กลับมาอีกครั้งกับบันทึกการท่องเที่ยวของหญิงสาวคนเดียวในเมืองนอก ไม่ได้มาเขียนเสียนาน แต่ครั้งนี้ไม่เขียนไม่ได้จริงๆ ค่ะ เพราะอยากแบ่งปันประสบการณ์มากกกกก
ครั้งนี้กลับมาด้วยประเทศอันขึ้นชื่อในเรื่องเสรีภาพ จั่วหัวไปใหญ่โตคงไม่ต้องอารัมภบทมากว่ากำลังพูดถึงอเมริกาค่ะ สำหรับหลายคนคงเคยไปกันหลายครั้ง แต่สำหรับคนเขียน นี่เป็นครั้งแรกในทวีปที่ 4 ที่ได้เปิดโลกทัศน์ และครั้งนี้ก็มีภารกิจสำคัญที่ทำให้ต้องมาซึ่งแตกต่างไปจากกระทู้หลายปีก่อนหน้าที่ตัดสินใจไปเรียนภาษาและแลกเปลี่ยน แต่ครั้งนี้มาทำงาน ตื่นเต้นมากกว่า backpack alone 2 ครั้งที่ผ่านมามากๆ ไปครั้งนี้ประมาณ 11 วันค่ะ แต่ต้องตัดวันเดินทางที่ข้ามโซนเวลาไปด้วยถึง 4 วัน เพราะงั้นได้เที่ยวและทำงาน 7-8 วัน ซึ่ง Destination ในครั้งนี้ก็คือ San Francisco(SF) หนึ่งในเมืองขึ้นชื่อของรัฐ California(CA) ทางตอนเหนือ ซึ่งเป็นรัฐที่อยู่ทางตะวันตกของอเมริกา ส่วนถ้าใครไป CA ทางตอนใต้ก็จะเจอเมืองขึ้นชื่ออีกเมือง คือ Los Angelis(LA) แต่ครั้งนี้คงไม่ได้ไปทางตอนใต้หรอกค่ะ กะเที่ยวเอาให้ SF พรุนไปก่อน ถ้ามีโอกาสจะมาเก็บเมืองอื่นในอนาคต (ถ้ามีเงินนะคะ)
ภาพจากวิกิพีเดีย
Pre-traveling phase!
ไปอเมริกาต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง นี่ก็เปิด google หาทุกอย่าง ซึ่งอยากได้แบบที่ตัวเองต้องการนั้นไม่มี เลยอยากจะมีเขียนรวบรวมเอาไว้ให้ที่นี่ค่ะว่าคนไปเที่ยวหรือทำงานเล็กๆ อย่างคนเขียนนั้นเตรียมอะไรบ้าง
ถ้าเปิดเว็บส่วนใหญ่ก็มักจะเจอว่า ทำวีซ่าๆๆๆ ใช่ค่ะ ยังไงก็ต้องทำ แต่หยุดก่อนค่ะ อยากเพิ่งเปิดเว็บสถานทูตเข้าไปทำ เพราะในเอกสารการกรอกแบบฟอร์มทางออนไลน์ของสถานทูตจะต้องเตรียมทุกอย่างพร้อมมากๆ เลยนะคะ โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยที่จะไปพัก นั่นหมายความว่า หากคุณไปจะไปเที่ยว ไปหาญาติ หรืออะไรก็แล้วแต่ หนึ่งในเอกสารที่สถานทูตจะร้องขอให้คุณกรอกในระบบทันทีก่อนนัดเข้าสัมภาษณ์ผ่านทางเว็บไซต์คือ ที่พักอาศัยค่ะ จะต้องมีบ้านญาติ โรงแรม โฮสเทล บ้านเช่า หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ละเอียด ชัดเจน แสดงให้เขารู้ว่ามีหลักแหล่งแห่งที่ไม้ไร้บ้าน
***หาที่พักและถ้าเป็นไปได้จองตั๋วเครื่องบินก่อนกรอกเอกสารวีซ่าเลยค่ะ***
ตอนนักเขียนจองเครื่องบิน ใช้แอป Traveloka ในการจองตั๋วเครื่องบินค่ะ นักเขียนอยู่เชียงใหม่ ซึ่งโชคดีมากว่ามีสายการบินของ EVA มาเปิดเคาน์เตอร์ที่เชียงใหม่ ทำให้ไม่ต้องบินไปเปลี่ยนเครื่องที่ กทม. ให้วุ่นวาย คือบินเชียงใหม่-ไต้หวัน-ซานฟรานเลย ไปกลับในราคา 2.7k เท่านั้น Full service สวยๆ แต่ถ้าอยู่ กทม. น่าจะมีตัวเลือกมากกว่านี้ แนะนำบินเปลี่ยนเครื่องหนึ่งจุดพักค่ะ ค่าใช้จ่ายจะไม่สูงมาก ถ้าบินตรงเลยจะแพง
EVA พาลงที่ SF international airport เลยค่ะ จริงๆ SF มี 2 สนามบิน อีกที่คือ Oakland international airport เป็นสนามบินที่นิยมเหมือนกันค่ะ มีขนส่งมวลชนเข้าถึง SF city ได้ทั้ง 2 สนามบิน
ส่วนที่พักใช้แอปเจ้าใหญ่ค่ะ Agoda เลือกจองก่อนจ่ายทีหลังหรือชำระเงิน ณ ที่พัก คือนักเขียนจะไป SF เดือนพฤษภาคม 62 แต่ต้องทำวีซ่าก่อนหน้านั้นสัก 2-3 เดือนเผื่อเวลาพิจารณาและเตรียมเอกสาร เลยจองที่พักตั้งแต่เดือนธันวาคม 61 เผื่อใจไว้สำหรับเปลี่ยนที่พักภายหลัง (แล้วก็เปลี่ยนจริงๆ ด้วย เปลี่ยนก่อนเดินทาง 1 สัปดาห์) แต่ตั๋วเครื่องบินต้องจ่ายเลยค่ะ เปลี่ยนไม่ได้น้า
วีซ่า!
