ปีก่อนผมเขียนเล่าชีวิตนักแปลที่สร้างรายได้พอเลี้ยงชีพให้กับหลายๆ คนได้อย่างสบาย
ลองอ่านได้ที่นี่:
https://pantip.com/topic/37445359
ตอนนี้ผมรวบรวมนักแปลและผู้ที่สนใจงานแปลได้ราว 6,000 คน บน "เพจนี้เพื่อนักแปล"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/ThaiLanguageHub
ที่มีวัตถุประสงค์ถ่ายทอดทุกสิ่งอย่างในหัวเพื่อส่งต่อให้กับคนรุ่นต่อไป จัดมีตติงฟรีไปหนึ่งครั้ง และได้รับคำขอบคุณจากเพื่อนสมาชิกอย่างต่อเนื่อง บ้างส่งมาขอบคุณ บ้างบอกว่าชีวิตเปลี่ยน บ้างบอกว่างานแปลกลายเป็นรายได้หลัก .. แม้น่าจะยังมีอีกหลายคนที่ได้แต่ฝัน และกำลังใจที่ให้ไว้ครั้งนั้นคงมอดไหม้ไปแล้ว
วันนี้ผมอยากเล่าภาพรวมชีวิตฟรีแลนซ์ ซึ่งจะพยายามเล่าให้กระชับที่สุด เพราะรู้ว่าหลายคนขี้เกียจอ่านยาว แม้ผมจะติดนิสัยเขียนยาวๆ ก็ตาม โดยเน้นไปที่:
* เส้นทางต่อยอดที่ไม่สิ้นสุดของฟรีแลนซ์
* ใช้ชีวิตฟรีแลนซ์อย่างไรให้รอด
จริงอยู่ต้นทุนชีวิตของเราไม่เท่ากัน ดังนั้นอยากให้กำลังใจกันก่อนว่า:
* สมัย ป. ตรี ผมจบแบบเฉียด 2.00 ขึ้นมานิดหน่อย
* ใช้ชีวิตแบบสันโดดที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
* ไม่เคยใช้คอนเนคชันส่วนตัว (เพื่อน ญาติ ฯลฯ) เพื่อหารายได้
* Facebook ส่วนตัวไม่มีเพื่อน (แต่มีไว้อ่านข่าว) ; Line มีไว้คุยกับลูกค้า ไม่เคยโพสต์อะไรส่วนตัว (และมีลูกค้าเพียง 5-10% ที่ได้คุยกับผมทาง Line)
* เคยเที่ยวกระจุยกระจายช่วง 20+ แต่หลังจากติดหนี้บัตรเครดิตบาน ก็กลับตัวกลับใจและตั้งต้นใหม่
* ไม่คบค้าสมาคมกับใคร ไม่เคยเอาใจลูกค้านอกเหนือจากงาน และรักการอ่านหนังสือและเดินทางท่องเที่ยว
--- เป็นโปรไฟล์ "ฟรีแลนซ์" ที่ "ติสต์" .... พอตัว ---
จริงๆ อยากไล่ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กน้อยชั้นประถม แต่เอาเป็นว่าชีวิตฟรีแลนซ์และงานพาร์ทไทม์ของผมเริ่มตั้งแต่สมัย ปวช. ก็แล้วกัน ...
(1) เริ่มจาก
"ครูพาร์ทไทม์" สอนคอมพิวเตอร์เด็กที่ FutureKids (โรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์เด็ก ซึ่งเป็นแฟรนไชส์จากอเมริกา และค่อนข้างดังในยุคนั้น) - งานนี้ได้มาจากการเดินผ่านหน้าร้าน แล้วก็เดินเข้าไปสมัคร รายได้ยุคนั้นได้เป็น ชม. วันนึงทำเงินได้ 250-1,000 บาท โดยประมาณ
(2) แม้จะมีเอกสารที่มาจากต่างประเทศ แต่ผมอยากให้เด็กๆ ได้เรียนเนื้อหาเพิ่มเติม จึงทำเอกสารเอง รวบรวมข้อมูลแล้วเขียนเอกสารเรื่องโมเด็ม มีภาพประกอบการทำงานและเขียนไว้อย่างละเอียด - พอดีนิตยสารคอมพิวเตอร์ฉบับหนึ่งเปิดรับสมัครนักเขียน ก็เลยส่งต้นฉบับเรื่องนี้ไป .. ทุกอย่างเงียบกริบไปหนึ่งเดือน จนได้รับข้อความตอบกลับว่า "ตีพิมพ์บทความ" ให้แล้ว และผมก็เริ่มอาชีพ
"คอลัมนิสต์" ตั้งแต่อายุ 17 ปี อาชีพนี้อยู่กับผมมาราว 20+ ปี
(3) จากสอนคอมพิวเตอร์เด็ก ก็เริ่มมีผู้ใหญ่อยากเรียนบ้าง คือ คงสอนลูกของเพื่อนเค้าได้ถูกใจ ผมโดนเรียกตัวไปทดลองสอนที่บ้าน ผ่านไปครั้งเดียวก็ได้รับการติดต่อให้เป็น
