เรื่องใหญ่ที่ไม่ใหญ่ เรื่องไม่ใหญ่ที่ใหญ่มาก

                                          ชายผู้ซึ่งเกิดในครอบครัวที่ยากจนปัจจุบันเป็นเจ้าของบริษัทที่มีอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่

       ที่มา: ชายผู้นี้เมื่อแรกเกิดพ่อแม่ก็แยกทางกันตัวเขาเองได้รับการเลี้ยงดูจากตายและยายเมื่อในวัยเด็กเขาได้เรียนรู้วิถีชีวิตการทำมาหากินแบบคนท้องถิ่นจากตายของเขา เขารู้จักหาปลา  รู้จักการทำงานตั้งแต่ยังไม่เข้าโรงเรียนประถม ในวัยประมาน 7- 8 ขวบเขาเองกล้าที่จะออกไปหาปลาที่ทุ่งนาได้เพียงลำพัง  หรือไปกับเพื่อนๆรุ่นพี่บ้าง ในวัยเรียนเขาเป็นเด็กที่มีผลการเรียนดีแต่เขาเล่นกีฬาไม่เก่ง เพราะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่เพื่อช่วยงานตายและยาย
เมื่อจบชั้น ป.6 อายุ 12 ขวบเขาก็ได้ตัดสินใจที่จะออกจากบ้านเพื่อที่จะดูแลตัวเองให้ได้มากที่สุดเพื่อจะได้ไม่ให้ตาและยายลำบากส่งเสียตัวเองเรียน  เขาเลือกที่จะไปบวชเรียนและได้ศึกษาเล่าเรียนจนถึงชั้น ม.4 มีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนายร้อย จึงลาสิกขาออกมาเพื่อมาสมัครสอบ  นั่นเป็นการได้มาสัมผัสกรุงเทพมหานครครั้งแรกของเขาด้วยความที่เด็กบ้านนอกเข้าเมืองหลวงเพียงลำพังย่อมมีความลำบากมากพอสมควรสำหรับตอนนั้นแต่ผลการสอบก็ไม่เป็นตามที่คkfหมายจากนั้นเขาเองก็ได้กลับไปศึกษาต่อที่โรงเรียนมัธยมที่ท้องถิ่นบ้านเกิดตัวเองในระดับชั้น ม.5และ ม.6 ระยะทางจากบ้านไปโรงเรียน 7 กม. เขาเองก็มีความคิดที่จะแบ่งเบาคนทางบ้านในการเรียนในโรงเรียนแห่งนี้เขาจึงเลือกปั่นจักรยานเพื่อไปเรียนและห่อข้าวจากที่บ้านไปกินเองเพื่อให้ลดภาระให้มากที่สุดจนกระทั้งจบ ม.6 นี่เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับโลกกว้างในเมืองกรุงอีกครั้งของเด็กบ้านนอกผู้มีความฝัน สิ่งที่เขาหวังคือเขาไม่มีเงินทองในการลงทุนแต่เขาจะลงทุนด้วยสติปัญญาที่เขามี จึงได้เดินทางจากบ้านเกิดเข้ามาทำงานที่ กทม.อาชีพแรกที่ได้มาทำที่ กทม. คือ รปภ.ซึ่งเป็นอาชีพที่ช่วยให้เขามีรายได้ในการดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี จากนั้นเขาก็ได้ตัดสินใจเรียนต่อ ป.ตรี เขาสอบเข้าเรียน วศบ.อิเล็กฯ ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ช่วงแรกเขามาทำงาน รปภ.เข้างาน 1 ทุ่ม เลิก 7 โมงเช้า ไปเรียน 9 โมง เลิก 4 โมงเย็น ทำแบบนี้อยู่สามปี จนมีวันหนึ่งค่าใช้จ่ายลงทะเบียนเรียนไม่พอและด้วยเริ่มมีหนี้สินในการหยิบยืมเพื่อดำรงชีวิต เขาจึงพักการเรียน 1 ปี ไปทำงานเป็นพนักงานฝ่ายผลิตที่ระยองทำงานเก็บตังค์กลับมาได้ก็มาใช้หนี้และลงทะเบียนเรียนต่อ เขาก็หางานทำไปเรื่อยๆเพื่อให้มีรายได้ส่งตัวเองเรียน เคยเป็นพนักงานร้านสเวนเซ่น 6 เดือน เคยเป็นพนักงานร้านS&P 6 เดือนและหลังจากนั้นก็ได้มาขับวินมอเตอร์ไซต์จนกระทั่งส่งเสียตัวเองเรียนจบก็มีเจ้านายจากบริษัทมาชวนตัวไปทำงานด้วย เป็นวิศวกร เลยได้เลิกขับวินมอไซต์  เมื่อได้ทำงานเป็นวิศวกรเป็นเวลา 3 ปี เจ้านายและอาจารย์ก็มีมุมมองว่า วันหนึ่งพนักงานทุกๆคนจะต้องค่อยๆเติบโตจนได้มีการเริ่มขยับมาเป็นเจ้าของบริษัทที่เจ้านายเปิดให้งานที่บริษัทของเจ้านายคือทำด้านวิศวกรรมไฟฟ้า ทำเครื่องจักรระบบอัตโนมัติ  และเครื่องเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังสูงขายและติดตั้ง
บริการให้กับโรงงานอุตสาหกรรม 
