เรื่องสั้น "ยุวอา" โดย นภัสวีร์ รอดระกำ

ธนกฤต หรือ แฟร์ อายุ 30 ปี เขามีรูปร่างสูงใหญ่ ผิวดำคล้ำ หน้ายาวรูปไข่ หน้าผากเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน จมูกเล็กและบาน ไม่มีดั้ง ร่องจมูกลึกและสั้น ริมฝีปากล่างหนากว่าริมฝีปากบน ปากแดงราวเปลือกผลแอปเปิล หูเล็กไม่เข้ากับใบหน้าบานๆ ของเขา ติ่งหูหนา รูปทรงหูคล้ายหูพระพุทธรูปแต่ไม่ยาน หูไม่กาง ไว้หนวดเคราเล็กน้อย คิ้วสีดำขึ้นดกในส่วนของต้นคิ้วแล้วค่อยๆ ลดหลั่นจนกระทั่งบางในส่วนปลายคิ้ว นอกจากนี้ ปลายคิ้วยังตวัดขึ้นข้างบน ดวงตาสองชั้นสีดำ ตาหยี ขนตาสั้นจนแทบมองไม่เห็น เขาสวมแว่นตากรอบสี่เหลี่ยมสีดำเพราะสายตาสั้น อนึ่งใบหน้านั้นมีน้ำมีนวลเพราะธนกฤตนั้นอ้วนถึง 120 กิโลกรัม ผมสีดำตัดรองทรงอย่างเรียบร้อยตามประสาอาชีพครูซึ่งค่อนข้างอนุรักษ์นิยม ส่วนสูง 173เซนติเมตร ซึ่งเมื่อคำนวณดัชนีมวลกายแล้วถือว่าทะลุ 40 ซึ่งหมายถึง "อ้วนเกินพิกัด" แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาคือโรคหัวใจ เบาหวาน และความดันโลหิตสูง ซึ่งกำลังมาเยือนในไม่ช้า
ธนกฤตแต่งกายด้วยชุดเสื้อเชิร์ตสีชมพู แลกางเกงสแล็กสีกรมท่า ผนวกกับรองเท้าคัตชูสีดำคล้ำ สอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนวัดพิยดานฤมิต โรงเรียนเล็กๆ ในอำเภอเล็กๆ ของจังหวัดนครศรีธรรมราช ความจริงอำเภอร่อนพิบูลย์เคยใหญ่มาก่อน แต่ถูกแบ่งเนื้อที่ให้อำเภอจุฬาภรณ์ แลอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จนเนื้อที่เหลือน้อยแลมิใช่อำเภอที่มีบทบาทสำคัญนักในจังหวัดเมื่อเทียบกับอำเภอใหญ่ๆ อย่างอำเภอเมืองฤาอำเภอทุ่งสง หนำซ้ำเนื้อที่กระจิ๋วหลิวที่ทางหลวงหมายเลข 41 ทอดผ่าน ก็มิช่วยยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจของอำเภอแต่อย่างใด
ธนกฤตสอนวิชาวิทยาศาสตร์ เขามีความชื่นชอบในวิชาวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่ครั้งยังเด็กแล้ว ตอนมัธยมศึกษาตอนปลาย เขาเรียนแผนวิทย์-คณิต ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งย่านมณฑลทหารบกที่ 41 กระทั่งชั้นอุดมศึกษา เขาเรียนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช หลักสูตรครุศาสตร์เอกวิทยาศาสตร์ บ้านของเขาอยู่ในอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช แถวย่านชุมชนที่เรียกกันว่า "หัวอิฐ" ซึ่งห่างจากโรงเรียนที่เขาทำการสอนเกือบ 40 กิโลเมตร ทุกๆ เช้ายกเว้นเสาร์ - อาทิตย์ เขาจักขับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูรุ่นนกแก้ว หรือ bmw 3 serie e 36 คันสีน้ำเงินเข้มซึ่งเป็นรถยุค 90 หนำซ้ำยังเป็นรถมือสองที่เขาได้จากคุณตาของเขาเพื่อขับไปโรงเรียน แทนที่จักเสียเวลานั่งรถสองสามทอดไปต่างอำเภอ
เย็นวันนี้เป็นวันที่พิเศษ อากาศเย็นสบาย มีเมฆมาก เมฆสีขาวดังสำลีจับกลุ่มกันเป็นก้อน เมื่อพิศดูอาจคล้ายวัตถุบางชนิดหรือใบหน้าคน ก็สุดแต่จักจินตนาการได้ ทั้งนี้อากาศกลางเดือนมกราคม 2568 ค่อนข้างแห้งแล้ง หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งอุทกภัยเมื่อปลายปี บัดนี้ฝนไม่ตกเลยสักเม็ด อากาศร้อนแลแห้งแล้ง อุณหภูมิระหว่าง 26-33 องศาเซลเซียส 
ที่กล่าวว่าวันนี้เป็นวันพิเศษก็เพราะว่า เย็นวันนี้ ธนกฤตนัดเจอกับญาติผู้หนึ่งที่ร้านปิ้งย่างของชาวอิสลามชื่อว่า "แองเจิล กุ้งกระทะ" บนถนนกะโรมย่านหัวอิฐนี่เอง 
...
