรคมนาคมในระบบ 5G จึงเป็นอนาคตของการให้บริการโทรคมนาคมในประเทศไทยที่จะช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น

ที่มา : ไทยโพสต์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่