หนึ่งในขั้นตอนที่หลายคนกังวลที่สุด นักเขียนก็กังวลค่ะ อ่านรีวิวก็เยอะเรื่องการถูกปฏิเสธ แต่วีซ่าอเมริกาถ้าผ่านนี่ได้ 10 ปียาวเลยค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีเหตุผลแอบแฝงก็อย่ากลัวค่ะ เตรียมเอกสารดีๆ เป็นใคร พักอาศัยอยู่ที่ไหนเมื่อไปอเมริกา ตั๋วเครื่องบินไปกลับเมื่อไร ทำงานหรือเรียนอะไรที่เมืองไทย การเงินเป็นยังไง statement มีกี่เล่ม passport มีกี่เล่ม ไปทำอะไรอเมริกา มีจดหมายเชิญไหม สลิปเงินเดือนหลายเว็บบอกว่าใช้ แต่นักเขียนไม่ได้ขอค่ะ เพราะคิดว่าไม่จำเป็นเนื่องจากได้จดหมายเชิญมาตรงๆ แต่เตรียมไว้ไม่เสียหายค่ะ ที่สำคัญคือ รูปถ่ายตามที่เขากำหนด เตรียมให้พร้อมค่ะ ส่วนขั้นตอนการทำวีซ่า หลายๆ เว็บเขียนไว้ดีมากๆ ค่ะ ลองหาดูได้เลย จะละเอียดกว่าที่นักเขียนเกริ่นแค่คร่าวๆ แต่ขั้นตอนก็คือ
1.กรอกแบบฟอร์มออนไลน์ในหน้าเว็บสถานทูต มีรหัสอะไรจำให้หมด มีเอกสารอะไรเตรียมพร้อมตอนจะกรอกไว้ใกล้ตัว เขาจะถามยิบย่อยจะได้ไม่เสียเวลา เซฟข้อมูลตอนกรอกเป็นระยะๆ เพราะเขามีเวลากำหนด ถ้าไม่เซฟแล้วเวลาหมด พอล็อกอินกลับเข้าไปกรอกใหม่ ข้อมูลจะหายหมดเลยค่ะ ที่สำคัญคือ ไม่มีแบบฟอร์มกรอกมือนะคะ กรอกออนไลน์อย่างเดียว
2.กรอกเสร็จแล้ว ปรินท์ใบชำระเงินค่าทำวีซ่าจากในเว็บนั่นแหล่ะค่ะ ไปชำระที่ธนาคารกรุงศรีฯ ตอนนักเขียนชำระนี่ประมาณ 5k ปรินท์ใบก่อนนะคะ จะสะดวกกว่าจำรหัสไปแจ้งหน้าธนาคาร
3.รอระบบเคลียร์สักวันสองวัน (จำตัวเลขแน่นอนไม่ได้) จึงกลับเข้าเว็บสถานทูตที่เราทำวีซ่าอีกครั้งเพื่อนัดหมายวันสัมภาษณ์ค่ะ เลือกได้ทั้งเชียงใหม่และกรุงเทพฯ นะคะ ตอนนั้นมีเสียงลือเล่ากันมากว่าเชียงใหม่ขอยาก แต่นักเขียนอยู่เชียงใหม่ ไม่อยากเดินทางไปมาหลายรอบ ก็นัดของเชียงใหม่นี่เลย
4.รวบรวมเอกสารทุกอย่างไปสถานทูตตามวันนัดหมายค่ะ กระบวนการในวันสัมภาษณ์ไม่ต้องกลัวนะคะ เขาถามอะไรก็ตอบไปตามตรง อย่าโกหกหมกอะไรทั้งนั้น (นักเขียนโชคดีค่ะ ผ่านง่ายเพราะมีจดหมายเชิญตัวจากทางอเมริกาไปทำงานและแสดงตั๋วเครื่องบิน ที่พัก passport กับจดหมายยืนยันสถานะจากที่ทำงาน เจ้าหน้าที่ก็ไม่ขอดูอย่างอื่นเลย เสียค่าขอ statement จากธนาคารไปตั้งเกือบพัน)
5.ถ้าวีซ่าผ่านเขาแจ้งตรงนั้นเลยค่ะ (ถ้าไม่ผ่านเขาก็บอกค่ะ แล้วยื่นเอกสารทุกอย่างให้เรา) ผ่านนี่เขาจะขอ passport ตัวปัจจุบันเก็บไว้เพื่อแปะใบวีซ่าให้ รอที่บ้านประมาณ 3 วันก็ได้วีซ่า 10 ปีมาไว้ในครอบครอง
Internet ปลั๊กไฟ!