ชายผู้ที่ธนกฤตนัดเจอชื่อ ณัฐพล หรือตอง อายุ 17 ปี เขาเป็นชายรูปร่างผอม สูง 168 เซนติเมตร น้ำหนัก 48 กิโลกรัม หน้าผากแคบ ผมดำถูกตัดรองทรงสั้นไว้หน้าม้า ใบหน้ารูปไข่ ผิวคล้ำ คิ้วดำดกหนาปลายคิ้วตวัดขึ้นข้างบน ดวงตาสองชั้นสีดำ ลักษณะตาจัดว่าเป็นคนตาลอย ขนตาสั้นจนแทบมองไม่เห็น สันจมูกตรงมีดั้งสวยงามเหมือนลูกชมพู่ที่เหยียดตรงน่ารับประทาน ร่องจมูกลึกแลยาว ริมฝีปากล่างหนากว่าริมฝีปากบน ริมฝีปากสีดำคล้ำเนื่องจากเจ้าตัวชอบสูบบุหรี่เป็นชีวิตจิตใจ ใบหูยาวแลค่อนข้างกาง ติ่งหูหนาแลยานเล็กน้อย อีกทั้งยังเป็นคนคอยาว 
ณัฐพลเรียนสายอาชีพ โดยเรียนสาขาช่างยนต์ที่วิทยาลัยแห่งหนึ่งตรงข้ามสนามกีฬาจังหวัด เขาแต่งกายด้วยกางเกงสแล็กขาเดฟสีกรมท่า เสื้อช็อปสีกรมท่าล้วนยกเว้นคอปกที่เป็นสีเขียว กระเป๋าเสื้อตรงหน้าอกด้านซ้ายปักโลโก้ของวิทยาลัย ส่วนหน้าอกด้านขวาปักชื่อแลนามสกุลของเขาด้วยด้ายสีขาว เขาสวมรองเท้าผ้าใบสีดำ
    บัดนี้ณัฐพลยืนรอธนกฤตหน้าร้านแองเจิลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาหยิบบุหรี่แอลเอ็มซองสีแดงออกมาหนึ่งมวนแล้วใช้ไฟแช็กจุดบุหรี่สูบอย่างสบายอุระ บางจังหวะเขาคีบบุหรี่ไว้ในปากแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือดูคลิปวิดีโอที่ไม่ค่อยจะมีสาระนักในติ๊กต็อก ก่อนจะเอาโทรศัพท์มือถือเก็บไว้ในกระเป๋าแล้วเอามือคีบบุหรี่ออกจากปากจากนั้นพ่นควันปุ๋ยๆ แล้วคาบไว้ในปากตามเดิม
   ประมาณ15 นาทีหลังจากที่ณัฐพลเริ่มสูบบุหรี่มวนแรก รถบีเอ็มรุ่นนกแก้วของธนกฤตก็แล่นมาจอดหน้าร้านแองเจิลกุ้งกระทะ รถถูกดับเครื่องยนต์ในอีกนาทีต่อมา ธนกฤตเปิดประตูรถพร้อมยกมือไหว้ณัฐพล
"สวัสดีครับอาตอง" ธนกฤตจำนรรจ์
ณัฐพลรับไหว้แล้วพาทีขึ้นมาว่า "สวัสดีครับพี่แฟร์ 
ความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นอย่างไรกันแน่?
...
