🌧มาลาริน/พายุฝนกระหน่ำใหญ่เพื่อไทยเข้าตาจน..จะรื้อคดีกรุงไทยแน่ใจนะ ถาม"นายแม้ว-ลูกโอ๊ค"หรือยัง !?

เพื่อไทยรื้อเงินกู้กรุงไทยถาม"นายแม้ว-ลูกโอ๊ค"หรือยัง !?


ก็พอเข้าใจได้ว่าการที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย(บางคน) กำลังจะตั้งกระทู้ถามสด "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หลังจากที่มั่นใจแล้วว่า อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐจะมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ในรัฐบาลใหม่ ตามข่าวบอกว่าจะมีการขุดคุ้ยเอาเรื่องการทุจริตเงินกู้ธนาคารกรุงไทยจำนวน 9,900 ล้านบาทเมื่อเกือบ 20 ปีก่อนมาเล่นงาน โดยอ้างว่า อุตตม เป็นหนึ่งในห้าคณะกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทยในยุคนั้นที่ปล่อยกู้ให้กับกลุ่มกฤษดามหานคร โดยหยิบหยกเอาเรื่องหลักจริยธรรม และขัดรัฐธรรมนูญ แล้วแต่ที่จะอ้าง

สำหรับความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นดังกล่าวหากพอติดตามร่องรอยจะเห็นการจุดพลุขึ้นมาก่อนจาก พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตสมาชิกพรรคเพื่อชาติที่พยายามตั้งคำถามในเรื่องจริยธรรมจากเรื่องดังกล่าวว่ามีความเหมาะสมหรือไม่หรือไม่หากต้องมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และต่อมาก็มี ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็รับลูกยื่นกระทู้ถามสดในเรื่องนี้ตามมา

แม้ว่าในที่สุดแล้วกระทู้ดังกล่าวได้ตกไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนาทีนี้หลายคนจะมองออกได้ไม่ยากว่านี่คือ"เกมป่วน"เพื่อหวังดีสเครดิตรัฐบาลและอุตตม เป็นหลัก แต่ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งผลที่จะตามมาก็ยังไม่รู้ว่า"แรงสั่นสะเทือน"จะย้อนกลับมาหาใครได้มากกว่ากัน

หากกล่าวสำหรับคดีทุจริตเงินกู้ธนาคารกรุงไทยนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี 2546 ในยุครัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ก็ต้องย้ำว่าเป็นคดีที่เกิดขึ้นเมื่อ 16 ปีที่แล้ว ไม่ใช่เกิดขึ้นเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว และแม้ว่าตามหลักการแล้วสำหรับการทุจริตมันไม่สมควรเป็นเรื่องเก่าหรือใหม่ ผิดถูกก็ต้องว่ากันไปแบบตรงไปตรงมาไม่มียกเว้น แต่สำหรับกรณีของ อุตตม สาวนายน นั้นผ่านมาหลายรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยมาหลายยุค กลับไม่เห็นมีเรื่องขุดคุ้ยเพื่อเอาผิดมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว และแม้ว่าที่ผ่านมาอาจจะไม่ได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพราะไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงไหนก็ต้องดำเนินการหากพบว่ามีการกระทำผิด

แต่นี่ผ่านมาหลายรัฐบาล เกือบจะยี่สิบปีเข้าไปแล้ว และที่ผ่านมาหน่วยงานตรวจสอบการทุจริตทั้งหลายก็ไม่เคยฟ้องร้องให้ตกเป็นจำเลยมาก่อน