"ที่ปรึกษาด้านไอที" ซึ่งขณะนั้นผมกำลังเรียนมหาวิทยาลัย (แต่เรียนด้านธุรกิจ ไม่ได้เรียนด้านไอที) เริ่มต้นจากการเข้าทำงาน 3 วันต่อสัปดาห์ เงินเดือน 12,000 บาท แต่ตอนหลังปรับเป็น 15,000 บาท และเข้าเดือนละ 2 ครั้งแทน และอยู่ด้วยกันมา 15+ ปี
(4) สองปีถัดมาผมได้รับการแนะนำบอกต่อ ไปเป็น "ที่ปรึกษาด้านไอที" ให้บริษัทญี่ปุ่นที่ทำกิจการส่งออกรายเล็กๆ ได้เงินเดือน 7,000 บาท เข้าบริษัทเดือนละ 1 ครั้ง และอยู่ด้วยกันมา 20+ ปี
(5) หลังจบมหาวิทยาลัยได้ไม่กี่วัน ผมกำลังเสาะหานักเขียนรายใหม่ เดินเข้าไปติดต่อ อ. ท่านนึง สรุปโดนอาจารย์ท่านนั้นชวนให้มาเป็นอาจารย์แทน จากคนที่ไม่เคยกล้าพรีเซนต์หน้าชั้นเรียน เรียกว่า เลี่ยงตลอด 4.5 ปี (ครับ ... จบช้ากว่าชาวบ้าน) ผมมีเวลาเตรียมตัว 3 วัน เพื่อทดลองสอน แล้วก็ผ่านพ้นมาได้ด้วยดี ได้เป็น
"อาจารย์พาร์ทไทม์" ที่มีคลาสมากเกือบเท่าฟูลไทม์ตั้งแต่เรียนจบ แล้วก็เรียนต่อ ป. โท ไปด้วยเลย ทำรายได้เดือนละ 15,000-25,000 บาท สอนราวๆ 2-3 วันต่อสัปดาห์ และยึดอาชีพนี้มา 20 ปีเกือบบริบูรณ์
(6) ผ่านไปไม่นาน รายการทีวีด้านไอทีชื่อดังที่สุดยุคนั้นเปิดรับพิธีกร ผมสมัครเข้าไปแบบเล่นๆ โดนเรียกสัมภาษณ์ ไม่ได้เป็นพิธีกร (ซึ่งดีใจมากเพราะไม่ได้อยากทำแต่แรก) แต่ได้เขียนบทให้พิธีกรและทำคอนเทนต์ต่างๆ เกือบทั้งรายการ กลายเป็นอาชีพ
"นักเขียนบทรายการโทรทัศน์" ยกเว้นช่วงที่ไม่เกี่ยวข้องกับไอที เข้าทำงาน 2 วันต่อสัปดาห์ (สลับวันกับตารางสอน) และยึดอาชีพนี้มา 15+ ปี รายได้เดือนละ 20,000-30,000 บาท
(7) วันนึงฝนตกหนัก ผมทำงานอยู่ในสตูดิโอ ได้ข่าวเรื่องรายการทีวีมีปัญหากับพิธีกรรายหนึ่ง ผมโดนจับมาเป็น
"พิธีกรจำเป็น" และรับหน้าที่พิธีกรในช่วงรายการมา 16+ ปี มีทั้งสกูปรายการและสกูปลูกค้า ได้เปิดหูเปิดตา ต้องแต่งหน้า ต้องทำผม ได้ใกล้ชิดกับน้าๆ ได้เห็นความลำบากของกองถ่าย รายได้คิดเป็นตอน บางช่วงเปิดรายการใหม่ช่องใหม่ สร้างรายได้กว่า 20,000-60,000 บาทต่อเดือน เรียกว่า เขียนสคริปต์เอง เป็นพิธีกรเอง
(8) ช่วงที่เป็นอาจารย์ เจ้านายจากข้อ 3 ได้แนะนำผมให้รู้จักอีกบริษัท เป็นบริษัทส่งออกรายใหญ่ เข้าไปเป็นที่ปรึกษาด้านไอทีและธุรกิจออนไลน์ เงินเดือน 10,000 บาท เข้าบริษัทเดือนละ 1 ครั้ง และอยู่ด้วยกันมาถึงปลายปีที่แล้ว
(9) ถึงยุคเปลี่ยนถ่ายเลือดใหม่ของเครือนิตยสารใหญ่ด้านไอที ผมเลือกที่อยู่ฝั่งเดิม แม้เจ้านายที่ผมเคารพจะย้ายไปฝั่งใหม่ก็ตาม ที่จริงระหว่างเป็นคอลัมนิสต์ ผมได้รับการติดต่อไม่ต่ำกว่า 30 ครั้ง ให้เขียนให้เว็บหรือนิตยสารเล่มอื่น แต่ไม่เคยรับ .. บางคนบอกไม่ฉลาด .. ครับ - ผมติสต์ และผมไม่ชอบสไตล์ย้ายที่อัพเงินเดือน ; พอถึงยุคเปลี่ยนถ่าย ผมได้รับการผลักดันให้รับช่วยเขียนมากขึ้น บทความผมเรียกว่าแทบไม่ถูกเซ็นเซอร์ และก็เป็นบทความเชิง Editorial เรียกว่า อยากเขียนอะไรก็ได้เชิงวิจารณ์ ; ขณะเดียวกันก็ถูกวานให้ช่วยเป็น