ความจริงแล้ว ณัฐพลมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของบิดาของธนกฤต เพราะเนื่องจากบิดาของณัฐพลนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องกับปู่ของธนกฤตอีกทีหนึ่ง ความสัมพันธ์ฉันเครือญาติที่ดูสลับซับซ้อน ทำให้ชายวัย17 มีศักดิ์เป็นอาคนวัย 30 ได้
   แต่กระนั้นแล้วเมื่อณัฐพลเกิดมาลืมตาดูโลกแล้วเห็นธนกฤตซึ่งดูแก่กว่าเขาหลายปี อาจเพราะมโนสำนึกแลความเคอะเขินเหนียมอาย ทำให้ณัฐพลไม่อยากยอมรับสถานะ "คุณอา" ของเขาเท่าไร ฉันนั้นเขาเลยเรียกธนกฤตว่า "พี่แฟร์"
...
ทั้งสองนั่งในร้านแองเจิลหมูกระทะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกจากเตาปิ้งย่างแบบเตาหมูกระทะทั่วไป สิ่งที่คลาคล่ำบนโต๊ะคือผักแลเนื้อสัตว์นานาชนิด ยกเว้นเนื้อหมูที่ไม่มี เนื่องจากเจ้าของร้านนับถือศาสนาอิสลาม         บัดนี้ทั้งธนกฤตและณัฐพลกำลังขะมักเขม้นในการปิ้งย่างเนื้อสัตว์บนเตาร้อนๆ ที่ใช้ถ่านเป็นเชื้อเพลิง 
ครั้นแล้วจู่ๆ ธนกฤตก็ถามโพล่งขึ้นมา
"ช่วงนี้อาตองสบายดีนะครับ"
"ผมไม่ค่อยสบายเท่าไหร่น่ะสิพี่แฟร์"
"อ้าว ทำไมเหรอครับ"
"เทอมนี้เจอแต่วิชายากๆ ต้องเรียนคณิตสองตัว คือคณิตอุตสาหกรรม กับคณิตช่างยนต์ ไหนจะภาษาอังกฤษสำหรับสถานประกอบการอีก แล้วก็วิชาจักรยานยนต์ วิชาเครื่องยนต์เล็ก แถมฝึกงานอีกต่างหาก ท้อว่ะพี่แฟร์"
ธนกฤตยิ้มให้คุณอาตัวน้อยแล้วพูดว่า "สู้ๆ นะครับอาตอง ผมเป็นกำลังใจให้" 
"ขอบใจพี่แฟร์"
...
ธนกฤตแลณัฐพลก้มหน้าก้มตาทานปิ้งย่างอย่างไม่ลดละ อนิจจาที่จังหวะหนึ่งซึ่งธนกฤตก้มหน้าก้มตาทานอย่างเอร็ดอร่อยนั้น มีสายตาเจ้าเล่ห์อำมหิตแอบมองเขาอย่างมีเลศนัย มันคือสายตาของสัตว์นักล่าผู้หิวโหยที่พบเห็นได้ทั่วไปตามสารคดีสัตว์โลก หากแต่นี่เป็นสายตามนุษย์ การพบเจอสายตาแบบนี้บ่อยครั้งมิใช่เรื่องดีแน่นอน
...
การรับประทานอาหารของสองอาหลานผ่านไปกว่า1 ชั่วโมง 30 นาทีแล้ว อยู่ๆ ณัฐพลก็พูดโพล่งขึ้นมาถึงคำขอร้องอะไรบางอย่างแก่ธนกฤต
"พี่แฟร์ กินเสร็จแล้วพี่ช่วยไปดูไฟที่ห้องผมหน่อยดิ มันไม่ติด"
"อ้าวอาตอง อาตองเรียนช่างไม่ใช่เหรอ ทำไม่ไม่เช็กเองล่ะ"
"จะบ้าเหรอพี่แฟร์ ผมเรียนช่างยนต์นะไม่ใช่ช่างไฟ" ณัฐพลพูดอย่างมีน้ำโหนิดหน่อย 
ธนกฤตยิ้มเจี๋อนๆ เมื่อได้ยินคุณอาตัวน้อยจำนรรจาออกมา จากนั้นเขาจึงพูดกับณัฐพลว่า
"ครับๆ ได้เลยครับอา เดี๋ยวผมจะไปดูให้"
