ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า ตอนแรกผมกะจะลองกล้องฟิล์มตัวแรก และฟิล์มม้วนแรกของผม แต่กลับพบว่า เจ้ากล้องฟิล์มสุดที่รักนี่ ดันแสงรั่ว! วิวฟายเดอร์ไม่ตรง! และโฟกัสไม่ตรง! ภาพกว่า 80% เลย หลังชัดหน้าเบลอ กับภาพหายไปกว่า ¼ ของแต่ละภาพ ดังนั้น เลยจำเป็นต้องเอาภาพจากกล้องอื่นๆของผมมาประกอบบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็จะเอาภาพจากกล้องฟิล์มตัวนี้แหล่ะมาประกอบ เพราะผมรู้สึกว่า มันดูดิบๆได้บรรยากาศดี และขอเตือนอีกอย่าง อาจจะมีคำหยาบหรือคำไม่สุภาพปะปนอยู่ด้วยบ้างก็ ขออภัยด้วยนะครับ (คือ พยายามสุภาพสุดๆแล้วนะเนี่ย) ถ้างั้นก็ เริ่มกันเลย...

อย่างแรกผมขอแนะนำตัวคณะของผมก่อน เราคือคณะ “วนศาสตร์” (วะ-นะ-สาส) ม.เกษตร บางเขน เรียนเกี่ยวกับป่าไม้นะครับ หลายๆคนฟังครั้งแรกชอบคิดว่าเป็นคณะ วารสารศาสตร์ (มันคนละเรื่องกันเลยนะเฮ้ย!) ทุกๆช่วงที่ชาวบ้านชาวช่องเขาปิดเทอมกัน คณะนี้จะมีกิจกรรมที่เรียกว่า “ฝึกงาน” กันตั้งแต่ปี 1 ... ใช่ครับ ปี 1 แต่ว่า!! ฝึกงานในความหมายของเราคือ “การเรียนภาคสนาม” (ออกฟิลด์นั่นเอง) เราจะมีการออกภาคสนามกันทั้งหมด 3 ปี ตั้งแต่ปี1-3 สลับวิชากันไป แล้วแต่ละวิชาก็ใช้เวลาฝึกไม่เท่ากัน และวิชาสุดท้ายที่เราได้ฝึกรวมกันในชั้นปีที่3 เป็นวิชาที่โหด มัน ฮา ที่สุดวิชาหนึ่ง หรืออาจจะเรียกได้ว่า “หนักที่สุดในชีวิตของนิสิตคนหนึ่ง” ก็ว่าได้ และนั่นวิชา การสำรวจแจงนับทรัพยากรป่าไม้ หรือ Inventory ที่พวกเราไปฝึกกันมานี่เอง
เราเริ่มเดินทางกันโดยรถไฟ จากหัวลำโพง ไปยังสถานีรถไฟของลำปาง (บ้างก็เดินทางไปเองด้วยวิธีอื่นๆ) ใช้เวลาประมาณ 9-10 ชม. ก็คือ นั่งกันหลังขดหลังแข็งกันไปข้างนึงเลย เอ้อ เรื่องวันและเวลาต่างๆผมขอไม่ลงรายละเอียดลึกนะครับเดี๋ยวยาว (จริงๆคือจำไม่ค่อยได้อ่ะ555)
เป็นการเดินทางที่ยาวนานมากครับ หลายคนหลับไปหลายตื่นเลย ผมก็หลับๆตื่นๆเป็นช่วงๆเพราะ แม่ค้าขายข้าวขายน้ำนี่แหล่ะครับ เดินกันทั้งคืนไม่หยุดไม่หย่อย (แล้วเราก็อุดหนุดพี่แกทั้งคืนเช่นกัน) การประหยัดตังและลดความอยากอาหารได้ดีที่สุดคือ “การนอน” ครับ (แต่อย่าหวังว่าจะได้นอนสบายๆบนรถไฟเล้ย)
สำหรับกล้องแสงรั่ว ภาพมันก็จะมีแถบขาวประมาณนี้แหล่ะ (และเป็นอย่างงี้เกือบทั้งหมดเลย)
