วันนี้ไปเรียนพิเศษมาแล้วบังเอิญถามว่า ข้อใดคือการปรับตัวของปลากระโห้ แล้วคำตอบก็เป็นพวกการขับถ่ายปัสสาวะของปลาชนิดนี้ คำถามข้อนี้ตอบไม่ยากถ้ารู้ว่ากระโห้เป็นปลาน้ำจืดหรือเค็ม เราตอบด้วยความมั่นใจว่าเป็นปลาน้ำเค็มเพราะจำมาจากกลอนพระอภัยมณีตอนหนีนางผีเสื้อสมุทร
พระโฉมยงองค์อภัยมณีนาถ
เพลินประพาสพิศดูหมู่มัจฉา
เหล่าฉลามล้วนฉลามตามกันมา
ค่อยเคลื่อนคลาคล้ายคล้ายในสายชล
ฉนากอยู่คู่ฉนากไม่จากคู่
ขึ้นฟ่องฟูพ่นฟองละอองฝน
ฝูงพิมพาพาฝูงเข้าแฝงวน
บ้างผุดพ่นฟองน้ำบ้างดำจร
กระโห้เรียงเคียงกระโห้ขึ้นโบกหาง
ลอยสล้างกลางกระแสแลสลอน
มังกรเกี่ยวเลี้ยวลอดกอดมังกร
ประชุมซ่อนแฝงชลขึ้นวนเวียน
ฝูงม้าน้ำทำท่าเหมือนม้าเผ่น
ขึ้นลอยเล่นเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน
ตะเพียนทองท่องน้ำนำตะเพียน
ดาษเดียรดูเพลินจนเกินมา
เห็นละเมาะเกาะเขาเขียวชอุ่ม
โขดตะคุ่มเคียงเคียงเรียงรุกขา
จะเหลียวซ้ายสายสมุทรสุดสายตา
จะแลขวาควันคลุ้มกลุ้มโพยม
จะเหลียวดูสุริย์แสงเข้าแฝงเมฆ
ให้วิเวกหวาดองค์พระทรงโฉม
ฟังสำเนียงเสียงคลื่นดังครื้นโครม
ยิ่งทุกข์โทมนัสในฤทัยทวี
ตอนฝึกท่องบทนี้เห็นชื่อปลากระโห้อยู่ด้วยเลยคิดว่าเป็นปลาทะเล เพราะมันมีทั้งฉลาม พิมพา(ฉลามเสือ) ม้าน้ำแถมยังมีนางเงือกกับผีเสื้อสมุทรด้วย
แต่พอเฉลยกับกลายเป็นว่ากระโห้เป็นปลาน้ำจืด เราเลยลองเสิร์ชดูปรากฎว่ามันเป็นปลาน้ำจืดจริงๆ ตอนนี้เริ่มไม่มั่นใจละ พอลองเสิร์ชดูปลาตัวอื่นอีกก็พบว่าปลามังกรกับปลาตะเพียนทองก็เป็นปลาน้ำจืดเหมือนกัน(ทำไมพึ่งสังเกตวะ) ทำไมกลอนที่น่าจะพูดถึงแต่ปลาทะเลกลับมีปลาน้ำจืดด้วยหรือสุนทรภู่จะไม่รู้ แต่สมัยนั้นเรื่องการเดินเรือทางทะเลก็น่าจะมีแล้วแถมอีกฝ่ายก็ได้ชื่อว่าเป็นกวีที่ดังมากๆและควรแต่งอย่างมีคุณภาพเหมือนกาพย์เห่ชมปลาที่ร่ายชื่อปลาน้ำจืดออกมาอย่างถูกต้องสิ เราก็เลยไปลองเสิร์ชชื่อปลาทั้งหมดใหม่แล้วก็ได้ค้นพบว่า..