อันนี้หาคนรีวิวไม่ค่อยเจอ ในฐานะที่เป็น backpack girl alone ที่ชอบวางแผนเที่ยวคนเดียว ไม่ค่อยอยากพึ่งพาใคร มันเลยสำคัญ ได้ประสบการณ์จาก backpack รอบก่อนๆ ค่ะว่าควรเตรียม
Internet สมัยไปญี่ปุ่น นักเขียนใช้การเปิดโรมมิ่งยาวเลยค่ะ แพงกว่าทุกแบบแต่สะดวกมาก เรทราคาของที่ญี่ปุ่นเมื่อเปิดโรมมิ่ง 2 สัปดาห์ไม่แพงเท่าไร แต่ของอเมริกานี่วันละ 500 บาท สิบวันก็หลายตังค์อยู่ จะไปซื้อซิมอเมริกาใช้ก็กลัวจะเปิดเครื่องตัวเองไม่เป็น ทำข้อมูลการสนทนาในไลน์หายหมด เลยอยากหาช่องทางที่ไทย นักเขียนใช้ค่ายสีฟ้าค่ะ เดินเข้าไปสอบถามที่เคาน์เตอร์ได้รับบริการซิม Go inter ราคา 899 บาทสองอาทิตย์ ใช้เน็ตได้ไม่เสียเงินเพิ่ม แต่ถ้าจะรับสายต้องเติมเงินเองซึ่งหากรับสายต่างแดนหรือโทรออกต่างแดนคิดเงินหมดนาทีละ 6 บาท ก็เลือกใช้แต่ internet ไม่เติมเงิน แล้วโทรศํพท์ใครถ้าใส่ได้ 2 ซิมก็สะดวกมากค่ะ ข้อมูลไม่หายแน่นอน แค่สลับซิมมาใช้อีกเบอร์ตอนอยู่เมืองนอก ถ้ามีปัญหาเครือข่ายก็มีเบอร์โทรข้ามทวีปสอบถามได้ด้วยไม่เสียเงินเพิ่ม สะดวกดีจริงๆ ใช้ค่ายอื่นก็ใช้ซิมอันนี้ได้หมด รายละเอียดหาอ่านในหลายๆ เว็บเลยค่ะ รีวิวจากที่มาใช้ตอนนี้สะดวกเลยค่ะ บางพื้นที่อาจสัญญานอ่อนแต่น้อยมาก
ภาพจากเน็ต
ปลั๊กไฟ กว่าจะรู้ว่าอเมริกาใช้ปลั๊กแบบไหน ไฟเท่าไรก็หาอ่านหลายเว็บเหมือนกันค่ะ อเมริกาใช้ปลั๊กหัวแบนนะคะ ถ้าใครเอาเครื่องใช้ไฟฟ้าหัวกลมไปต้องหาซื้อ adapter ซึ่งเดี๋ยวนี้หาซื้อง่ายมากค่ะ นักเขียนทำของเก่าหาย เลยไปซื้อเอาใหม่ที่ร้าน B2S อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ ร้านเครื่องเขียนนี่แหล่ะ มีหลายขนาดหลายยี่ห้อ ซื้อมาแล้วก็มาทดลองก่อนนะคะว่าไฟเข้าหรือเปล่า ไม่ใช่ไปถึงอเมริกาแล้วเพิ่งรู้ว่าใช้การไม่ได้ จะลำบาก
หลายคนคงสงสัยว่าแล้วค่าโวลต์ไฟที่อเมริกาเท่าไร อันนี้ไม่แน่ใจค่ะ แต่ถ้าเครื่องใช้ไฟฟ้าของใครที่หัวชาร์ทฟหรือตัวเครื่องเขียนว่า 100-240 V, 50-60 Hz ใช้ไทั่วโลกเลยค่ะ มือถือหรือ laptop ส่วนใหญ่เป็นแบบนี้หมดแล้วนะคะ แต่ถ้าของใครใช้แต่ไฟไทย 220 V อันนี้ต้องหาตัวเปลี่ยนค่าไฟไปด้วยนะคะ ใช้แต่ adaptor เปลี่ยนลักษณะหัวไม่ได้
ภาพจากเน็ต ญี่ปุ่นกับอเมริกาใช้ปลั๊กแบบนี้
ย้อนกลับมาเรื่องที่พัก