แต่การเดินทางของเรายังไม่จบนะครับ พอลงจากสถานี เราก็ต้องเดินทางกันต่อไปยังสถานีฝึก ระยะทางจำไม่ได้ครับ รู้แค่ไกลใช่เล่น แล้วเราก็ได้รับการอนุเคราะห์รถรับส่งจาก ออป. ที่ส่งรถมารับพวกเรานะครับ
เราต้องแบ่งรถส่วนหนึ่งเพื่อบรรทุกกระเป๋าและข้าวของจำเป็นที่ใช้ในการฝึกงาน20วัน (ลองคิดนะครับ 1 คนมีกระเป๋าอย่างน้อย2ใบ แล้วมากันประมาณเกือบ 200 คน และไม่รวมของส่วนกลางนะครับ) แล้วส่วนคันที่เหลือก็ใช้บรรทุกคน
เราใช้เวลาเดินทางจากสถานีรถไฟ ไปยังสถานีฝึกประมาณ 1 ชม. การเดินทางไม่ค่อยยากครับ แต่โค้งเยอะมากกกก แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเราครับ แค่นี้สบายมาก
สถานีฝึกของเราตั้งอยู่บริเวณบ้านสัก ต.บ้านหวด อ.งาว จ.ลำปาง ถนนพหลโยธิน ห่างจากตัวจ.ลำปาง ประมาณ 80 กม. (จริงๆผมถ่ายรูปหน้าสถานีฝึกมาอยู่นะ แต่ภาพที่ออกมา.... ดูให้ออกว่ามันคืออะไรยังยากเลยอ่ะ 5555) พอมาถึงที่พักแล้ว เราก็ทำการจัดเก็บเข้าที่พัก โดยแบ่งเป็นหอชาย2หอ และหอหญิง3หอ มีพัดลมเพดานให้ด้วย สบายสุดๆไปเล้ยยย
นี่คือหอชายครับ หอหญิงก็สภาพคล้ายๆกันไม่ต่างกันมา (ไม่ได้ถ่ายหอหญิงเพราะพี่แกเล่นแขวนเสื้อใน-เกงในไว้นี่แหล่ะ)
สภาพภายในคือ ดี (ในฉบับของเรา) ผมหมายถึง แค่มีพัดลม มีฟูกให้ มีหมอนให้ แค่นี้ก็นับว่าดีแล้วครับ สิ่งที่เราทำอันดับแรกที่ขึ้นหอมาคือ จับจองที่นอนที่เราหมายตาครับ ฝั่งที่ผมถ่ายคือ ฝั่งที่มีเตียง จะมีผู้โชคร้ายบางส่วนที่ต้องนอนพื้น ใช่ครับหนึ่งในนั้นคือผมเอง 5555 T-T
นี่คือห้องเรียน ห้องประชุม และห้องทานข้าวของพวกเราครับ ค่อนข้างจะแออัดเล็กน้อยเพราะโต๊ะไม่เพียงพอกับจำนวนนิสิต (และในอนาคตก็อาจจะกลายเป็นแน่นขึ้นแน่ๆ) อบอุ่นครับ หมายถึง อากาศภายในน่ะครับ อบอุ่นไปจนถึงร้อนเลยก็ว่าได้ เพราะด้านข้างมีหอพักหญิงบังลมพอดี ยังดีที่มีพัดลมเพดานช่วยอีกอยู่ หมายถึงช่วยทำให้เย็นขึ้นหรอ? เปล่า ช่วยดูดความร้อนจากหลังคาลงมาอีกแรงนี่แหล่ะ!!! (แต่วันไหนฝนตกก็ดีไปครับ)
นอกจากที่อยู่ของคนแล้ว ก็ยังมีที่อยู่ของสิ่งที่เคยเป็นคนด้วยครับ ที่นี่เป็นอีกที่หนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่อง “ผี” มีทั้งเจ้าที่เจ้าทาง ผีเร่ร่อน ฯลฯ อาจารย์ที่สอนเล่าว่า แกเคยโดนผีหลอกจนต้องโดดลงจากระเบียงชั้นสองมาแล้ว และมีอาจารย์กับรุ่นพี่หลายคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ที่นี่อ่ะของจริง” แต่ดีหน่อยตรงที่ผมค่อยไม่มีเซนต์อะไรเรื่องนี้ ก็เลยไม่ค่อยเจออะไร (จะบอกว่าไม่เจอเลยก็ไม่ใช่) แต่รวมๆแล้วเรื่องพวกนี้ค่อนข้างเพลาลงจากอดีตอยู่แหล่ะครับ