แต่อีกด้านหนึ่งกลับพบว่า มีแต่การฟ้องร้องดำเนินคดีกับรายอื่นๆ ทั้งนักการเมือง อดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทย และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางเมืองก็ได้พิพากษาลงโทษจำคุกไปแล้ว เมื่อวันที่ 26 สิงหาคมปี 58 จำนวน 27 รายคนละ 18 ปี และในจำนวนนั้นก็มี ทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยที่ 1 เสียด้วย แต่หลบหนีคดีไปก่อนศาลจึงได้จำหน่ายคดีชั่วคราว แต่ล่าสุดเมื่อมีการออกกฎหมายฉบับใหม่ออกมาทำให้สามารถรื้อคดีดังกล่าวสำหรับกรณีของ ทักษิณ โดยเป็นการพิจารณาคดีแบบลับหลังจำเลย และเชื่อว่าอีกไม่นานนักคงจะมีการพิพากษาคดีออกมา โดยเมื่อดูกจากแบ็กกราวด์แล้วสำหรับใครก็ตามที่เป็น"นายใหญ่"ก็น่าจะหนาวขึ้นไปอีก เพราะในจำนวน 26 รายก่อนหน้านั้นโดนไปคนละ 18 ปี ดังนั้นสำหรับจำเลยที่ 1 หวยจะออกแบบไหนก็น่าจะเดาออก

ส่วนที่ตามติดกันมาหลังจากยืดเยื้อกันมานาน ก็คือ "ลูกโอ๊ค"พานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ในที่สุดก็ต้องโดนคดีไปด้วยจากคดีไปเกี่ยวโยงกับคดีทุจริตเงินกู้ธนาคารกรุงไทยไปด้วย โดยถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดี"ร่วมกันฟอกเงิน"ในศาลอาญาแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง โดยศาลนัดพิพากษาคดีในวันที่ 25 พฤศจิกายนปีนี้ และเขาก็ย้ำว่า"ไม่หนี"

ซึ่งก็ต้องรอพิสูจน์กันต่อไปว่าพูดจริงหรือไม่ แต่เวลานี้ถือว่าเวลาไล่หลังกระชั้นเข้ามาทุกทีแล้ว

ที่ผ่านมาถือว่าเรื่องเงียบไปพักหนึ่งแล้ว การที่มีการจุดพลุขึ้นมาจากสมาชิกพรรคเพื่อไทยดังกล่าวข้างต้น มันก็ทำให้คดีนี้"ถูกสะกิด"ขึ้นมาอีกครั้งให้กลายเป็นที่จับตาอีกครั้งหรือไม่ และเป้าหมายหลักก็น่าจะเป็น ทักษิณ ชินวัตร กับ "โอ๊ค"พานทองแท้ ชินวัตร มากกว่า โดยเฉพาะรายหลังจะต้องถูกจับตาว่าเมื่อถึงเวลาจริงๆ"จะหนี"หรือไม่หนี เพราะงานนี้"เสี่ยงคุก"สูงมาก

ดังนั้นถึงได้บอกว่าการจะรื้อเรื่องคดีทุจริตเงินกู้ธนาคารกรุงไทยขึ้นอีกครั้ง เพื่อหมายมั่นปั้นมือจะดิสเครดิตรัฐบาล ดิสเครดิต อุตตม สาวนายน แต่เมื่อเป็นเรื่องเก่าผ่านมาเกือบยี่สิบปี และที่ผ่านมา อุตตม ก็เป็นรัฐมนตรีมาหลายกระทรวง ทำไมไม่จัดการตั้งแต่ตอนนั้น ทำไมต้องรอให้เป็นรัฐมนตรีคลังเสียก่อน และที่สำคัญจะขุดเรื่องที่ว่านี้ ถาม "นายแม้วกับลูกโอ๊ค"แล้วหรือยัง !!


https://mgronline.com/politics/detail/9620000063911


คดีเงินกู้กรุงไทย หลอน "ทักษิณ-โอ๊ค" จุดตายอยู่ที่ "เช็ค 10 ล้านเข้าบัญชี"




ในที่สุด คนในตระกูลชินวัตร ก็ต้องตกเป็นจำเลยในชั้นศาลขึ้นมาอีกคน หลังอัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร ในคดีปล่อยกู้ของแบงก์กรุงไทย ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เมื่อวันพุธที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา ที่ต้องจับตาดูหลังจากนี้ว่า สุดท้ายแล้วชะตากรรมของ พานทองแท้ จะซ้ำรอยบิดา-ทักษิณ ชินวัตร และอา–ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ถูกศาลยุติธรรมตัดสินลงโทษจนต้องหนีคดีไปต่างประเทศหรือไม่?