"MC" ในงานคอมพิวเตอร์ ผมยึดอาชีพนี้มาจนถึงตอนนี้ ยังทำหน้าที่เป็น MC และพิธีกรบนเวทีสัมมนาต่อเนื่องมา ค่าตัวเริ่มจากวันละ 4,000 บาท จนตอนนี้ถ้าไม่รู้จักกันก็วันละ 15,000 บาท แถมเลือกลูกค้าอีกต่างหาก
(10) จากอาจารย์หนึ่งที่ก็เริ่มมีที่ที่สองและที่ที่สามตามมา ระหว่างทางก็มีคนติดต่อเข้ามาให้ช่วยแปล Press Release ด้านไอที เดือนนึงทำรายได้ราว 5,000-8,000 บาท จนช่วงหลังเริ่มรับเขียนข่าว PR เอง แต่นี่ถือเป็นจุดเริ่มอาชีพ
"นักแปล" ครั้งแรก และทำได้ราว 10+ ปี
(11) จากงานนักแปล ก็มีคนสอบถามเรื่องออกแบบกราฟิก ทำโบรชัวร์ให้โรงเรียนกวดวิชา ผมก็ไปจับมือกับพี่สาวคนหนึ่ง แล้วก็รับทำโบรชัวร์ด้วยกัน พอออกแบบได้สวยงามกว่าโบรชัวร์กวดวิชาทั่วไป ก็เริ่มมีงานเข้ามาต่อเนื่อง แล้วก็ลามไปถึงงานเว็บและงานกราฟิกอื่นๆ .. แต่ยุคนั้นลุยงานกันแบบลูกทุ่ง ผมโชคดีได้พันธมิตรช่วยงานที่ดี เป็นจุดเริ่มต้นให้ผมหันมาเสพงานดีไซน์และงานศิลปะ ทำให้ผมต้องเดินทางไปลูฟที่ฝรั่งเศสสองครั้ง และเดินทางทั่วอิตาลีเพื่อเข้าพิพิธภัณฑ์ชื่อดังให้ครบ ; ผมยึดอาชีพ
"ออกแบบกราฟิกและเว็บ" ราว 14+ ปี รายได้ไม่แน่นอน เฉลี่ยปีนึงน่าจะทำเงินได้ราว 100,000-300,000 บาท หลังหักค่าใช้จ่าย
(12) ช่วงหนึ่งผมได้งานทำระบบจอทัชสกรีนสำหรับคอนโดฯ ชื่อดังติดอันดับในไทย รุ่นน้องผมคนหนึ่งที่รู้จักกันตั้งแต่ข้อ (1) เปิดบริษัทเทรดดิงจนร่ำรวยมหาศาล คะยั้นคอยอผมกว่าหนึ่งปีให้เปิดบริษัท ท้ายสุดผมยอมแพ้ขณะขับรถอยู่ใต้โทลเวย์ ผมตั้งใจทำธุรกิจดิจิทัลเอเจนซีที่มุ่งช่วย SME เป็นหลัก แต่ก็ผิดหวังด้วยปัจจัยหลายอย่าง และเจอปัญหาน้ำท่วมใหญ่ กทม. จนขาดทุน 8 ล้าน .. ทุกวันนี้ทำงานใช้หนี้ แต่บริษัทเดินหน้าด้วยดี แจกโบนัสพนักงานได้ทุกปี 2-3 เดือน ผมเป็น
"เจ้าของกิจการแบบพาร์ทไทม์" มากว่า 7 ปี เงินเดือนไม่รับแต่หักเป็นค่าคอมมิชชันจากยอดขายแทน รายได้เดือนละ 10,000-30,000 บาท ; ทุกวันนี้พวกเรากลายเป็นดิจิทัลเอเจนซีเล็กๆ ที่ติสต์และเลือกรับงานได้ และแทบทุกรายเป็นบริษัทระดับโลก -- ดูแลตั้งแต่งานระบบ งานเว็บ งานแอพ งานโซเชียลมีเดีย ฯลฯ โดยเลี่ยงที่จะไม่ทำงานกับเอเจนซีรายอื่น เพราะเกลียดการ FWD อีเมลเป็นที่สุด (ใครเคยทำงานกับเอเจนซีจะเข้าใจเรื่องนี้ดี LOL) (แต่คนที่เข้าใจธุรกิจนี้ดีจะรู้ว่า การตัดสินใจแบบนี้ไม่ใช่แนวทางที่ถูก เพราะคุณจะไม่ได้เงินก้อนใหญ่ที่กระจายและล็อกตัวคนรับมาแล้วจากระดับโลก)
หมายเหตุ: เขียนไม่ผิดครับ ทุกวันนี้ผมบริหารงานแบบพาร์ทไทม์ เข้าบ้างไม่เข้าบ้าง -- บริษัทที่ดีควรดำเนินกิจการได้แม้เจ้าของบริษัทไม่มีเวลาดูแลอย่างเต็มที่ -- ผมดูเข้มเพียงสองเรื่อง คือ ค่าใช้จ่ายและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน ; บริษัทนี้ไม่มีเที่ยวประจำปี ใครอยากเที่ยวไปเที่ยวกันเองแล้วมาเบิกเงินเอา ไม่มีอบรม ใครอยากเรียนอะไรก็ไปเรียนกันเองแล้วมาเบิกเงินเอา น้องคนหนึ่งที่อยู่ช่วยผมมา 