นักเขียนเปลี่ยนที่พักอีกครั้งก่อนออกเดินทางสัปดาห์หนึ่ง ต้องบอกก่อนนะคะว่าค่าครองชีพใน SF แพงกว่าไทยประมาณ 2-3 เท่า ที่พักราคาหลักต่ำกว่า 2k บาทต่อคืนอาจได้เป็นห้องพักในหอ โฮสเทล หรือถ้าโชคดีหน่อยก็ห้องพักเดี่ยวแต่ห้องน้ำแชร์ร่วมกัน ประเทศเขตอบอุ่นหรือเขตหนาวเขาก็ไม่ได้อาบน้ำบ่อยแบบไทยแลนด์ มีอ่างล้างหน้าในห้องน้ำนี่ดีมากแล้วค่ะ เพราะงั้นค่าที่พักค่าเดินทางใน SF สูงพอสมควร แต่ถ้าไม่ซีเรียสมาก ไปกันเป็นกลุ่มใหญ่ พักในหอพัก โอสเทลดีๆ ทั่ว SF มีมากทีเดียว และบริการไม่ได้แย่ด้วย
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องเตือนคนที่ไป SF ว่าต้องระมัดระวังคือ SF เป็นเขตอบอุ่น อากาศดี เมืองน่าอยู่ เศรษฐกิจรุ่งเรือง เพราะฉะนั้น homeless เยอะนะคะ ถ้าเลือกที่พักใกล้ขนส่งมวลชน ยังไงก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ อ่านรีวิวที่พักนิดนึงหากเป็นผู้หญิงแล้วเดินทางคนเดียว คือไม่ได้น่ากลัวมากแต่ไม่ควรประมาทค่ะ นักเขียนไปพักโรงแรมชื่อ Mithila hotel ราคาก็ประมาณนึงแต่เพราะเดินทางคนเดียวเลยเลือก safe place ให้ตนเอง และเพราะไปทำงานทำให้ต้องพกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้วย พักในหอพักหรือโฮสเทลก็กังวลเกินไป เลยยอมจ่ายเพิ่มเพื่อให้เป็นการเดินทางท่องเที่ยวที่ไม่พะว้าพะวงนิดนึง (ราคาประมาณ 37k ตลอดทั้งทริป เรียกว่าทำงานงกๆ หาเงินก่อนเดินทางอย่างหนักหน่วงมาก)
อื่นๆ
สภาพอากาศ เช็คด้วยนะคะว่าเดินทางกันตอนไหน นักเขียนไปเดือนพฤษภาคม เขาบอกว่าเป็นฤดูใบไม้ผลิ ทางนี้ก็ตีว่า อ๋อ! ฤดูร้อน เพราะบ้านเราไม้ผลิดอกออกลูกผลก็ประมาณนี้ แต่…ไม่ใช่ค่ะ! มันไม่ใช่ฤดูร้อน เปิดอุณภูมิเช็คก่อนเดินทางพบว่าแค่ 12-17 องศาเท่านั้น บางวันฝนตกทั้งวัน บางวันมีแดดแต่ 13 องศา นี่วิ่งหาร่มพับหาเสื้อกันหนาวเตรียมแทบไม่ทันเพราะเป็นพวกขี้หนาว ยิ่งหน้าหนาวก็ติดลบไปเลยค่ะ
ที่ดีคือ ค่าฝุ่นละอองจากแอป AQI สีเขียวสวยสบายปอดมาก 30-40 คนที่มาจากแดน 300-400 นี่คือเวลาฟอกปอดให้ใสสสสส
อาหารการกิน จริงๆ เป็นคนชอบกินมากนะคะ แต่พอไปเที่ยวนั้นเป็นสายเที่ยวทั่วเมือง ก็อยากจะเอาเงินไว้เที่ยวมากกว่า ยิ่ง SF ค่าครองชีพสูงกว่าไทย เรายิ่งอยากเก็บเงินไว้เที่ยวอย่างเดียว เลยพกขนมปังกับถั่วทองการ์เด้นใหญ่ๆ ติดกระเป๋าไปด้วย กินพื้นที่ 1/3 ของกระเป๋าไปเลย ตามรูปด้านล่างเลยค่ะ แต่ SF ไม่ได้แพงขนาดนั้นค่ะ อาหารหลากหลายสัญชาติเต็มเมือง เดี๋ยวจะถ่ายมาให้ดู

อาหารที่พก (ขอบคุณทุกแบรนด์) จริงๆ ไม่ต้องพกนะคะ SF ของกินเยอะมากๆ
แต่นี่จะเก็บเงินเที่ยวค่ะ
Backpack girl diary: San francisco 10 days (Alone but not lonely)