ที่น่าสนใจคือ ผลพวงจากคดีปล่อยกู้กรุงไทย ทำให้สองพ่อลูก ทักษิณ-พานทองแท้ อยู่ในสภาพเดียวกัน คือตกเป็นจำเลยในชั้นศาล จากเรื่องปล่อยกู้กรุงไทยยุคทักษิณเป็นนายกฯ หลังก่อนหน้านี้อัยการปัดฝุ่นยื่นฟ้องทักษิณเป็นจำเลยต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ไปเมื่อปีที่แล้ว ในความผิดฐานมีส่วนรู้เห็นกับการทุจริตปล่อยกู้เงินร่วม 9,900 ล้านบาทให้กับกลุ่มบริษัทในเครือกฤษดามหานคร ที่มีสองพ่อลูก วิชัย-รัชฎา กฤษดาธานนท์ ที่มีความมักคุ้นกับทักษิณ เป็นเจ้าของ-ผู้บริหาร อันเป็นการฟ้องคดีตามช่องทางที่ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาฯ เปิดช่องให้ฟ้องคดีได้ หากจำเลยหลบหนีคดีและไต่สวนคดีลับหลังจำเลยได้


แต่มาตอนนี้ไม่ใช่แค่ทักษิณเท่านั้น แต่ลูกชายนั่นคือ พานทองแท้ก็ตกเป็นจำเลยในคดีปล่อยกู้กรุงไทยเช่นกัน เพียงแต่เป็นคนละฐานความผิด เพราะพานทองแท้โดนเรื่อง ความผิดฐานฟอกเงิน หลังจาก ปปง.ส่งเรื่องให้ดีเอสไอสอบสวน และทำสำนวนสั่งฟ้องพานทองแท้กับเครือญาติของนางกาญจนาภา หงษ์เหิน อดีตเลขานุการส่วนตัว คุณหญิงอ้อ-พจมาน ณ ป้อมเพชร มารดาของพานทองแท้


ทั้งนี้ แนวทางการสอบสวนของ ปปง.-ดีเอสไอ ได้แกะรอยเส้นทางการเงินของผู้เกี่ยวข้องรวม 4 คน คือ นางเกศินี จิปิภพ มารดานางกาญจนาภา, นางกาญจนาภา และวันชัย หงษ์เหิน สามีนางกาญนาภา รวมถึงพานทองแท้ โดยแกะรอยการทำธุรกรรมทางการเงิน และการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังจากเงินกู้กรุงไทยถูกปล่อยสินเชื่อออกมา จนพบว่ามีธุรกรรมการเงินเป็นเช็คสองใบ คือ 26 ล้านบาท และ 10 ล้านบาท เข้าไปยังบัญชีของกลุ่มผู้ต้องหาโดยเฉพาะเข้าบัญชีพานทองแท้ 2 ครั้ง


ก้อนแรกเกิดขึ้นเมื่อ 30 ธันวาคม 2546 ที่มีการโอนแคชเชียร์เช็คจำนวนเงิน 26 ล้านบาท จากธนาคารไทยธนาคาร โดยหักจากเงินในบัญชีของนายวิชัยสั่งจ่ายและนำเงินเข้าบัญชีนายพานทองแท้ที่ธนาคารกรุงเทพ แต่วันเดียวกันก็มีการยกเลิกรายการ จากนั้นวันรุ่งขึ้นมีการซื้อแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต เพื่อชำระค่าหุ้นในบัญชีซื้อขายของนางเกศินี จิปิภพ แล้วนางเกศินีได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน 1 ล้าน 8 แสนบาท เข้าบัญชีนายพานทองแท้ ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขารัชโยธิน

เงินก้อนที่สอง พบการทำธุรกรรมเมื่อ 17 พ.ค. 2547 นายวิชัยสั่งจ่ายเช็คธนาคารไทยธนาคาร จำนวน 10 ล้านบาท เข้าบัญชีเงินฝากของพานทองแท้ ที่เป็นบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาบางพลัด ซึ่งก่อนหน้านี้พานทองแท้อ้างว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินจากการทำธุรกิจซื้อขายรถหรูกับนายรัชฎา


จนสุดท้ายเมื่อดีเอสไอส่งสำนวนมายังอัยการ ทางอัยการใช้เวลาพิจารณาอยู่พอสมควร จนมีการเลื่อนสั่งคดีมาแล้วรอบหนึ่ง พร้อมกับการให้ดีเอสไอสั่งสอบสวนเพิ่มเติม โดยแยกสำนวนตามหลักฐานการโอนเงินดังกล่าว สองก้อน ออกเป็น 2 สำนวน


ซึ่งในส่วนของพานทองแท้ถูกอัยการยื่นฟ้องเพียงสำนวนเดียวคือ กรณีเงิน 10 ล้านบาทที่โอนเข้าบัญชีในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ขณะที่สำนวนเช็ค 26 ล้านบาท อัยการสั่งฟ้องกาญจนาภาและวันชัย โดยพานทองแท้รอดในสำนวนหลัง


ก่อนหน้านี้ ศาลฎีกาฯ เคยตัดสินจำคุกอดีตผู้บริหารแบงก์กรุงไทยและกฤษดามหานคร เช่น ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ, วิโรจน์ นวลแข, วิชัยและรัชฎา กฤษดาธานนท์ เป็นเวลาหลายปี อันเป็นคำตัดสินที่คงทำให้ ทักษิณ–พานทองแท้ ที่ตกเป็นจำเลยในเรื่องปล่อยกู้กรุงไทยเช่นกัน คงผวาไม่น้อย โดยเฉพาะ พานทองแท้ กับหลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชี ที่เป็น "จุดตาย" ของคดีนี้



https://www.sanook.com/news/7537570/



ไม่รอด-ตามคาด! ฟ้อง ‘โอ๊ค พานทองแท้’ ฟอกเงินกรุงไทย ครอบครัวแห่ให้กำลังใจ


นัดพิพากษา “โอ๊ค – พานทองแท้” คดีฟอกเงินกรุงไทย 25 พ.ย.
โดย PPTV Onlineเผยแพร่ 23 พ.ค. 2562,14:29น.ปรับปรุงล่าสุด 23 พ.ค. 2562,14:33น.





โดยศาลได้นัดสืบพยานโจทก์และจำเลยอีก 3 นัดในวันที่ 24-25-26 ก.ย. และกำหนดนัดคำฟังพิพากษาล่วงหน้าในวันที่ 25 พ.ย.2562


https://www.pptvhd36.com/news/ประเด็นร้อน/103486




วันนี้ฟ้าฉ่ำฝน อากาศเย็นจนหนาว  

ท้องฟ้าก็ยังมีเมฆสีเทาล่องลอยอยู่


การเมืองยามนี้เหมือนเพื่อไทยที่ถูกพายุโหมใส่ เข้าตาจน
คิดการอะไรก็ไม่พ้นคดีความของคนกันเอง

น่าจะไม่มีฟ้าหลังฝนสำหรับพรรคนี้ค่ะ

เวรกรรมได้พิสูจน์แล้วว่ามีจริง

คิดแล้วก็นหนาวววววววววววแทนนนนนนนนนนนนนนนนนนน


หนาวฝน

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่