5 ปี ตอนนี้ผมให้สิทธิพิเศษ วันลา 45 วันต่อปี เพราะเขาเป็นหนึ่งในผู้มีพระคุณที่ช่วยพาบริษัทพ้นปัญหามาได้ ... ส่วนรุ่นน้องที่ชวนผมตั้งบริษัท ตอนนี้ผมเรียกว่าเพื่อน เขาปล่อยให้ผมทำอะไรก็ได้และคอยดูอยู่ห่างๆ แม้แต่ตอนที่ผมเจอ Growing Pain เพราะรู้ว่าพูดไปผมก็ไม่เชื่อ -- การเปิดบริษัทเองทำให้ผมได้อะไรอีกหลายอย่าง ได้เข้าใจโลกธุรกิจมากขึ้นกว่าเดิม ได้เข้าใจเจ้านายทุกคนยิ่งขึ้น จากเดิมที่มองแค่ในมุมลูกจ้างเท่านั้น ; ตอนนี้ผมกำลังกลับมาปั้นฝันใหม่ เปิดธุรกิจที่มุ่งช่วย SME เป็นหลักอีกครั้ง ... ทั้งด้านงานระบบ งานเว็บ งานคอนเทนต์ งานโซเชียลมีเดีย ฯลฯ ไว้เป็นรูปเป็นร่างจะมาเล่าให้ฟัง
(13) ห้าปีก่อน บริษัทข้อ (10) ประสบปัญหา งานผมก็น้อยลง ผมก็หาลู่ทางอื่น รับงานแปลจากต่างประเทศแทน ก็เดินดุ่มๆ หาตามออนไลน์ ศึกษา CAT Tools เองแบบเงอะๆ งั่นๆ แต่ทุกวันนี้สามารถสร้างรายได้ปีละล้านกว่าได้ทุกปีตั้งแต่ปีแรกของการทำงาน (ใครอยากรู้รายละเอียด รบกวนอ่านจากกระทู้เก่าที่อ้างอิงไว้ให้ด้านบน) เรียกว่ากลายเป็นรายได้หลักอย่างหนึ่งของผมก็ว่าได้
--------------
ที่จริงระหว่างทางยังมีอีกหลายอาชีพที่ผมทำ ไม่ว่าจะเป็นการจัดอีเวนต์ รับถ่ายทำวิดีโอ รับทำคอนเทนต์ รับจ้างทั่วไป รับทำของชำร่วย ฯลฯ
หลายงานยังทำจนถึงทุกวันนี้ แต่ไม่ได้สร้างรายได้ทุกเดือน อย่างงานอีเวนต์ปีนึงอาจจัด 4-6 ครั้ง ซึ่งคนที่ใช้บริการประจำก็เป็นลูกค้างานแปลที่ได้มาจากสิงคโปร์ หรือของชำร่วยก็ช่วยกันทำกับน้อง เป็นงานหนังทำมือ ที่ทำเฉพาะช่วงก่อนปีใหม่ ฯลฯ
ที่เจ็บตัวสุดก็คือ ผมลุยธุรกิจนิตยสารฟรีกอปปีได้หนึ่งปี แล้วก็เจ๊งไม่เป็นท่า หมดเงินไปอีกล้านกว่า ทำให้ผมเข้าใจอะไรยิ่งขึ้นว่า การปั้นธุรกิจใหม่ในดงทะเลเดือดไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ควรตะบันทำเฉพาะสิ่งที่เป็นความฝัน และคนที่เราฝากหน้าที่ไว้ต้องช่วยงานเราได้แบบที่เราต้องการ
ขณะที่งานแปลของผมล้น และยังมีความฝันอีกหลายเรื่องที่อยากทำ ผมรู้สึกว่าถึงเวลาที่จะต้องทำอะไรใหม่ๆ - ผมทยอยปลดอาชีพที่รักออกไปอย่างต่อเนื่อง ผมใช้เวลาเตรียมตัว 3 เดือน และตัดใจอีก 7 วัน เพื่อทยอยบอกเลิกงานที่รัก
ทุกวันนี้การใช้ชีวิตก็ยังเป็นแบบฟรีแลนซ์ รายได้หลักก็ยังมาจากฟรีแลนซ์ แต่กำลังปูทางเพื่อตามความฝันที่ยังไม่รู้จะเดินได้ถูกทางหรือไม่ .. หลายความฝันโดนคนอื่นแย่งทำไปแล้วจนกลายเป็นธุรกิจใหญ่โต เพราะผม "ติดกับดักฟรีแลนซ์" ผมยังมีความฝันอีกจำนวนมากที่รอให้หยิบขึ้นมาทำ และกำลังจะได้ทำ
หนึ่งในความฝันที่ว่าก็คือ การถ่ายทอดความรู้ที่ผมมีให้มากที่สุดเท่าที่เวลาอำนวย นั่นเป็นที่มาของการเปิด "เพจนี้เพื่อนักแปล" เพื่อช่วยมอบความรู้ในการสร้างอาชีพนักแปลแก่ผู้อื่น
และที่เพิ่งเปิดขึ้นมาใหม่ก็คือ เพจฟรีแลนซ์อะคาเดมี (Freelance Academy) ที่ตั้งใจรวบรวมเคล็ดลับการเป็นฟรีแลนซ์ไว้ที่นี่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/FreelanceAcademy-340548089973747