ครั้งนี้กลับมาด้วยประเทศอันขึ้นชื่อในเรื่องเสรีภาพ จั่วหัวไปใหญ่โตคงไม่ต้องอารัมภบทมากว่ากำลังพูดถึงอเมริกาค่ะ สำหรับหลายคนคงเคยไปกันหลายครั้ง แต่สำหรับคนเขียน นี่เป็นครั้งแรกในทวีปที่ 4 ที่ได้เปิดโลกทัศน์ และครั้งนี้ก็มีภารกิจสำคัญที่ทำให้ต้องมาซึ่งแตกต่างไปจากกระทู้หลายปีก่อนหน้าที่ตัดสินใจไปเรียนภาษาและแลกเปลี่ยน แต่ครั้งนี้มาทำงาน ตื่นเต้นมากกว่า backpack alone 2 ครั้งที่ผ่านมามากๆ ไปครั้งนี้ประมาณ 11 วันค่ะ แต่ต้องตัดวันเดินทางที่ข้ามโซนเวลาไปด้วยถึง 4 วัน เพราะงั้นได้เที่ยวและทำงาน 7-8 วัน ซึ่ง Destination ในครั้งนี้ก็คือ San Francisco(SF) หนึ่งในเมืองขึ้นชื่อของรัฐ California(CA) ทางตอนเหนือ ซึ่งเป็นรัฐที่อยู่ทางตะวันตกของอเมริกา ส่วนถ้าใครไป CA ทางตอนใต้ก็จะเจอเมืองขึ้นชื่ออีกเมือง คือ Los Angelis(LA) แต่ครั้งนี้คงไม่ได้ไปทางตอนใต้หรอกค่ะ กะเที่ยวเอาให้ SF พรุนไปก่อน ถ้ามีโอกาสจะมาเก็บเมืองอื่นในอนาคต (ถ้ามีเงินนะคะ)
ไปอเมริกาต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง นี่ก็เปิด google หาทุกอย่าง ซึ่งอยากได้แบบที่ตัวเองต้องการนั้นไม่มี เลยอยากจะมีเขียนรวบรวมเอาไว้ให้ที่นี่ค่ะว่าคนไปเที่ยวหรือทำงานเล็กๆ อย่างคนเขียนนั้นเตรียมอะไรบ้าง
ถ้าเปิดเว็บส่วนใหญ่ก็มักจะเจอว่า ทำวีซ่าๆๆๆ ใช่ค่ะ ยังไงก็ต้องทำ แต่หยุดก่อนค่ะ อยากเพิ่งเปิดเว็บสถานทูตเข้าไปทำ เพราะในเอกสารการกรอกแบบฟอร์มทางออนไลน์ของสถานทูตจะต้องเตรียมทุกอย่างพร้อมมากๆ เลยนะคะ โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยที่จะไปพัก นั่นหมายความว่า หากคุณไปจะไปเที่ยว ไปหาญาติ หรืออะไรก็แล้วแต่ หนึ่งในเอกสารที่สถานทูตจะร้องขอให้คุณกรอกในระบบทันทีก่อนนัดเข้าสัมภาษณ์ผ่านทางเว็บไซต์คือ ที่พักอาศัยค่ะ จะต้องมีบ้านญาติ โรงแรม โฮสเทล บ้านเช่า หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ละเอียด ชัดเจน แสดงให้เขารู้ว่ามีหลักแหล่งแห่งที่ไม้ไร้บ้าน
***หาที่พักและถ้าเป็นไปได้จองตั๋วเครื่องบินก่อนกรอกเอกสารวีซ่าเลยค่ะ***
ตอนนักเขียนจองเครื่องบิน ใช้แอป Traveloka ในการจองตั๋วเครื่องบินค่ะ นักเขียนอยู่เชียงใหม่ ซึ่งโชคดีมากว่ามีสายการบินของ EVA มาเปิดเคาน์เตอร์ที่เชียงใหม่ ทำให้ไม่ต้องบินไปเปลี่ยนเครื่องที่ กทม. ให้วุ่นวาย คือบินเชียงใหม่-ไต้หวัน-ซานฟรานเลย ไปกลับในราคา 2.7k เท่านั้น Full service สวยๆ แต่ถ้าอยู่ กทม. น่าจะมีตัวเลือกมากกว่านี้ แนะนำบินเปลี่ยนเครื่องหนึ่งจุดพักค่ะ ค่าใช้จ่ายจะไม่สูงมาก ถ้าบินตรงเลยจะแพง