ฉลาม-ไม่ระบุชนิด (สามารถเป็นทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม)
ฉนาก-ปลากระดูกอ่อนคล้ายฉลามสามารถอยู่ได้ทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม(เฮ้ยยย)
พิมพา-ฉลามเสือ หากินตามปากแม่น้ำได้ก็อาจจะอยู่แถวน้ำจืดได้(?)แต่คงไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่น้ำจืดแบบถาวรได้หรอก
กระโห้-โคตรปลาน้ำจืด
มังกร-ปลาน้ำจืดเซม
ม้านำ้-อาจหมายถึง’จิ้มฟันจระเข้’ม้าน้ำชนิดหนึ่ง พบได้ในน้ำทุกชนิด
ตะเพียนทอง-ปลาน้ำจืด (แต่มันก็เป็นชื่ออีกชื่อหนึ่งของฉลามเสือเช่นกัน เหมือนกับชื่อพิมพา)
จากผลการค้นคว้าแบบไม่เป็นทางการ มีความเป็นไปได้ว่าตำแหน่งที่พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทรอาจเป็นน้ำกร่อยหรือน้ำจืดก็ได้เช่นกัน ถ้าเป็นตามข้อมูลด้านบนก็ไม่แปลกเท่าไหร่แถมนางเงือกจากหลายๆตำนานก็สามารถอยู่ในน้ำจืดได้เช่นเดียวกัน แต่...นางผีเสื้อสมุทรละ คาแรกเตอร์ของนางก็ควรอยู่ในมหาสมุทรสมชื่อสิ แต่ถ้าเปลี่ยนจากนางผีเสื้อสมุทรเป็นผีเสื้อน้ำกร่อย ทุกอย่างก็จะลงตัวพอดี หรือจริงๆแล้วผีเสื้อสมุทรก็เหมือนนางเงือกที่อยู่ได้ทุกที่ขอแค่มีน้ำก็พอ ทุกๆคนมีความเห็นอย่างไรก็มาแลกเปลี่ยนกันได้นะคะ ไม่ว่าความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังบทกลอนจะเป็นเช่นไร(หรือสุนทรภู่แต่งโง่ๆให้คนเขาคิดมากเอง) ขอให้ทุกคนจงคิดว่ามันเป็นกลอนเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้สาระอะไรเลยนอกจากการใช้ภาษาและความบันเทิง แถมยังทำให้ใครบางคนเข้าใจผิด(เรานี่แหละ) อีกทั้งยังต้องให้คนรุ่นหลังต้องมานั่งจำ ท่องเป็นทำนองเสนาะโดยที่ยังไม่รู้เลยว่าจำไปแล้วจะเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันยังไง นั้นแหละคือทั้งหมดที่เราจะกล่าวฝากเอาไว้
ขอบคุณค่ะ
ปล.อย่าด่าว่าเราบ้านะคะ ถึงพิมพ์ไปยาวเหยียดเมือนใช้เวลาศึกษามานานแต่จริงๆแล้วชั่วโมงเดียวก็เสร็จ คงไม่มีใครมานั่งโง่ศึกษาเรื่องที่รู้ไปก็ไม่ได้อะไร มาทั้งวันกันหละ
ผีเสื้อสมุทรเป็นยักษ์น้ำจืดหรือยักษ์น้ำเค็มคะ?
พระโฉมยงองค์อภัยมณีนาถ
เพลินประพาสพิศดูหมู่มัจฉา
เหล่าฉลามล้วนฉลามตามกันมา
ค่อยเคลื่อนคลาคล้ายคล้ายในสายชล
ฉนากอยู่คู่ฉนากไม่จากคู่
ขึ้นฟ่องฟูพ่นฟองละอองฝน
ฝูงพิมพาพาฝูงเข้าแฝงวน
บ้างผุดพ่นฟองน้ำบ้างดำจร
กระโห้เรียงเคียงกระโห้ขึ้นโบกหาง
ลอยสล้างกลางกระแสแลสลอน
มังกรเกี่ยวเลี้ยวลอดกอดมังกร
ประชุมซ่อนแฝงชลขึ้นวนเวียน
ฝูงม้าน้ำทำท่าเหมือนม้าเผ่น
ขึ้นลอยเล่นเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน
ตะเพียนทองท่องน้ำนำตะเพียน
ดาษเดียรดูเพลินจนเกินมา
เห็นละเมาะเกาะเขาเขียวชอุ่ม
โขดตะคุ่มเคียงเคียงเรียงรุกขา
จะเหลียวซ้ายสายสมุทรสุดสายตา
จะแลขวาควันคลุ้มกลุ้มโพยม
จะเหลียวดูสุริย์แสงเข้าแฝงเมฆ
ให้วิเวกหวาดองค์พระทรงโฉม
ฟังสำเนียงเสียงคลื่นดังครื้นโครม
ยิ่งทุกข์โทมนัสในฤทัยทวี
ตอนฝึกท่องบทนี้เห็นชื่อปลากระโห้อยู่ด้วยเลยคิดว่าเป็นปลาทะเล เพราะมันมีทั้งฉลาม พิมพา(ฉลามเสือ) ม้าน้ำแถมยังมีนางเงือกกับผีเสื้อสมุทรด้วย
แต่พอเฉลยกับกลายเป็นว่ากระโห้เป็นปลาน้ำจืด เราเลยลองเสิร์ชดูปรากฎว่ามันเป็นปลาน้ำจืดจริงๆ ตอนนี้เริ่มไม่มั่นใจละ พอลองเสิร์ชดูปลาตัวอื่นอีกก็พบว่าปลามังกรกับปลาตะเพียนทองก็เป็นปลาน้ำจืดเหมือนกัน(ทำไมพึ่งสังเกตวะ) ทำไมกลอนที่น่าจะพูดถึงแต่ปลาทะเลกลับมีปลาน้ำจืดด้วยหรือสุนทรภู่จะไม่รู้ แต่สมัยนั้นเรื่องการเดินเรือทางทะเลก็น่าจะมีแล้วแถมอีกฝ่ายก็ได้ชื่อว่าเป็นกวีที่ดังมากๆและควรแต่งอย่างมีคุณภาพเหมือนกาพย์เห่ชมปลาที่ร่ายชื่อปลาน้ำจืดออกมาอย่างถูกต้องสิ เราก็เลยไปลองเสิร์ชชื่อปลาทั้งหมดใหม่แล้วก็ได้ค้นพบว่า..