25 ปี .. วิถีฟรีแลนซ์ อยู่อย่างไรให้รอด (10+ อาชีพ)
ลองอ่านได้ที่นี่: https://pantip.com/topic/37445359
ตอนนี้ผมรวบรวมนักแปลและผู้ที่สนใจงานแปลได้ราว 6,000 คน บน "เพจนี้เพื่อนักแปล"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ที่มีวัตถุประสงค์ถ่ายทอดทุกสิ่งอย่างในหัวเพื่อส่งต่อให้กับคนรุ่นต่อไป จัดมีตติงฟรีไปหนึ่งครั้ง และได้รับคำขอบคุณจากเพื่อนสมาชิกอย่างต่อเนื่อง บ้างส่งมาขอบคุณ บ้างบอกว่าชีวิตเปลี่ยน บ้างบอกว่างานแปลกลายเป็นรายได้หลัก .. แม้น่าจะยังมีอีกหลายคนที่ได้แต่ฝัน และกำลังใจที่ให้ไว้ครั้งนั้นคงมอดไหม้ไปแล้ว
วันนี้ผมอยากเล่าภาพรวมชีวิตฟรีแลนซ์ ซึ่งจะพยายามเล่าให้กระชับที่สุด เพราะรู้ว่าหลายคนขี้เกียจอ่านยาว แม้ผมจะติดนิสัยเขียนยาวๆ ก็ตาม โดยเน้นไปที่:
* เส้นทางต่อยอดที่ไม่สิ้นสุดของฟรีแลนซ์
* ใช้ชีวิตฟรีแลนซ์อย่างไรให้รอด
จริงอยู่ต้นทุนชีวิตของเราไม่เท่ากัน ดังนั้นอยากให้กำลังใจกันก่อนว่า:
* สมัย ป. ตรี ผมจบแบบเฉียด 2.00 ขึ้นมานิดหน่อย
* ใช้ชีวิตแบบสันโดดที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
* ไม่เคยใช้คอนเนคชันส่วนตัว (เพื่อน ญาติ ฯลฯ) เพื่อหารายได้
* Facebook ส่วนตัวไม่มีเพื่อน (แต่มีไว้อ่านข่าว) ; Line มีไว้คุยกับลูกค้า ไม่เคยโพสต์อะไรส่วนตัว (และมีลูกค้าเพียง 5-10% ที่ได้คุยกับผมทาง Line)
* เคยเที่ยวกระจุยกระจายช่วง 20+ แต่หลังจากติดหนี้บัตรเครดิตบาน ก็กลับตัวกลับใจและตั้งต้นใหม่
* ไม่คบค้าสมาคมกับใคร ไม่เคยเอาใจลูกค้านอกเหนือจากงาน และรักการอ่านหนังสือและเดินทางท่องเที่ยว
--- เป็นโปรไฟล์ "ฟรีแลนซ์" ที่ "ติสต์" .... พอตัว ---
จริงๆ อยากไล่ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กน้อยชั้นประถม แต่เอาเป็นว่าชีวิตฟรีแลนซ์และงานพาร์ทไทม์ของผมเริ่มตั้งแต่สมัย ปวช. ก็แล้วกัน ...
(1) เริ่มจาก "ครูพาร์ทไทม์" สอนคอมพิวเตอร์เด็กที่ FutureKids (โรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์เด็ก ซึ่งเป็นแฟรนไชส์จากอเมริกา และค่อนข้างดังในยุคนั้น) - งานนี้ได้มาจากการเดินผ่านหน้าร้าน แล้วก็เดินเข้าไปสมัคร รายได้ยุคนั้นได้เป็น ชม. วันนึงทำเงินได้ 250-1,000 บาท โดยประมาณ
(2) แม้จะมีเอกสารที่มาจากต่างประเทศ แต่ผมอยากให้เด็กๆ ได้เรียนเนื้อหาเพิ่มเติม จึงทำเอกสารเอง รวบรวมข้อมูลแล้วเขียนเอกสารเรื่องโมเด็ม มีภาพประกอบการทำงานและเขียนไว้อย่างละเอียด - พอดีนิตยสารคอมพิวเตอร์ฉบับหนึ่งเปิดรับสมัครนักเขียน ก็เลยส่งต้นฉบับเรื่องนี้ไป .. ทุกอย่างเงียบกริบไปหนึ่งเดือน จนได้รับข้อความตอบกลับว่า "ตีพิมพ์บทความ" ให้แล้ว และผมก็เริ่มอาชีพ "คอลัมนิสต์" ตั้งแต่อายุ 17 ปี อาชีพนี้อยู่กับผมมาราว 20+ ปี