EVA พาลงที่ SF international airport เลยค่ะ จริงๆ SF มี 2 สนามบิน อีกที่คือ Oakland international airport เป็นสนามบินที่นิยมเหมือนกันค่ะ มีขนส่งมวลชนเข้าถึง SF city ได้ทั้ง 2 สนามบิน
ส่วนที่พักใช้แอปเจ้าใหญ่ค่ะ Agoda เลือกจองก่อนจ่ายทีหลังหรือชำระเงิน ณ ที่พัก คือนักเขียนจะไป SF เดือนพฤษภาคม 62 แต่ต้องทำวีซ่าก่อนหน้านั้นสัก 2-3 เดือนเผื่อเวลาพิจารณาและเตรียมเอกสาร เลยจองที่พักตั้งแต่เดือนธันวาคม 61 เผื่อใจไว้สำหรับเปลี่ยนที่พักภายหลัง (แล้วก็เปลี่ยนจริงๆ ด้วย เปลี่ยนก่อนเดินทาง 1 สัปดาห์) แต่ตั๋วเครื่องบินต้องจ่ายเลยค่ะ เปลี่ยนไม่ได้น้า
วีซ่า!
หนึ่งในขั้นตอนที่หลายคนกังวลที่สุด นักเขียนก็กังวลค่ะ อ่านรีวิวก็เยอะเรื่องการถูกปฏิเสธ แต่วีซ่าอเมริกาถ้าผ่านนี่ได้ 10 ปียาวเลยค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีเหตุผลแอบแฝงก็อย่ากลัวค่ะ เตรียมเอกสารดีๆ เป็นใคร พักอาศัยอยู่ที่ไหนเมื่อไปอเมริกา ตั๋วเครื่องบินไปกลับเมื่อไร ทำงานหรือเรียนอะไรที่เมืองไทย การเงินเป็นยังไง statement มีกี่เล่ม passport มีกี่เล่ม ไปทำอะไรอเมริกา มีจดหมายเชิญไหม สลิปเงินเดือนหลายเว็บบอกว่าใช้ แต่นักเขียนไม่ได้ขอค่ะ เพราะคิดว่าไม่จำเป็นเนื่องจากได้จดหมายเชิญมาตรงๆ แต่เตรียมไว้ไม่เสียหายค่ะ ที่สำคัญคือ รูปถ่ายตามที่เขากำหนด เตรียมให้พร้อมค่ะ ส่วนขั้นตอนการทำวีซ่า หลายๆ เว็บเขียนไว้ดีมากๆ ค่ะ ลองหาดูได้เลย จะละเอียดกว่าที่นักเขียนเกริ่นแค่คร่าวๆ แต่ขั้นตอนก็คือ
1.กรอกแบบฟอร์มออนไลน์ในหน้าเว็บสถานทูต มีรหัสอะไรจำให้หมด มีเอกสารอะไรเตรียมพร้อมตอนจะกรอกไว้ใกล้ตัว เขาจะถามยิบย่อยจะได้ไม่เสียเวลา เซฟข้อมูลตอนกรอกเป็นระยะๆ เพราะเขามีเวลากำหนด ถ้าไม่เซฟแล้วเวลาหมด พอล็อกอินกลับเข้าไปกรอกใหม่ ข้อมูลจะหายหมดเลยค่ะ ที่สำคัญคือ ไม่มีแบบฟอร์มกรอกมือนะคะ กรอกออนไลน์อย่างเดียว
2.กรอกเสร็จแล้ว ปรินท์ใบชำระเงินค่าทำวีซ่าจากในเว็บนั่นแหล่ะค่ะ ไปชำระที่ธนาคารกรุงศรีฯ ตอนนักเขียนชำระนี่ประมาณ 5k ปรินท์ใบก่อนนะคะ จะสะดวกกว่าจำรหัสไปแจ้งหน้าธนาคาร
3.รอระบบเคลียร์สักวันสองวัน (จำตัวเลขแน่นอนไม่ได้) จึงกลับเข้าเว็บสถานทูตที่เราทำวีซ่าอีกครั้งเพื่อนัดหมายวันสัมภาษณ์ค่ะ เลือกได้ทั้งเชียงใหม่และกรุงเทพฯ นะคะ ตอนนั้นมีเสียงลือเล่ากันมากว่าเชียงใหม่ขอยาก แต่นักเขียนอยู่เชียงใหม่ ไม่อยากเดินทางไปมาหลายรอบ ก็นัดของเชียงใหม่นี่เลย