ฉลาม-ไม่ระบุชนิด (สามารถเป็นทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม)
ฉนาก-ปลากระดูกอ่อนคล้ายฉลามสามารถอยู่ได้ทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม(เฮ้ยยย)
พิมพา-ฉลามเสือ หากินตามปากแม่น้ำได้ก็อาจจะอยู่แถวน้ำจืดได้(?)แต่คงไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่น้ำจืดแบบถาวรได้หรอก
กระโห้-โคตรปลาน้ำจืด
มังกร-ปลาน้ำจืดเซม
ม้านำ้-อาจหมายถึง’จิ้มฟันจระเข้’ม้าน้ำชนิดหนึ่ง พบได้ในน้ำทุกชนิด
ตะเพียนทอง-ปลาน้ำจืด (แต่มันก็เป็นชื่ออีกชื่อหนึ่งของฉลามเสือเช่นกัน เหมือนกับชื่อพิมพา)
จากผลการค้นคว้าแบบไม่เป็นทางการ มีความเป็นไปได้ว่าตำแหน่งที่พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทรอาจเป็นน้ำกร่อยหรือน้ำจืดก็ได้เช่นกัน ถ้าเป็นตามข้อมูลด้านบนก็ไม่แปลกเท่าไหร่แถมนางเงือกจากหลายๆตำนานก็สามารถอยู่ในน้ำจืดได้เช่นเดียวกัน แต่...นางผีเสื้อสมุทรละ คาแรกเตอร์ของนางก็ควรอยู่ในมหาสมุทรสมชื่อสิ แต่ถ้าเปลี่ยนจากนางผีเสื้อสมุทรเป็นผีเสื้อน้ำกร่อย ทุกอย่างก็จะลงตัวพอดี หรือจริงๆแล้วผีเสื้อสมุทรก็เหมือนนางเงือกที่อยู่ได้ทุกที่ขอแค่มีน้ำก็พอ ทุกๆคนมีความเห็นอย่างไรก็มาแลกเปลี่ยนกันได้นะคะ ไม่ว่าความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังบทกลอนจะเป็นเช่นไร(หรือสุนทรภู่แต่งโง่ๆให้คนเขาคิดมากเอง) ขอให้ทุกคนจงคิดว่ามันเป็นกลอนเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้สาระอะไรเลยนอกจากการใช้ภาษาและความบันเทิง แถมยังทำให้ใครบางคนเข้าใจผิด(เรานี่แหละ) อีกทั้งยังต้องให้คนรุ่นหลังต้องมานั่งจำ ท่องเป็นทำนองเสนาะโดยที่ยังไม่รู้เลยว่าจำไปแล้วจะเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันยังไง นั้นแหละคือทั้งหมดที่เราจะกล่าวฝากเอาไว้
ขอบคุณค่ะ
ปล.อย่าด่าว่าเราบ้านะคะ ถึงพิมพ์ไปยาวเหยียดเมือนใช้เวลาศึกษามานานแต่จริงๆแล้วชั่วโมงเดียวก็เสร็จ คงไม่มีใครมานั่งโง่ศึกษาเรื่องที่รู้ไปก็ไม่ได้อะไร มาทั้งวันกันหละ