แม่กาเหว่า2

“บรีสๆๆๆตื่นลูก สายแล้วเดียวไปโรงเรียนไม่ทัน” 06.00 น. นงนุชเปิดประตูห้องลูกสาวเข้ามาพร้อมส่งเสียงเรียกปลุกลูกสาวสุดที่รักที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียง พร้อมเดินไปรูดผ้าหม่านเปิดหน้าต่างให้แสงพระอาทิตย์เข้ามาภายในห้อง เพื่อบังคับบรีสให้ตื่นอีกแรงนึง
“แม่ๆๆยังเช้าอยู่เลย”
เด็กน้อยงัวเงียลุกนั่งทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ผมเผ้ารุงรังปิดหน้าปิดตา นงนุชเห็นแล้วก็อดสงสารลูกสาวไม่ได้ อายุเพียงแปดขวบต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปโรงเรียนในตัวจังหวัด เป็นโรงเรียนเอกชนที่ทรงพลอยากให้ลูกๆเรียน เป็นโรงเรียนคริสต์ แต่คนพุทธก็ส่งลูกไปเรียนมากมาย ทั้งที่โรงเรียนประจำหมู่บ้านก็มี แต่ทรงพลอยากให้ลูกๆได้รับสิ่งที่ดีที่สุด เพียงเพราะเขาได้มีโอกาสได้ทำหน้าที่พ่อเหมือนคนอื่น ซึ่งเขารู้ตัวดีว่าเขาทำไม่ได้ และอีกเรื่องคือไม่อยากให้ลูกๆรู้สึกขาด เพราะพ่อแม่แท้ๆของตัวเองแต่งงานมีครอบครัวใหม่แล้ว
“ลุกได้แล้ว อาบน้ำแต่งตัวเร็ว พี่บูมกับพ่อรอแล้ว”
นงนุชพูดไปก็จัดกระเป๋าให้ลูกไป บรีสอาบน้ำแต่งตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องคอยให้แม่อาบให้ ทั้งที่นงนุชก็อยากอาบให้แต่บรีสบอก หนูโตแล้ว อาบเองได้แล้ว นงนุชก็เลยปล่อยให้บรีสทำเองเลย ตัวเองก็แค่คอยถักเปียให้ เพราะบรีสถักเองไม่เป็น เด็กน้อยอาบน้ำออกมาแล้ว ตัวเปียกโชก นุ่งผ้าเช็ดตัวออกมา ด้วยความเร่งรีบนงนุชต้องเข้าไปเช็ดตัวให้ ทาแป้งแต่งตัวให้เหมือนเดิม แต่ถ้าเป็นเสาร์ อาทิตย์บรีสจะไม่ยอมให้แม่ทำให้ เพราะบรีสชอบพูดว่าบรีสโตแล้วแม่ บรีสทำเองได้ คำนี้ก็ทำเอาคนเป็นพ่อเป็นแม่บุญธรรมหัวเราะชอบใจได้ตลอดเวลาที่ได้ยิน
เมื่อสองพี่น้องแต่งตัวเสร็จแล้วทรงพลรับหน้าที่ไปรับไปส่งลูกไปโรงเรียน ปกติแล้วจะมีรถประจำหมู่บ้านที่รับส่งนักเรียนไปโรงเรียนในตัวจังหวัดประจำอยู่แล้ว แต่ทรงพลก็ไม่ยอมให้ลูกๆนั่งห่วงเรื่องความปลอดภัย แต่จริงๆแล้วเขาอยากทำให้ลูกเองมากกว่า เขามีความสุขที่ได้ปฏิบัติ สองคนพี่น้องจะได้กินมื้อเช้าในรถประจำ ทรงพลจะแวะข้างทางซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งเจ้าประจำตลอด บ้างครั้งก็นม ขนมบ้าง ลูกชิ้นบ้างเมื่อลูกๆบอกเบื่อแล้วข้าวเหนียวหมูปิ้ง กินอย่างอื่นได้มั้ยพ่อ