4.รวบรวมเอกสารทุกอย่างไปสถานทูตตามวันนัดหมายค่ะ กระบวนการในวันสัมภาษณ์ไม่ต้องกลัวนะคะ เขาถามอะไรก็ตอบไปตามตรง อย่าโกหกหมกอะไรทั้งนั้น (นักเขียนโชคดีค่ะ ผ่านง่ายเพราะมีจดหมายเชิญตัวจากทางอเมริกาไปทำงานและแสดงตั๋วเครื่องบิน ที่พัก passport กับจดหมายยืนยันสถานะจากที่ทำงาน เจ้าหน้าที่ก็ไม่ขอดูอย่างอื่นเลย เสียค่าขอ statement จากธนาคารไปตั้งเกือบพัน)
5.ถ้าวีซ่าผ่านเขาแจ้งตรงนั้นเลยค่ะ (ถ้าไม่ผ่านเขาก็บอกค่ะ แล้วยื่นเอกสารทุกอย่างให้เรา) ผ่านนี่เขาจะขอ passport ตัวปัจจุบันเก็บไว้เพื่อแปะใบวีซ่าให้ รอที่บ้านประมาณ 3 วันก็ได้วีซ่า 10 ปีมาไว้ในครอบครอง
Internet ปลั๊กไฟ!
อันนี้หาคนรีวิวไม่ค่อยเจอ ในฐานะที่เป็น backpack girl alone ที่ชอบวางแผนเที่ยวคนเดียว ไม่ค่อยอยากพึ่งพาใคร มันเลยสำคัญ ได้ประสบการณ์จาก backpack รอบก่อนๆ ค่ะว่าควรเตรียม
Internet สมัยไปญี่ปุ่น นักเขียนใช้การเปิดโรมมิ่งยาวเลยค่ะ แพงกว่าทุกแบบแต่สะดวกมาก เรทราคาของที่ญี่ปุ่นเมื่อเปิดโรมมิ่ง 2 สัปดาห์ไม่แพงเท่าไร แต่ของอเมริกานี่วันละ 500 บาท สิบวันก็หลายตังค์อยู่ จะไปซื้อซิมอเมริกาใช้ก็กลัวจะเปิดเครื่องตัวเองไม่เป็น ทำข้อมูลการสนทนาในไลน์หายหมด เลยอยากหาช่องทางที่ไทย นักเขียนใช้ค่ายสีฟ้าค่ะ เดินเข้าไปสอบถามที่เคาน์เตอร์ได้รับบริการซิม Go inter ราคา 899 บาทสองอาทิตย์ ใช้เน็ตได้ไม่เสียเงินเพิ่ม แต่ถ้าจะรับสายต้องเติมเงินเองซึ่งหากรับสายต่างแดนหรือโทรออกต่างแดนคิดเงินหมดนาทีละ 6 บาท ก็เลือกใช้แต่ internet ไม่เติมเงิน แล้วโทรศํพท์ใครถ้าใส่ได้ 2 ซิมก็สะดวกมากค่ะ ข้อมูลไม่หายแน่นอน แค่สลับซิมมาใช้อีกเบอร์ตอนอยู่เมืองนอก ถ้ามีปัญหาเครือข่ายก็มีเบอร์โทรข้ามทวีปสอบถามได้ด้วยไม่เสียเงินเพิ่ม สะดวกดีจริงๆ ใช้ค่ายอื่นก็ใช้ซิมอันนี้ได้หมด รายละเอียดหาอ่านในหลายๆ เว็บเลยค่ะ รีวิวจากที่มาใช้ตอนนี้สะดวกเลยค่ะ บางพื้นที่อาจสัญญานอ่อนแต่น้อยมาก
หลายคนคงสงสัยว่าแล้วค่าโวลต์ไฟที่อเมริกาเท่าไร อันนี้ไม่แน่ใจค่ะ แต่ถ้าเครื่องใช้ไฟฟ้าของใครที่หัวชาร์ทฟหรือตัวเครื่องเขียนว่า 100-240 V, 50-60 Hz ใช้ไทั่วโลกเลยค่ะ มือถือหรือ laptop ส่วนใหญ่เป็นแบบนี้หมดแล้วนะคะ แต่ถ้าของใครใช้แต่ไฟไทย 220 V อันนี้ต้องหาตัวเปลี่ยนค่าไฟไปด้วยนะคะ ใช้แต่ adaptor เปลี่ยนลักษณะหัวไม่ได้