ธนกฤตเคยมีประสบการณ์ด้านไฟฟ้ามาก่อน เขาเคยเปลี่ยนหลอดไฟ บัลลาสต์ สตาร์ตเตอร์ให้ที่บ้านของตนเองรวมทั้งบ้านของณัฐพล รวมทั้งเคยเปลี่ยนปลั๊กไฟเครื่องใช้ไฟฟ้า แลเคยเปลี่ยนสวิตซ์ไฟจากของเก่าให้เป็นของใหม่เอี่ยม ณัฐพลจำความได้ว่าเมื่อเขายังเด็กกว่าตอนนี้ เขาเห็นธนกฤตยืนบนเก้าอี้ที่บ้านของเขาเพื่อเปลี่ยนบัลลาสต์ของหลอดไฟห้องครัว ซึ่งเป็นหลอดวงเดือน เดิมทีมันยังใช้การได้ แต่เจ้าบัลลาสต์โกโรโกโสอันเก่ากึ๊กมันดังหึ่งๆ ซะจนน่ารำคาญ ด้วยเหตุนี้เองแม่ของณัฐพลจึงไปตามธนกฤตมาช่วยแก้ปัญหา เมื่อธนกฤตมาดูจึงพบว่าบัลลาสต์เสีย เขาเลยขอเงินแม่ของณัฐพลจำนวนหนึ่งแล้วปั่นจักรยานไปซื้อบัลลาสต์ที่ร้าน "ก้องเกียรติการไฟฟ้า" ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านราวครึ่งกิโลเมตร จากนั้นจึงปั่นกลับมาแล้วจัดแจงสับเบรกเกอร์ที่เขียนว่าห้องครัวลง แล้วใช้ไขควงปากแบนหมุนเพื่อแงะเอาบัลลาสต์เก่าบุโรทั่งออกมา คุณพระช่วยบัลลาสต์ที่ปลดออกมานั้นปี้ป่นผุพังไม่มีชิ้นดี จากนั้นเขาจึงติดตั้งบัลลาสต์ตัวใหม่แล้วต่อวงจรเหมือนเดิม ยกเบรกเกอร์ขึ้น ไฟก็ติดดังเดิม ไร้ซึ่งเสียงหึ่งๆ ให้รำคาญใจ
...
​จากที่ทั้งสองคนทานอาหาร ณ ร้าน "แองเจิล กุ้งกระทะ" เสร็จเรียบร้อยโรงเรียนวัดพิยดาแล้ว ธนกฤตก็เดินไปที่รถโดยมีณัฐพลติดสอยห้อยตามไปด้วย ธนกฤตขับรถผ่านซอยต่างๆ ไม่กี่ซอย จนกระทั่งรถบีเอ็มนกแก้วของเขาผ่านสำนักงานทางหลวงที่ 16 ตรงข้ามสำนักงานทางหลวงนี่เองมีซอยเล็กๆ อยู่ เขาเลี้ยวซ้ายเข้าไปราวๆ เกือบหนึ่งกิโลเมตรเห็นจักได้ ในที่สุดก็มาถึงบ้านปูนสองชั้นหลังหนึ่ง มันคือบ้านของณัฐพลนั่นเอง
   ความจริงบ้านของธนกฤตก็อยู่ไม่ไกล มันเป็นบ้านปูนสองชั้นติดๆ กันกับบ้าน
ของณัฐพล มันช่างเหมือนเพลงคนข้างบ้านของป๋าเบิร์ด ธงไชย ที่ร้องว่า
"เกิดจากเรา บ้านมันปลูกติดกัน ปลูกติดกันพอดี เปิดหน้าต่างทุกที ทุกทีหน้าเราก็ชนกัน"
มันเป็นเพลาหนึ่งทุ่มเศษ  ธนกฤตเปิดประตูรถออกมา ในขณะที่ณัฐพลเปิดประตูรถแลออกมาจากนั้นดึงบุหรี่แอลเอ็มซองแดงจากซองแล้วคีบไว้ในปาก แล้วเอาไฟแช็กที่ติดกระเป๋ากางเองออกมาแล้วจุดมัน ธนกฤตสังเกตเห็นความผิดปกติอะไรบางอย่าง ใน บ้านมืดตึ๊ดตื๋อ ไม่มีใครเปิดไฟ หนำซ้ำคำถามสำคัญที่เขาจักเอ่ยถามคุณอาตัวน้อยของเขาคือ 
"พ่อกับแม่ไปไหน"
ณัฐพลพยักหน้าแล้วตอบ
"พ่อกับแม่ไปเยี่ยมตากับยายที่ลาดหลุมแก้ว ปทุมธานี" 
"อ๋อ"
สิ่งที่ณัฐพลพูดนั้นเป็นความจริง เพราะน้องสาวของแม่ของณัฐพลนั้น หล่อนซื้อบ้านไว้ที่ลาดหลุมแก้วจริงๆ เนื่องจากหล่อนทำงานเป็นครูสอนพยาบาลที่วิทยาลัยพยาบาลของจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งก็ถือว่าขับรถไปสบายๆ จากลาดหลุมแก้ว โดยผ่านทางหลวงหมายเลข 340 บางบัวทอง- สุพรรณบุรี
