ขี่มอไซค์ไปเมาะละอิ ขุนเขาแห่งศรัทธาของชนชาวกระเหรี่ยง

กระทู้สนทนา
ในคืนวันหนึ่ง
ผมเห็นพ่อของผมใส่เสื้อสีขาวนุ่งสโร่งสีมะขาม
ใบหน้าเต็มไปด้วยแป้งทานาคาที่กำลังจะร่อน พูดภาษาที่ผมไม่เคยได้ยิน
นั่งล้อมรอบโต้ะหินทรงกลม กำลังสนทนากันอย่างออกรสกับเพื่อนๆของเขา
ท่ามกลางม่านหมอกสีขาว ที่ผมตะโกนเรียกเท่าไร ก็เหมือนพ่อจะไม่ได้ยิน

“เมาะละอิ” ยอดเขาแห่งศรัทธาของชนชาวกระเหรี่ยง
สายลมแห่งการเดินทาง ล่องลอยมากระทบใจของผม ด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบ
ทำให้ผมอย่างเดินทางไปแสวงบุญด้วยมอเตอร์ไซค์ที่ยืมเขามาในวันวิสาขบูชา และชักชวน”พี่ดิว”รุ่นพี่ที่สนิทกันเดินทาง
ตั้งแต่เห็นเพียงรูปภาพของ”เมาะละอิ” การหาข้อมูลการเดินทางจึงเริ่มต้นขึ้นจากคนใกล้ตัวที่เคยไปที่นั่นมาแล้ว “เมาะละอิ”คือยอดเขาที่สูงเหนือระดับน้ำทะเลราวๆ 2100 เมตร ทำให้บนยอดมีอากาศหนาวตลอดปี
ตั้งอยู่ห่างจากตะเข็บชายแดนไทยทางฝั่งอำเภอ”เพอะพะ”หรือที่เราเรียกกันจนเพี้ยนเป็นอำเภอพบพระในปัจจุบันไปราวๆ40กิโลเมตร
ประกอบไปด้วยเส้นทางลูกรัง20กิโลเมตรและเส้นทางในป่าเขตร้อนบนภูเขาอีก20กิโลเมตร

การเดินทางด้วยรถโฟร์วิลสามารถนั่งจากด่าน”บ้านวาเล่ย์”ซึ่งเป็นด่านสะพานไม้เล็กๆไม่ต้องใช้วีซ่า พาสสปอร์ตอะไรทั้งสิ้น
เพียงแค่ชูบัตรประชาชนสวยๆเดินยิ้มอ่อนๆคุณก็เดินข้ามสะพานมาได้
สนนราคาก็ตกคนละราวๆ800-1000บาททั้งไปและกลับ
ใช้เวลาเขย่าหัวโยกวิญญาณอยู่บนรถราวๆ2-3ชั่วโมง

แต่ถ้าใครจะเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ ซึงเราเลือกใช้วิธีนี้ ก็ให้หาหมู่บ้านชื่อ”บ้านน้ำออกฮู” โดยจะขับมอเตอร์ไซค์ผ่านสะพานไม้เล็กๆ
รถมอไซค์ใหญ่ไม่แนะนำ สะพานจะอยู่หลังสำนักสงฆ์บ้านน้ำออกฮู จะหายากอยู่สักนิดแต่ถามชาวบ้านเอาได้
หลงบ้างไรบ้าง ชีวิตจะได้มีสีสัน แต่ไม่ยากเกินถ้าใจมันไปแล้ว
การเดินทางในรัฐกระเหรี่ยงค่อนข้างจะงงๆหน่อยๆ ด้วยความที่เรากึ่งๆแอบเข้ามา ผมเลยต้องหาทางไปถนนหลักให้เจอเสียก่อน
ถ้าขับมาจนเจอร้านขายของสองข้างทางแสดงว่าคุณได้ไปต่อ ราวๆ7-8กิโลจะเจอทางแยกจะมีค่ายทหารอยู่ขวามือพร้อมป้ายไวนิลสีแดง
ถ้าดูแล้วเราจะพออ่านได้ว่าคำลงท้ายคือ “เมาะละอิ”

เลี้ยวซ้ายไปยาวๆ คุณจะเจอถนนที่ปลุกวิญญาณชาวร้อคในตัวคุณ
อารมณ์เหมือนขับมอไซค์บนกองทุเรียน หินลอยๆลูกเท่าหัวหมาบวกกับม่านหมอกของดินลูกรังและแดดแรงประหนึ่งตกนรก
กำลังแผดเผาความฮิปสเตอร์ในตัวคุณไปทีละน้อย คำว่า”อีห่า”อาจจะเป็นคำฮิตในหมู่สาวๆที่ไม่พร้อมจะโดนกระชากหัวตบจากถนนที่นี่ได้5555