รถกระบะสี่ประตูขับแล่นเข้ามาจอดในโรงเรียนพระแม่มารีอย่างคุ้นเคยเหมือนเข้าออกมาสิบๆปีแล้ว ที่รั้วโรงเรียนจะมีรูปของนักเรียนที่สอบได้ที่หนึ่งทุกๆการสอบที่มีการแข่งขัน ในนั้นก็มีรูปของเด็กชาย รัตนพล มงคลกุล ที่สอบโอเน็ตระดับประถมได้อันดับที่หนึ่งของประเทศ ในวิชาคณิตศาสตร์ ทรงพลมองแล้วยิ้มๆแบบภูมิใจที่สุดที่บูมสอบได้คะแนนสูงที่สุด ยิ้มแบบบอกยามหน้าโรงเรียนว่า ลูกผมๆ ในเวลานี้ก็ยังไม่สายเท่าไหร่ ทรงพลจึงอยู่คุยกับลูกๆก่อนขับรถกลับ
“พี่บูม ปีหน้าขึ้น ม.1 แล้วพี่คิดไว้ยังจะเข้าโรงเรียนไร สาธิต ม.ขอนแก่นก็ดีนะพ่อว่า ม.มหาสารคามก็ได้ใกล้บ้านดี แต่ก็แล้วแต่พี่นะพ่อไม่บังคับ แค่สอบให้ได้ก็พอ”
“ถ้าเรียนสาธิต บูมก็ต้องพักหอ ไกลบ้านอีก กลับทีก็เสาร์-อาทิตย์ บูมเรียนที่บ้านเราดีกว่าพ่อ เรียนที่จังหวัดเราก็ดีเหมือนกัน อีกอย่างเพื่อนบูมก็ต่อที่โรงเรียนประจำจังหวัดกันหมด ไม่มีเพื่อนไปเลย”
เด็กชายคุยกับพ่อระหว่างที่รอเข้าแถว บูมตอนนี้ติดเพื่อนมากตามประสาเด็ก ที่ถ้าไม่มีเหมือนไปก็จะไม่ไปเด็ดขาด ซึ่งเขาก็มีโรงเรียนในใจกับเพื่อนๆอยู่แล้ว
เสียงออดเข้าแถวของโรงเรียนดังขึ้นเพื่อบอกให้เด็กๆมาเข้าแถวเคารพธงชาติ ทั้งสองพี่น้องไหว้ลาพ่อ แล้ววิ่งไปเข้าแถวหน้าเสาธง จากนั้นรถกระบะของทรงพลก็ค่อยๆขับเลื่อนออกจากรั้วโรงเรียนวิ่งตรงมาตามเส้นทางกลับบ้านของตัวเอง
ทรงพลไม่ลืมที่จะแวะซื้อพันธุ์หญ้าที่ใช้ปลูกขายมาด้วย ทรงพลกับนงนุชมีอาชีพทำสวน ทรงพลจบด้านสัตว์แพทย์ เขาเลือกที่จะทำธุระกิจเกี่ยวกับการเกษตร เขามีฟาร์มวัวเป็นของตัวเอง รับผสมพันธุ์วัว ฉีดวัคซินสัตว์ และปลูกหญ้าขาย ปลูกยางพารา ปลูกพืชผลไม่ต่างๆที่สามารถขายได้ อัดฟางขาย พอเป็นรายได้ให้ครอบครัว ส่วนนงนุชก็เป็นแม่บ้านให้กับทรงพล สองคนใช้ชีวิตตามประสาคนบ้านนอกต่างจังหวัด นอกจากนี้เขายังมีหอพักย้านมหาวิทยาลัยให้นักศึกษาเช่าอีกด้วย อาชีพพวกนี้ก็สามารถทำรายได้ให้เขาได้มหาสาร เพียงแค่ไม่ขี้เกรียจ เราทำเราก็ได้ เป็นนายตัวเอง และใครบอกเกษตรกรจน ไม่จริงเลย ไม่รวยเหมือนนักธุระกิจ แต่ก็ไม่ได้ยากจนค้นแค้นอะไร ที่บ้านของทรงพลมีทุกอย่าง