หลายคนคิดว่า มาออกฟิลด์ มาเข้าป่า ต้องกินอยู่แบบอดๆอยากๆแน่ๆ ไม่เลยจ้า ที่นี่มีร้านค้านะจ๊ะ ขนม นม เนย ก๋วยเตี๋ยว ส้มตำ แกขายจ้า ของที่ขายดีสุดก็ไม่พ้น M150 กับ สปอนเซอร์นี่แหล่ะ หมดทุกวัน ถ้าต้องการซื้อของอื่นๆ ก็สั่งออนไลน์ให้ไปรษณีย์หรือเคอร์รี่มาส่งก็ได้ แล้วก็มารับของที่ร้านแกนี่แหล่ะ ฉะนั้น ใครบอกว่ามาป่าไม่ใช้เงิน คุณคิดผิดแล้วล่ะ
“นักเรียนป่าไม้ ถ้าไม่เข้าป่า แล้วเราจะไปรู้อะไร ...” สภาพป่าที่นี่ส่วนใหญ่เป็นป่าเบญจพรรณครับ (คือ ป่าที่มีไม้เด่นทั้ง 5 คือ แดง สัก มะค่า ประดู่ และชิงชัน) มีสวนป่าสักของ ออป. มีภูเขารายล้อม พื้นที่ที่เราต้องเข้าไปทำการเก็บข้อมูลจะถูกแบ่งเป็น 2 พื้นที่ลุ่มน้ำ คือ พื้นที่ห้วยเต๊า และพื้นที่ห้วยทาก สิ่งที่เราต้องทำเกือบทุกวัน คือ เดินเข้าไปในป่า ส่วนจะทำอะไรในป่ากัน ก็ขึ้นกับงานที่ได้รับมอบหมายครับ
เราจะถูกแบ่งออกเป็น 10 กลุ่ม (ผมอยู่กลุ่มที่10) และแต่ละกลุ่มจะได้รับพื้นที่ที่ต้องรับผิดชอบ ใครโชคร้ายก็อาจจะได้พื้นที่ไกลสุด (เช่น ทาก5 ทาก6 เต๊า4) ซึ่งระยะทางมันไกลมากครับ ประมาณ 9-10 กม. ได้ แล้วบางพื้นที่ต้องเดินขึ้นเขาไปอีก เรียกได้ว่า แค่เดินถึงพื้นที่ตัวเองก็ล่อไปบ่ายโมงแล้ว (นี่ยังไม่เริ่มงานเลยนะ)
จริงๆแล้วพื้นที่ป่าในบริเวณนั้น ยังมีการขัดแย้งกันระหว่างทางรัฐ กับคนในพื้นที่อยู่ เพราะเป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านเข้ามาใช้ประโยชน์ มีการทับซ้อนกันระหว่างพื้นที่ทำกินชาวบ้าน และพื้นที่ป่าของทางรัฐ ยังมีการลักลอบเข้าไปตัดไม้ และล่าสัตว์อยู่บ่อยๆ (ในปัจจุบันปัญหาก็เบาบางลงบ้างแล้ว) บ่อยขนาดที่ว่า เจอพี่แกขับมอไซด์สะพายปืนเดินสวนกันทุกวันเป็นปกติ แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันนะ เพราะแค่งานที่ได้รับมอบหมายเราก็แทบจะไม่รอดแล้ว
ปลอกกระสุน .22 ที่พบได้ทั่วไป ถ้าเดินไปลึกๆก็อาจพบปลอกกระสุนลูกซองได้บ้าง คาดว่าน่าจะเข้ามาล่านก กระรอก หรือหมูป่า
ตอนถ่ายคือผมจะถ่ายป้ายที่มีรูจากกระสุนปืนลูกซอง แต่...ไม่รู้ว่ากล้องมันหอยอะไร เลยได้ภาพนี้แทน...