ใช่แล้ววัยรุ่นทั้งหลาย!!!!!!
เรากำลังอยู่บนรัฐกระเหรี่ยง DKBA แปลว่า DemocraticKaren Bennevolent Army
ซึ่งกระเหรี่ยงมีการแบ่งเขตการปกครองหลายเขตแยกออกจากพม่า
ไล่มาตั้งแต่ริมแม่น้ำสาละวิน แม่ฮ่องสอน ยาวลงจนมามาจนถึงกาญจนบุรีแถวทุ่งใหญ่นเรศวร
ซึ่งความเข้มงวดก็แตกต่างกันตามพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ทางการทหารแต่กระเหรี่ยง DKBA เป็นชาวกระเหรี่ยงพุทธ ค่อนข้างเป็นมิตร น่ารัก
และให้ความช่วยเหลือคนไทยเป็นอย่างดี ไม่ต้องกล้วคนที่นี่เพราะ”นักการเมืองบ้านเรา”น่ากลัวกว่าเยอะ

หลังจากที่เราเดินทางมาจนเจอซุ้มทางเข้าวัดสีชมพูอ่อนๆให้เดินทางตรงเข้าไปเลย ถนนจะนำทุกท่านเข้าสู่ตีนเขา
ซึ่งที่นั่นจะมีลำธารทอดตัวขวางหมู่บ้านอยู่ ใครอยากเปียกให้ลุยน้ำ
ใครอยากเสียวให้ข้ามสะพาน (ไม้บนสะพานไม่ได้ยึดตะปูไว้และพร้อมที่จะพาร่างของคุณตกไปด้านล่าง ถ้าอ่านไลน์ไม่ดีไอ้ทิด)
ที่หมู่บ้านจะมีอาหารขาย เราสามารถซื้อเสบียงและหารถเช่าขึ้นเขาได้ที่นี่ 

กฎข้อ1.ใครพกเนื้อสัตว์ ไส้กรอก ปลากระป๋องมาให้กินที่นี่ให้หมด เพราะ”เมาะละอิ”ห้ามนำเนื้อสัตว์เข้าไป ต้องกินเจเท่านั้นนะวัยรุ่น

หลังจากนั้นเราจะใช้เวลาจากตรงนี้ราง 1ชั่วโมงครึ่งสำหรับรถโฟร์วิลและ2ชั่วโมงสำหรับมอไซค์ เส้นทางขึ้นเขาเต็มไปด้วยทางชัน เหว ป่า
ค่อนข้างอันตรายมาก มีรถตกเขาที่นี่ตลอดเวลา ใครขับมอไซค์ไม่เทพ อย่าขับขึ้นเป็นอันขาด
เป็นถ้าคุณพลาดตายห่าขึ้นมา ชาวบ้านแถวนี้เขาจะเดือดร้อนในการเก็บศพคุณ เพราะเรามาแสวงบุญนะ เราไม่มาที่นี่เพื่อจะตายหรือบาดเจ็บ

กฎข้อ2.ห้ามดื่มสุรา ยาเสพติดและของมึนเมาทุกชนิดบนเทือกเขานี้ ยกเว้นบุหรี่

เมื่อเราเดินทางมาราวๆ12-15กม. เราจะเจอจุด”ชำระร่างกาย” ให้ทุกคนล้างหน้าล้างตา ใครจะอาบน้ำสระผมก็ได้
เพื่อเป็นการชำระบาปทำตัวเองให้สะอาดที่สุดก่อนจะเข้า”เมาะละอิ”
แต่ทุกคนอย่าลืมประทานาคาด้วยนะ ด้วยการเอาไม้ทานาคาพรมน้ำและฝนกับหิน
จะได้เนื้อแป้งหอมๆทาหน้า จะได้อินเทรนแบบชาวกระเหรี่ยง

เมื่อเราผ่านอีก 5กม.สุดโหดสุดท้าย เราจะมาถึงตัววัด”เมาะละอิ”สายหมอกและละออกจากเมฆจะแวะมาทักทายทุกคน

ที่นี่จะมีร้านขายขนมเล็กๆ โรงทานให้ทุกคนสามารถกินอาหารเจได้ฟรี
อาหารที่นี่หน้าตาแปลกๆไปสักนิดแต่อร่อยมากด้วยน้ำใจจากคนที่นี่ที่มีต่อนักท่องเที่ยวอย่างเรา