(3) จากสอนคอมพิวเตอร์เด็ก ก็เริ่มมีผู้ใหญ่อยากเรียนบ้าง คือ คงสอนลูกของเพื่อนเค้าได้ถูกใจ ผมโดนเรียกตัวไปทดลองสอนที่บ้าน ผ่านไปครั้งเดียวก็ได้รับการติดต่อให้เป็น "ที่ปรึกษาด้านไอที" ซึ่งขณะนั้นผมกำลังเรียนมหาวิทยาลัย (แต่เรียนด้านธุรกิจ ไม่ได้เรียนด้านไอที) เริ่มต้นจากการเข้าทำงาน 3 วันต่อสัปดาห์ เงินเดือน 12,000 บาท แต่ตอนหลังปรับเป็น 15,000 บาท และเข้าเดือนละ 2 ครั้งแทน และอยู่ด้วยกันมา 15+ ปี
(4) สองปีถัดมาผมได้รับการแนะนำบอกต่อ ไปเป็น "ที่ปรึกษาด้านไอที" ให้บริษัทญี่ปุ่นที่ทำกิจการส่งออกรายเล็กๆ ได้เงินเดือน 7,000 บาท เข้าบริษัทเดือนละ 1 ครั้ง และอยู่ด้วยกันมา 20+ ปี
(5) หลังจบมหาวิทยาลัยได้ไม่กี่วัน ผมกำลังเสาะหานักเขียนรายใหม่ เดินเข้าไปติดต่อ อ. ท่านนึง สรุปโดนอาจารย์ท่านนั้นชวนให้มาเป็นอาจารย์แทน จากคนที่ไม่เคยกล้าพรีเซนต์หน้าชั้นเรียน เรียกว่า เลี่ยงตลอด 4.5 ปี (ครับ ... จบช้ากว่าชาวบ้าน) ผมมีเวลาเตรียมตัว 3 วัน เพื่อทดลองสอน แล้วก็ผ่านพ้นมาได้ด้วยดี ได้เป็น "อาจารย์พาร์ทไทม์" ที่มีคลาสมากเกือบเท่าฟูลไทม์ตั้งแต่เรียนจบ แล้วก็เรียนต่อ ป. โท ไปด้วยเลย ทำรายได้เดือนละ 15,000-25,000 บาท สอนราวๆ 2-3 วันต่อสัปดาห์ และยึดอาชีพนี้มา 20 ปีเกือบบริบูรณ์
(6) ผ่านไปไม่นาน รายการทีวีด้านไอทีชื่อดังที่สุดยุคนั้นเปิดรับพิธีกร ผมสมัครเข้าไปแบบเล่นๆ โดนเรียกสัมภาษณ์ ไม่ได้เป็นพิธีกร (ซึ่งดีใจมากเพราะไม่ได้อยากทำแต่แรก) แต่ได้เขียนบทให้พิธีกรและทำคอนเทนต์ต่างๆ เกือบทั้งรายการ กลายเป็นอาชีพ "นักเขียนบทรายการโทรทัศน์" ยกเว้นช่วงที่ไม่เกี่ยวข้องกับไอที เข้าทำงาน 2 วันต่อสัปดาห์ (สลับวันกับตารางสอน) และยึดอาชีพนี้มา 15+ ปี รายได้เดือนละ 20,000-30,000 บาท
(7) วันนึงฝนตกหนัก ผมทำงานอยู่ในสตูดิโอ ได้ข่าวเรื่องรายการทีวีมีปัญหากับพิธีกรรายหนึ่ง ผมโดนจับมาเป็น "พิธีกรจำเป็น" และรับหน้าที่พิธีกรในช่วงรายการมา 16+ ปี มีทั้งสกูปรายการและสกูปลูกค้า ได้เปิดหูเปิดตา ต้องแต่งหน้า ต้องทำผม ได้ใกล้ชิดกับน้าๆ ได้เห็นความลำบากของกองถ่าย รายได้คิดเป็นตอน บางช่วงเปิดรายการใหม่ช่องใหม่ สร้างรายได้กว่า 20,000-60,000 บาทต่อเดือน เรียกว่า เขียนสคริปต์เอง เป็นพิธีกรเอง
(8) ช่วงที่เป็นอาจารย์ เจ้านายจากข้อ 3 ได้แนะนำผมให้รู้จักอีกบริษัท เป็นบริษัทส่งออกรายใหญ่ เข้าไปเป็นที่ปรึกษาด้านไอทีและธุรกิจออนไลน์ เงินเดือน 10,000 บาท เข้าบริษัทเดือนละ 1 ครั้ง และอยู่ด้วยกันมาถึงปลายปีที่แล้ว
(9) ถึงยุคเปลี่ยนถ่ายเลือดใหม่ของเครือนิตยสารใหญ่ด้านไอที ผมเลือกที่อยู่ฝั่งเดิม แม้เจ้านายที่ผมเคารพจะย้ายไปฝั่งใหม่ก็ตาม ที่จริงระหว่างเป็นคอลัมนิสต์ ผมได้รับการติดต่อไม่ต่ำกว่า 30 ครั้ง ให้เขียนให้เว็บหรือนิตยสารเล่มอื่น แต่ไม่เคยรับ .. บางคนบอกไม่ฉลาด .. ครับ - ผมติสต์ และผมไม่ชอบสไตล์ย้ายที่อัพเงินเดือน ; พอถึงยุคเปลี่ยนถ่าย ผมได้รับการผลักดันให้รับช่วยเขียนมากขึ้น บทความผมเรียกว่าแทบไม่ถูกเซ็นเซอร์ และก็เป็นบทความเชิง Editorial เรียกว่า อยากเขียนอะไรก็ได้เชิงวิจารณ์ ; ขณะเดียวกันก็ถูกวานให้ช่วยเป็น "MC" ในงานคอมพิวเตอร์ ผมยึดอาชีพนี้มาจนถึงตอนนี้ ยังทำหน้าที่เป็น MC และพิธีกรบนเวทีสัมมนาต่อเนื่องมา ค่าตัวเริ่มจากวันละ 4,000 บาท จนตอนนี้ถ้าไม่รู้จักกันก็วันละ 15,000 บาท แถมเลือกลูกค้าอีกต่างหาก