สองคนผัวเมียมีความสุขในการใช้ชีวิตแบบนี้ กับข้าวทุกมื้อแทบที่จะไม่ได้ซื้อเลย เก็บจากที่ตัวเองปลูกไว้มาทำกับข้าวก็มากพอแล้ว นอกจากครอบครัวตัวเองจะไม่ได้ซื้อแล้ว ยังเผื่อไปยังครอบครัวน้องๆ ญาติๆด้วยดังนั้นทรงพลกับนงนุชจึงเป็นที่รักของพี่ๆน้องๆทุกคน เพราะพวกเขาไม่ได้เสียตังค์ซื้อผักมาประกอบอาหารสักครั้งเลย
เมื่อถึงเวลาบ่ายแก่ๆแล้ว ถึงเวลาที่คุณพ่อแบบทรงพลต้องไปรับลูกๆกลับจากโรงเรียนแล้ว นี่ก็เป็นกิจวัจประจำวันของทรงพลอีกอย่างนึง ที่ต้องทำทุกๆจันทร์ถึงศุกร์ ทรงพลขับรถไปในเมืองอีกครั้ง ขับไปตามทางที่เขาใช่ประจำ ซึ่งทางที่ไปโรงเรียนของลูกๆจะมีสองทาง
ทางที่เขาเลือกใช้แม้จะไกลไปนิดนึงแต่เขาก็ได้เหยียบ แต่ทางที่ใกล้รถติดเพราะมันเป็นเส้นทางที่ต้องเข้าในตัวเมือง รถสัญจรไปมาเยอะ ทำให้รถขยับได้ช้ากว่าจะถึงที่หมายก็มีค่าเท่าเดิม ดังนั้นทรงพลจึงเลือกเส้นทางนอกเมือง แม้จะไกลแต่ก็ได้เหยียบ ก็ถึงแป๊บเดียว
เมื่อทรงพลมาถึงโรงเรียน ขับรถเข้าไปจอดที่จอดรถผู้ปกครองแล้วก็เห็นเด็กน้อยสองคนพี่น้อง จูงมือกันมาเดินมาทางตัวเอง เขามองแล้วเขาก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ เขามีความสุข ในใจเขาก็คิดว่าทำไม บูมกับบรีสไม่เกิดเป็นลูกเขาจริงๆนะ ถ้าเป็นลูกเขาจริงๆคงดีกว่านี้ ที่ว่าคงดีกว่านี้คือจะได้ไม่มีเรื่องพ่อแท้ๆของลูกๆมาเกี่ยวข้อง เขาไม่อยากให้ลูกๆต้องไปอยู่ห่างไกลตัวเองถึงกรุงเทพช่วงปิดเทอม เขาไม่รู้ว่าเด็กๆจะโดนอะไร จะเจออะไรบ้าง แม้จะมีการวิดีโอคอลเห็นหน้ากันก็ตาม เขาก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ ทรงพลก็คิดปลอบใจตัวเองถึงไม่ใช่ลูกแท้ๆก็เป็นหลานแท้ๆ คิดสะว่าลูกเรานั้นแหละ แค่ไปฝากไว้ที่ท้องน้องสาวเขาแต่นั้นเอง
บางครั้งทรงพลก็คิดจะเซี่ยมลูกๆให้เกลียดพ่อตัวเอง แต่ก็ได้แค่คิด เพราะเขาคิดว่าแค่บูมกับบรีสเป็นลูกบุญธรรมเขา เขายังรักขนาดนี้ แล้วพ่อแท้ๆของลูกเขาจะรักลูกเขาขนาดไหน แค่เขายอมให้เลี้ยงลูกดูแลลูกเขายอมให้เป็นพ่อแม่บุญธรรมก็บุญมากพอแล้ว แต่ทรงพลก็ไม่บังคับที่ลูกๆจะไม่ไปหาพ่อแท้ๆเขาช่วงปิดเทอม ยิ่งดีถ้าเทอมไหนที่บรีสงอแงไม่ไป ทรงพลจะไม่พูดถึงเลย และเขาก็มีน้องสาวเขาอีกแรงนึงที่พูดแทนเขา ที่ห้ามแทนเขา ที่ขัดขวางพ่อแท้ๆของลูกแทนเขาแล้ว