          พอเริ่มชีวิตการเป็นผู้บริหาร สินค้าที่เขาทำคือ ชุดฝึกทางด้านการศึกษา เช่น ชุดฝึกพื้นฐานอิเล็กทรอนิกส์กำลัง ชุดฝึกควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้า และงานโซล่าเซลล์ ตลอดจนถึงงานออกแบบด้านวิศวกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เมื่อเริ่มต้นบริษัทก็เริ่มมีงานเข้ามาให้ทำเป็นหลักล้านช่วงต้นก็ทำงานได้มีกำไรเข้าบริษัทพอสมควรจนมีความมั่นใจว่าบริษัทจะเดินต่อได้อย่างแน่นอนจนกระทั่งวันหนึ่งมีบริษัทที่เผ็นคนรู้จักมาสั่งซื้อของของเขาเพื่อที่จะเอาไปขายต่อเขาตกลงกับบริษัทนั้นแบบพันธมิตร โดยยอมขายของให้ในราคาทุนเพื่อให้บริษัทนั้นที่พึ่งเปิดใหม่เหมือนกันได้มีโอกาสตั้งตัว บริษัทนั้นซื้อสินค้าของเขา 3 ชุด ในราคาชุดละ 1 ล้านบาท ราคานี้แทบขาดทุน แต่เขาก็มองว่า...เพื่อช่วยเหลือกันไป...บริษัทที่มาซื้อของเขานำสินค้าไปขายต่อให้ลูกค้าชุดละ 2 ล้านบาท ซึ่งก็คิดว่าเขาได้กำไรพอสมควร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี่สิบริษัทนี้จ่ายค่าเครื่องชุดนี้มาแค่ 2 เครื่องอีกเครื่องบอกว่าไม่มีไม่หนีไม่จ่าย  จึงเป็นเหตุให้เขาต้องเริ่มเข้าสู่สาวะการเป็นหนี้เขาได้ขอญาติพี่น้องให้เอาที่ดินที่เป็นที่นาเอามาให้เขาไปกู้เงินนอกระบบเพื่อไปชดใช้ค่าอุปกรณ์ที่สั่งซื้อมาลงทุนทำเขาเอาที่นาไปจำนองกับหนี้นอกระบบเป็นวงเงิน 4 แสนบาทและช่วงที่เขาพอมีเงิน พักพวก เพื่อนๆ ก็ขอยืม เขาก็ช่วยเหลือไม่ใช่น้อยเกือบ2แสน คนละ 2-3หมื่น แต่ทุกวันนี้ตัวเขาเองแทบไม่มีใครรู้จักเพื่อนๆหายหมด เพราะตอนที่เขาเดือดร้อน เพื่อนๆก็ไม่มีจะใช้หนี้เหมือนกันหลังจากนั้น ต่อให้มีหนี้เพิ่มขึ้นเขาเองก็ไม่ได้ย่อท้อแต่อย่างใด  เขายังสู้และหางานเข้ามาทำเพื่อชดใช้หนี้ไปเรื่อยๆ เขารับทำงานโซล่าเซลล์ รับทำงานวิจัยช่วย อาจารย์ที่มหาลัย งานโซล่าปั้มขนาด 2-3 แรง, โซล่ารูฟ , ระบบส่งกำลังไฟฟ้าแบบไร้สาย, อินดักชั่นฮีท และงานอื่นๆด้านวิศวกรรม
        บริษัทของเขามีความใฝ่ฝันว่าอยากสร้างสินค้าด้านเทคโนโลยีที่เป็นงานของคนไทยให้เป็นที่ยอมรับ เขาบอกว่าเราไม่ควรใช้เทคโนโลยีอย่างซื่อสัตย์หากจะเป็นคนดื้อที่จะเรียนรู้และพัฒนาต่อยอดทำให้มันดีและก้าวหน้ากว่าเดิมและต้องมีมูลค่าด้วย สินค้าที่เขากำลังทำคือระบบชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าแบบไร้สาย  ซึ่งยังไงรถไฟฟ้าก็จำเป็นต้องใช้  และพัฒนาชุดฝึกด้านพื้นฐานไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ให้ก้าวทันสมัยเพื่อให้คนรุ่นต่อไปได้เรียนรู้แบบทำได้จริง  ปัจจุบันเขาเองยังตั้งใจทำในสิ่งที่ฝันอยู่และมันจะต้องสำเร็จให้ทุกท่านได้ร่วมชื่นชม (ท่านใดสนใจจะมาร่วมลงทุนก็ได้นะ) หรืออยากจะร่วมสนับสนุนกันในรูปบบไหนเขาก็ยินดีหรือมีคำแนะนำแลกเปลี่ยนความคิดเห็นก็ยินดีครับ

                                                                           เขาอยากฝากบอกทุกท่านว่า  สู้ๆ นะครับ
                                                                   เขาผู้นี้คือตัวผมเอง   อย่ามัวแต่กล่าวโทษโชคชะตา

                                                                          เพราะบางโชคชะตาเราสามารถลิขิตได้

...........................................................เล่าสู่กันฟัง  ขอบคุณครับ.................................................................phap17

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่