(10) จากอาจารย์หนึ่งที่ก็เริ่มมีที่ที่สองและที่ที่สามตามมา ระหว่างทางก็มีคนติดต่อเข้ามาให้ช่วยแปล Press Release ด้านไอที เดือนนึงทำรายได้ราว 5,000-8,000 บาท จนช่วงหลังเริ่มรับเขียนข่าว PR เอง แต่นี่ถือเป็นจุดเริ่มอาชีพ "นักแปล" ครั้งแรก และทำได้ราว 10+ ปี
(11) จากงานนักแปล ก็มีคนสอบถามเรื่องออกแบบกราฟิก ทำโบรชัวร์ให้โรงเรียนกวดวิชา ผมก็ไปจับมือกับพี่สาวคนหนึ่ง แล้วก็รับทำโบรชัวร์ด้วยกัน พอออกแบบได้สวยงามกว่าโบรชัวร์กวดวิชาทั่วไป ก็เริ่มมีงานเข้ามาต่อเนื่อง แล้วก็ลามไปถึงงานเว็บและงานกราฟิกอื่นๆ .. แต่ยุคนั้นลุยงานกันแบบลูกทุ่ง ผมโชคดีได้พันธมิตรช่วยงานที่ดี เป็นจุดเริ่มต้นให้ผมหันมาเสพงานดีไซน์และงานศิลปะ ทำให้ผมต้องเดินทางไปลูฟที่ฝรั่งเศสสองครั้ง และเดินทางทั่วอิตาลีเพื่อเข้าพิพิธภัณฑ์ชื่อดังให้ครบ ; ผมยึดอาชีพ "ออกแบบกราฟิกและเว็บ" ราว 14+ ปี รายได้ไม่แน่นอน เฉลี่ยปีนึงน่าจะทำเงินได้ราว 100,000-300,000 บาท หลังหักค่าใช้จ่าย
(12) ช่วงหนึ่งผมได้งานทำระบบจอทัชสกรีนสำหรับคอนโดฯ ชื่อดังติดอันดับในไทย รุ่นน้องผมคนหนึ่งที่รู้จักกันตั้งแต่ข้อ (1) เปิดบริษัทเทรดดิงจนร่ำรวยมหาศาล คะยั้นคอยอผมกว่าหนึ่งปีให้เปิดบริษัท ท้ายสุดผมยอมแพ้ขณะขับรถอยู่ใต้โทลเวย์ ผมตั้งใจทำธุรกิจดิจิทัลเอเจนซีที่มุ่งช่วย SME เป็นหลัก แต่ก็ผิดหวังด้วยปัจจัยหลายอย่าง และเจอปัญหาน้ำท่วมใหญ่ กทม. จนขาดทุน 8 ล้าน .. ทุกวันนี้ทำงานใช้หนี้ แต่บริษัทเดินหน้าด้วยดี แจกโบนัสพนักงานได้ทุกปี 2-3 เดือน ผมเป็น "เจ้าของกิจการแบบพาร์ทไทม์" มากว่า 7 ปี เงินเดือนไม่รับแต่หักเป็นค่าคอมมิชชันจากยอดขายแทน รายได้เดือนละ 10,000-30,000 บาท ; ทุกวันนี้พวกเรากลายเป็นดิจิทัลเอเจนซีเล็กๆ ที่ติสต์และเลือกรับงานได้ และแทบทุกรายเป็นบริษัทระดับโลก -- ดูแลตั้งแต่งานระบบ งานเว็บ งานแอพ งานโซเชียลมีเดีย ฯลฯ โดยเลี่ยงที่จะไม่ทำงานกับเอเจนซีรายอื่น เพราะเกลียดการ FWD อีเมลเป็นที่สุด (ใครเคยทำงานกับเอเจนซีจะเข้าใจเรื่องนี้ดี LOL) (แต่คนที่เข้าใจธุรกิจนี้ดีจะรู้ว่า การตัดสินใจแบบนี้ไม่ใช่แนวทางที่ถูก เพราะคุณจะไม่ได้เงินก้อนใหญ่ที่กระจายและล็อกตัวคนรับมาแล้วจากระดับโลก)
หมายเหตุ: เขียนไม่ผิดครับ ทุกวันนี้ผมบริหารงานแบบพาร์ทไทม์ เข้าบ้างไม่เข้าบ้าง -- บริษัทที่ดีควรดำเนินกิจการได้แม้เจ้าของบริษัทไม่มีเวลาดูแลอย่างเต็มที่ -- ผมดูเข้มเพียงสองเรื่อง คือ ค่าใช้จ่ายและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน ; บริษัทนี้ไม่มีเที่ยวประจำปี ใครอยากเที่ยวไปเที่ยวกันเองแล้วมาเบิกเงินเอา ไม่มีอบรม ใครอยากเรียนอะไรก็ไปเรียนกันเองแล้วมาเบิกเงินเอา น้องคนหนึ่งที่อยู่ช่วยผมมา 