 บ้านที่น้าสาวของณัฐพลซื้อนั้นเป็นบ้านจัดสรรราคา 8 ล้านบาทอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ณ ลาดหลุมแก้ว แลน้าสาวของณัฐพลก็พาตากับยายไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นด้วย นานๆ ทีครอบครัวของณัฐพลจักไปที่บ้านหลังนั้นเพื่อไปเยี่ยมตากับยาย แต่คราวนี้ณัฐพลไม่ได้ไปด้วยเพราะไม่ได้อยู่ในช่วงปิดภาคเรียน พ่อกับแม่ของณัฐพลเลยไปเยี่ยมตากับยายโดยทิ้งณัฐพลไว้เพียงลำพัง  ในขณะที่ไฟห้องนอนก็ยังมาเสียอีก 
   ณัฐพลคาบบุหรี่แล้วหากุญแจในกระเป๋าเพื่อเปิดบ้าน จากนั้นเขากับธนกฤตหลานชายก็ถอดรองเท้าแล้วเข้าบ้านด้วยกัน
ทั้งคู่ขึ้นบันไดไม้เพื่อไปสู่ชั้นสองตรงห้องของณัฐพล
เมื่อขึ้นบันไดมาถึงชั้นสอง เดินอีกไม่กี่ก้าวก็จักพบห้องๆ หนึ่งที่ปิดประตูมุ้งลวดแลประตูไม้ไว้ ณัฐพลเปิดมันออก จากนั้นเขาเอามือเปิด-ปิดสวิตซ์ไฟ เพื่อแสดงให้ธนกฤตดูว่าไฟไม่ติดจริงๆ 
"นี่อะพี่แฟร์...ไฟไม่ติด"
ธนกฤตพยายามดูหลอดไฟแต่มันมืดมาก มองไม่เห็น ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงถามณัฐพลว่า 
"มีไฟฉายไหม"
"มีครับ"
ณัฐพลรีบวิ่งลงบันไดไปชั้นล่างเพื่อไปเอาไฟฉายในตู้ลิ้นชักใกล้กับห้องครัว แล้วรีบวิ่งขึ้นมาให้ธนกฤต 
"นี่ครับ"
ธนกฤตสบตาณัฐพล ณัฐพลสบตาธนกฤตชั่วครู่หนึ่งราวกับนางเอกสบตาพระเอกในละครหลังข่าว 
"ขะ...ขอบคุณ" 
ธนกฤตเอาเก้าอี้แบบมีพนักพิงที่สอดไว้ใต้โต๊ะเขียนหนังสือของณัฐพลออกมา เขาประเมินว่าคงยืนบนเก้าอี้เปลี่ยนหลอดไฟไม่ได้ เนื่องด้วยน้ำหนักที่มากเกินพิกัดของเขา อาจจักทำให้เก้าอี้พังและชายหนุ่มวัย30 ปีจักได้รับบาดเจ็บ
ฉับพลันณัฐพลอ่านใจธนกฤตออก เขาจึงพูดโพล่งออกมาว่า
"เอาบันไดมั้ยพี่แฟร์"
"มีเหรอ"
"มีดิ"
ธนกฤตนิ่งไปชั่วครู่ก่อนตอบกลับไป
"เอามาหน่อย"
คุณอาตัวน้อยเลยต้องลงบันไดอีกรอบเพื่อไปเอาบันไดที่พาดไว้ในห้องครัวขึ้นมาให้หลานชายวัยฉกรรจ์ เมื่อเขานำขึ้นมาแล้วธนกฤตจัดแจงวางบันไดแล้วปีนขึ้นแลสาดไฟฉายใส่หลอดไฟทันที
มันเป็นหลอดไฟแอลอีดีชนิดT8 หลอดสั้นมีจำนวนวัตต์เพียง 18 วัตต์เท่านั้น หลอดชนิดนี้พิเศษตรงที่ไม่ต้องใช้บัลลาสต์และสตาร์ตเตอร์ แลไม่ต้องเปลี่ยนรางใหม่ เพียงถอดสตาร์ตเตอร์ (หรืออาจถอดบัลลาสต์ด้วยถ้าสะดวก) จากนั้นก็สวมหลอดชนิดนี้เสียบขั้วรางหลอดแอลอีดีเดิม แล้วกดสวิตซ์ไฟเป็นอันใช้ได้
...
 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่