เมื่อเด็กๆเลิกเรียนแล้ว กิจกรรมต่อไปคือเรียนพิเศษหลังเลิกเรียน ทรงพลไม่บังคับว่าจะเรียนอะไร ทรงพลให้ลูกๆเลือกเรียนตามใจชอบ จะเรียนอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องวิชาการ บูมเลือกเรียนที่เป็นวิชาการ เพราะเขาชอบทางนี้ เขาอยากเรียนวิศวะเขาบอก โตขึ้นเขาจะเป็นนักวิศวะกรสร้างทางรถไฟฟ้าเขาบอก ส่วนบรีสเรียนฟ้อนรำในวงโปรงลาง ทรงพลพาเด็กๆไปส่งไว้ที่เรียนพิเศษ และเขาก็มาจอดรถนอนรอที่ส่วนสาธารณะของจังหวัด เขาเห็นผู้คนมากมายที่พากันมาวิ่งออกกำลังกาย มาคนเดียวบ้าง มาเป็นคู่บ้าง ทำให้เขาอดคิดถึงสมัยเขาหนุ่มๆกับนงนุชไม่ได้เลย ที่สมัยก่อนก็เคยแอบพ่อแม่ทั้งสองคนมานั่งเล่นจีบกันที่ตรงนี้ ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปกว่าเดิมมาก มีสิ่งก่อสร้างเกิดขึ้นมามาย ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
เขานั่งมองผู้คนมาวิ่งออกกำลังกายได้พักนึงก็มีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้า หยิบขึ้นมาดูก็เป็นเบอร์ของบูมนั้นเอง แปลว่าเด็กๆเรียนพิเศษเสร็จแล้วถึงเวลาต้องกลับบ้านกันแล้ว ทรงพลก็ขับรถไปรับลูกๆจากที่เรียนพิเศษแล้วก็พากลับบ้านเลย เพราะที่บ้านนงนุชทำกับข้าวรอแล้ว เมื่อถึงบ้านทุกคนรับประทานอาหารค่ำกันพร้อมหน้าพร้อมตากัน เป็นภาพที่นงนุชกับทรงพลวาดฝันเเาไว้ และฝันของเขาก็เป็นจริงแล้ว
“พี่บูมพี่เอาแกงหน่อไม้ไปให้แม่ไป”
นงนุชตักแกงในหม้อใส่ถ้วยแล้วใช้ให้บูมเอาไปให้น้องสาวทรงพล คือแม่แท้ๆของบูมนั้นเอง
“คับ แม่นุชเอาน้องเบลมานอนด้วยนะ”
“มาแล้วก็ร้องแงๆกลับบ้านอีก ไม่พาไปส่งด้วยเด้อ ”
สองพี่น้องคุยกัน บรีสพูดพร้อมทำหน้าเลียนแบบคนกำลังร้องไห้ ที่เหมือนรำคาญเต็มทีเมื่อ น้องเบลน้องแม่เดียวกันแต่คนละพ่อของตัวเองที่อยากมาแล้ว ตอนดึกๆต้องร้องไห้กลับบ้านไปหาพ่อกับแม่ทุกที
ทั้งบ้านหัวเราะเฮฮา กับท่าคนร้องไห้ของบรีส แต่ทั้งบรีสและบูมก็ไม่ได้รังเกลียดน้องต่างพ่อแต่อย่างใด ด้วยการสอนของทรงพลด้วย ที่ไม่ให้เกลียดน้อง ให้รักน้อง ก็น้องเหมือนกัน มีแม่คนเดียวกัน  และแม่แท้ๆของทั้งสองคนที่ไม่ได้ปล่อยปะละเลยลูกๆ แม้จะมีพี่ชายกับพี่สะใภ้ดูแลแทนก็ตาม
—————————————————————-
ตอนนี้จบแค่นี้นะคะ เดียวมีต่อนะคะ เรื่องนี้ยาวๆเลยค่ะ
เขียนไม่ลื่นหู ขัดใจบ้าง เนื้อเรื่องวกวนไม่เข้าใจบ้าง ต้องขอภัยนะคะ 🙏🏿🙏🏿
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่