5 ปี ตอนนี้ผมให้สิทธิพิเศษ วันลา 45 วันต่อปี เพราะเขาเป็นหนึ่งในผู้มีพระคุณที่ช่วยพาบริษัทพ้นปัญหามาได้ ... ส่วนรุ่นน้องที่ชวนผมตั้งบริษัท ตอนนี้ผมเรียกว่าเพื่อน เขาปล่อยให้ผมทำอะไรก็ได้และคอยดูอยู่ห่างๆ แม้แต่ตอนที่ผมเจอ Growing Pain เพราะรู้ว่าพูดไปผมก็ไม่เชื่อ -- การเปิดบริษัทเองทำให้ผมได้อะไรอีกหลายอย่าง ได้เข้าใจโลกธุรกิจมากขึ้นกว่าเดิม ได้เข้าใจเจ้านายทุกคนยิ่งขึ้น จากเดิมที่มองแค่ในมุมลูกจ้างเท่านั้น ; ตอนนี้ผมกำลังกลับมาปั้นฝันใหม่ เปิดธุรกิจที่มุ่งช่วย SME เป็นหลักอีกครั้ง ... ทั้งด้านงานระบบ งานเว็บ งานคอนเทนต์ งานโซเชียลมีเดีย ฯลฯ ไว้เป็นรูปเป็นร่างจะมาเล่าให้ฟัง
(13) ห้าปีก่อน บริษัทข้อ (10) ประสบปัญหา งานผมก็น้อยลง ผมก็หาลู่ทางอื่น รับงานแปลจากต่างประเทศแทน ก็เดินดุ่มๆ หาตามออนไลน์ ศึกษา CAT Tools เองแบบเงอะๆ งั่นๆ แต่ทุกวันนี้สามารถสร้างรายได้ปีละล้านกว่าได้ทุกปีตั้งแต่ปีแรกของการทำงาน (ใครอยากรู้รายละเอียด รบกวนอ่านจากกระทู้เก่าที่อ้างอิงไว้ให้ด้านบน) เรียกว่ากลายเป็นรายได้หลักอย่างหนึ่งของผมก็ว่าได้
--------------
ที่จริงระหว่างทางยังมีอีกหลายอาชีพที่ผมทำ ไม่ว่าจะเป็นการจัดอีเวนต์ รับถ่ายทำวิดีโอ รับทำคอนเทนต์ รับจ้างทั่วไป รับทำของชำร่วย ฯลฯ
หลายงานยังทำจนถึงทุกวันนี้ แต่ไม่ได้สร้างรายได้ทุกเดือน อย่างงานอีเวนต์ปีนึงอาจจัด 4-6 ครั้ง ซึ่งคนที่ใช้บริการประจำก็เป็นลูกค้างานแปลที่ได้มาจากสิงคโปร์ หรือของชำร่วยก็ช่วยกันทำกับน้อง เป็นงานหนังทำมือ ที่ทำเฉพาะช่วงก่อนปีใหม่ ฯลฯ
ที่เจ็บตัวสุดก็คือ ผมลุยธุรกิจนิตยสารฟรีกอปปีได้หนึ่งปี แล้วก็เจ๊งไม่เป็นท่า หมดเงินไปอีกล้านกว่า ทำให้ผมเข้าใจอะไรยิ่งขึ้นว่า การปั้นธุรกิจใหม่ในดงทะเลเดือดไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ควรตะบันทำเฉพาะสิ่งที่เป็นความฝัน และคนที่เราฝากหน้าที่ไว้ต้องช่วยงานเราได้แบบที่เราต้องการ
ขณะที่งานแปลของผมล้น และยังมีความฝันอีกหลายเรื่องที่อยากทำ ผมรู้สึกว่าถึงเวลาที่จะต้องทำอะไรใหม่ๆ - ผมทยอยปลดอาชีพที่รักออกไปอย่างต่อเนื่อง ผมใช้เวลาเตรียมตัว 3 เดือน และตัดใจอีก 7 วัน เพื่อทยอยบอกเลิกงานที่รัก
ทุกวันนี้การใช้ชีวิตก็ยังเป็นแบบฟรีแลนซ์ รายได้หลักก็ยังมาจากฟรีแลนซ์ แต่กำลังปูทางเพื่อตามความฝันที่ยังไม่รู้จะเดินได้ถูกทางหรือไม่ .. หลายความฝันโดนคนอื่นแย่งทำไปแล้วจนกลายเป็นธุรกิจใหญ่โต เพราะผม "ติดกับดักฟรีแลนซ์" ผมยังมีความฝันอีกจำนวนมากที่รอให้หยิบขึ้นมาทำ และกำลังจะได้ทำ
หนึ่งในความฝันที่ว่าก็คือ การถ่ายทอดความรู้ที่ผมมีให้มากที่สุดเท่าที่เวลาอำนวย นั่นเป็นที่มาของการเปิด "เพจนี้เพื่อนักแปล" เพื่อช่วยมอบความรู้ในการสร้างอาชีพนักแปลแก่ผู้อื่น
และที่เพิ่งเปิดขึ้นมาใหม่ก็คือ เพจฟรีแลนซ์อะคาเดมี (Freelance Academy) ที่ตั้งใจรวบรวมเคล็ดลับการเป็นฟรีแลนซ์ไว้ที่นี่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้