นักเขียนเปลี่ยนที่พักอีกครั้งก่อนออกเดินทางสัปดาห์หนึ่ง ต้องบอกก่อนนะคะว่าค่าครองชีพใน SF แพงกว่าไทยประมาณ 2-3 เท่า ที่พักราคาหลักต่ำกว่า 2k บาทต่อคืนอาจได้เป็นห้องพักในหอ โฮสเทล หรือถ้าโชคดีหน่อยก็ห้องพักเดี่ยวแต่ห้องน้ำแชร์ร่วมกัน ประเทศเขตอบอุ่นหรือเขตหนาวเขาก็ไม่ได้อาบน้ำบ่อยแบบไทยแลนด์ มีอ่างล้างหน้าในห้องน้ำนี่ดีมากแล้วค่ะ เพราะงั้นค่าที่พักค่าเดินทางใน SF สูงพอสมควร แต่ถ้าไม่ซีเรียสมาก ไปกันเป็นกลุ่มใหญ่ พักในหอพัก โอสเทลดีๆ ทั่ว SF มีมากทีเดียว และบริการไม่ได้แย่ด้วย
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องเตือนคนที่ไป SF ว่าต้องระมัดระวังคือ SF เป็นเขตอบอุ่น อากาศดี เมืองน่าอยู่ เศรษฐกิจรุ่งเรือง เพราะฉะนั้น homeless เยอะนะคะ ถ้าเลือกที่พักใกล้ขนส่งมวลชน ยังไงก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ อ่านรีวิวที่พักนิดนึงหากเป็นผู้หญิงแล้วเดินทางคนเดียว คือไม่ได้น่ากลัวมากแต่ไม่ควรประมาทค่ะ นักเขียนไปพักโรงแรมชื่อ Mithila hotel ราคาก็ประมาณนึงแต่เพราะเดินทางคนเดียวเลยเลือก safe place ให้ตนเอง และเพราะไปทำงานทำให้ต้องพกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้วย พักในหอพักหรือโฮสเทลก็กังวลเกินไป เลยยอมจ่ายเพิ่มเพื่อให้เป็นการเดินทางท่องเที่ยวที่ไม่พะว้าพะวงนิดนึง (ราคาประมาณ 37k ตลอดทั้งทริป เรียกว่าทำงานงกๆ หาเงินก่อนเดินทางอย่างหนักหน่วงมาก)
อื่นๆ
สภาพอากาศ เช็คด้วยนะคะว่าเดินทางกันตอนไหน นักเขียนไปเดือนพฤษภาคม เขาบอกว่าเป็นฤดูใบไม้ผลิ ทางนี้ก็ตีว่า อ๋อ! ฤดูร้อน เพราะบ้านเราไม้ผลิดอกออกลูกผลก็ประมาณนี้ แต่…ไม่ใช่ค่ะ! มันไม่ใช่ฤดูร้อน เปิดอุณภูมิเช็คก่อนเดินทางพบว่าแค่ 12-17 องศาเท่านั้น บางวันฝนตกทั้งวัน บางวันมีแดดแต่ 13 องศา นี่วิ่งหาร่มพับหาเสื้อกันหนาวเตรียมแทบไม่ทันเพราะเป็นพวกขี้หนาว ยิ่งหน้าหนาวก็ติดลบไปเลยค่ะ
ที่ดีคือ ค่าฝุ่นละอองจากแอป AQI สีเขียวสวยสบายปอดมาก 30-40 คนที่มาจากแดน 300-400 นี่คือเวลาฟอกปอดให้ใสสสสส
อาหารการกิน จริงๆ เป็นคนชอบกินมากนะคะ แต่พอไปเที่ยวนั้นเป็นสายเที่ยวทั่วเมือง ก็อยากจะเอาเงินไว้เที่ยวมากกว่า ยิ่ง SF ค่าครองชีพสูงกว่าไทย เรายิ่งอยากเก็บเงินไว้เที่ยวอย่างเดียว เลยพกขนมปังกับถั่วทองการ์เด้นใหญ่ๆ ติดกระเป๋าไปด้วย กินพื้นที่ 1/3 ของกระเป๋าไปเลย ตามรูปด้านล่างเลยค่ะ แต่ SF ไม่ได้แพงขนาดนั้นค่ะ อาหารหลากหลายสัญชาติเต็มเมือง เดี๋ยวจะถ่ายมาให้ดู