ถ้าคุณมาถึงเย็นให้รีบเดินไปกางเต็นท์ก่อน แล้วพรุ่งนี้เช้าตรู่ค่อยเดินขึ้นไปสักการะพระธาตุ”เมาะละอิ”

ระยะทางจากโรงทานไปถึงจุดกางเต็นท์คุณจะต้องเดินเท้าสะพายสำภาระทั้งหมดไว้ที่หลังด้วยความสำรวม อย่า”แรด”หรือบ้าเซลฟี่จนเกินงาม
เดินเท้าไปราว1.2กิโลเมตร ผ่านทุ่งหญ้า ป่าฝน บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ และสันเขาที่ลมกรรโชกแรง
คุณก็จะเจอจุดกางเต็นท์ หลังจากนี้ก็ใช้เวลาบันทึกภาพตามความเหมาะสมเลยฮิปสเตอร์เอ๋ย

กฎข้อ3.ห้ามหญิงชายถ่ายรูปคู่กันเป็นอันขาด กลับบ้านค่อยไปรีทัชในโฟโตชอปเอา
กฎข้อ4.ห้ามหญิงชาย สามีภรรยา นอนด้วยกัน ต้องนอนแยกเพราะอะไรไปอ่านข้อ5
กฎข้อ5.ห้ามมีเพศสัมพันธุ์เด็ดขาด ขอบอกว่า”เด็ดขาด” เคารพสถานที่นะวัยรุ่น มันบาป
กฎข้อ6.ห้ามผู้หญิงตักน้ำในบ่อศักดิ์สิทธิ์ เพราะจะทำให้บ่อน้ำที่นี่แห้งขอดตลอดปี

ในเวลาที่ทุกคนต่างถ่ายรูปกันเมามัน
ผมกลับมีช่วงเวลาสั้นๆในการคิดถึง”พ่อของผม”
การที่เราวางกล้องที่บันทึกภาพลงไปบ้าง แล้วใช้เวลาในการมองสิ่งต่างๆรอบตัวให้มากขึ้นอีกหน่อย
สูดอากาศแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้เต็มปอด ยิ้มอ่อนๆรับสายหมอกที่เข้ามาปะทะเรา
มองไปที่ยอดพระธาตุ”เมาะละอิ”กลับพบแสงสีทองสาดส่องลงมาราวกับว่านี่คือรางวัลของการเดินทางของเรา
ในใจผมระลึกถึง”พ่อของผม”ว่า ผมพาพ่อมาแล้วนะ ถ้าพ่ออยู่ตรงนี้ด้วยพ่อผมคงจะดีใจ

ทันใดนั้นพอผมหันหลังให้”เมาะละอิ”
กลับบังเกิดวงแหวนวงกลมสีรุ้งในม่านหมอก
และใจกลางของวงแหวนนั้นกลับปรากฏเงาของชายคนนึงขึ้นในนั้น 
ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร
อาจจะด้วยความบังเอิญหรือปาฎิหารย์ระหว่างผมกับพ่อ
แต่มันก็ทำให้ผมรับรู้ได้ด้วยหัวใจว่า”พ่อของผมรับรู้”ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมตั้งใจทำให้ท่าน
เวลาไม่นานสายหมอกก็พัดพาทุกอย่างไป คงเหลือไว้แต่”ความรักและคิดถึง”ไม่เสื่อมคลาย

คำคืนนี้จึงเป็นคืนที่พิเศษที่ผมจะใช้เวลาในการคิดถึงใครสักคน
ท่ามกลางพระจันทร์ที่สว่างราวกับสวรรค์ ดวงดาวที่แวะเวียนมาทักทายกันบ้าง
และทะเลหมอกที่ยกตัวไหลผ่านเทือกเขาราวกับเรากำลังล่องนาวากลางทะเล

ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ ผมรู้สึกดีใจมากเป็นพิเศษ
ที่พาตัวเองมายืนในจุดนี้ในคืนวันนั้นยิ้ม
รุ่งเช้าเราตื่นขึ้นมาราวกับปลาแช่แข็งเพราะอากาศเมื่อคืนหนาวมาก
แม้ว่าจะเป็นปลายฤดูร้อนในเดือนพฤษภาคมก็ตาม
เกล็ดน้ำแข็งบางๆเกาะตามยอดหญ้าจนขาวโพลน
ผมรอเวลาให้ไออุ่นจากดวงตะวันชุบชีวิตปลาแช่แข็งให้มีแรงดิ้นกระแด่วๆ เพื่อเก็บสำภาระและเต็นท์
เพื่อเดินย้อนกลับไปที่โรงทาน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่