สังเกตป้ายด้านซ้าย จะเห็นรอยรูกระสุนลูกซองจากคนที่เข้ามาล่าสัตว์ ตอนที่ยังเป็นปัญหาขัดแย้งกันอย่างรุนแรง
“ตั้งแต่ฝึกงานวิชานี้จบ การเดินระยะ 2-3 กม.ก็กลายเป็นระยะทางที่ใกล้ไปเลย...” ในแต่ละวัน แต่ละงาน เราจะได้เดินในพื้นที่ที่แทบไม่ซ้ำกันเลยบางเส้นทางอาจมีทางเก่าให้เดินอยู่แล้ว บางเส้นทางเราต้องเบิกทางใหม่เพื่อไปยังจุดหมาย และจุดหมาย ไม่ได้มีแค่จุดเดียว ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่พวกเราต้องเดินทางประมาณ15กม.ต่อวัน บางวันอาจจะต้องเดินมากกว่า20กม. ยิ่งกลุ่มที่ได้พื้นที่ไกล หรือต้องไปเก็บข้อมูลที่ไกล การเดินวันละ20กม.กลายเป็นเรื่องปกติไปเลย ในแต่ละพื้นที่มีความสวยงามเฉพาะตัว บางที่ประเภทป่าแตกต่างกัน ได้พบเจอสิ่งต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกคนจะมีสิ่งหนึ่งที่บอกเหมือนกันคือ วิวสวยมาก สวยกว่าที่กล้องจะถ่ายให้มันสวยได้ ผมพยายามที่จะถ่ายวิวพวกนั้นในหลายๆครั้ง แต่ทุกรูปผมกล้าพูดได้เลยว่า “ไม่มีรูปถ่ายรูปไหน สวยกว่าวิวที่ตาเราเห็นเลย...”

“ถ้าเราไม่รู้ว่าในป่ามีอะไร แล้วเราจะจัดการมันยังไง...” จุดประสงค์ของการเข้าป่า แน่นอนครับไม่ใช่มาเที่ยวแน่ๆ แต่เรามาเพื่อ “เก็บข้อมูล” ส่วนจะเป็นข้อมูลอะไรบ้าง ก็ขึ้นกับหัวข้อที่เราได้รับครับ เช่น สำรวจของป่า สำรวจแปลงตัวอย่างถาวร สำรวจดิน สำรวจการซึมน้ำของดิน ฯลฯ เยอะครับ
นี่คือ รูปรวมของกลุ่มผมครับขอแสดงความเสียใจกับเพื่อนที่อยู่ทางซ้ายมือด้วย พวกคุณอยู่ในแสงสว่างเรียบร้อย...
เดี๋ยวมาต่อนะครับ ขอเรียบเรียงข้อมูลต่ออีกแปป....
รีวิว ฝึกงานภาคสนาม วนศาสตร์ ปี 3 วิชา “Inventory” สถานีฝึกห้วยทาก อ.งาว จ.ลำปาง