เรื่องราวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ผมชอบ

เนื่องจากสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ของวันวิสาขบูชา
ซึ่งถือเป็นสัปดาห์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเป็นพุทธษัทของผม
ผมจึงได้กลับมาทบทวนเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระสัมมาสัมสัมพุทธเจ้า เพื่อจะได้ทบทวนว่าเพราะเหตุใดเราจึงศรัทธาในตัวพระองค์
ไหนๆ ผมก็อ่านแล้ว พอเจอเรื่องที่ชอบบ
มีความรู้สึกว่าไม่อยากเก็บไว้แต่เพียงผู้เดียวจึงนำเขียนลงไว้ ณ พื้นที่แห่งนี้
เรื่องราวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ผมชอบ เรื่องที่ ๑

สมัยหนึ่ง อภัยราชกุมาร

ถูกพวกนักบวชนอกพระพุทธศาสนายุ

ให้เข้ามาถามปัญหากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

โดยก่อนที่ปล่อยให้เข้ามาถาม

ก็เทรนให้อย่างดี

ประมาณว่าให้ถามคำถามแบบนี้นะ

หากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอบนี้

ให้ย้อนแบบนี้ๆ รับรองจนมุมแน่

อภัยราชกุมาร ก็เชื่อเพราะคิดว่า

เป็นใครที่เจอคำถามแบบนี้ก็ต้องจนมุน

--

เมื่อถึงวันเวลาเหมาะสม

อภัยราชกุมารก็นิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พร้อมกับพระภิกษุอีก ๓ รูป มาฉันภัตตาหารที่บ้าน

เมื่อพระพุทธองค์ฉันเสร็จ

อภัยราชกุมารก็รีบเข้ามาถามปัญหาตามที่ถูกเทรนมาทันที

----

เพียงแค่อภัยราชกุมารถามคำถามแรกไปเท่านั้นแหละ

ก็รู้ได้ทันทีว่าความยิ้มจะไปตกอยู่ที่ใคร

เพราะพระพุทธองค์ ตรัสว่า

คำถามแบบนี้ จะตอบโดยส่วนเดียวไม่ได้

คำตอบแบบนี้ มันผิดกับที่พวกนักบวชนอกพระพุทธศาสนาเทรนมา

ทำให้กุมารไม่รู้จะไปต่ออย่างไร

สุดท้ายก็ต้องบอกความจริงทั้งหมดว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร

-----

พระพุทธองค์ก็มีพระมหากรุณาธิคุณเหลือเกิน

นอกจากจะไม่ถือสาหาโทษแล้ว

ยังตรัสตอบปัญหาตามความจริง

ที่กุมารสงสัย จนเคลียร์ทุกประเด็น

ฝ่ายกุมารเอง เคลียร์แล้วแหละในเรื่องที่ถูกส่งมาถาม

แต่ขณะนั้นมีเรื่องใหม่ที่สงสัย

คือ สงสัยในพระปัญญาธิคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

เวลามีพวกบัณฑิต นักปราญช์ หรือคนกลุ่มต่างๆ

เข้ามาสอบถามปัญหากับพระพุทธองค์

พระพุทธองค์รู้เรื่องก่อน

และสามารถกำหนดในใจก่อนว่าจะตอบแบบนี้ ๆ

หรือ คำตอบที่ควรจะตอบปรากฎขึ้นมา แล้วก็ตอบได้ทันทีขณะนั้นๆ

------

ที่เล่าเกริ่นมาตั้งนาน เรื่องที่ผมชอบอยู่ตรงจุดนี้แหละ

ดังนั้นท่อนนี้จึงขอยกข้อความในพระไตรปิฏกมาให้อ่านเลยแล้วกัน

พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า...

“ราชกุมาร ถ้าเช่นนั้น

ในข้อนี้ ตถาคตจักถามพระองค์บ้าง

ข้อนี้พระองค์ เห็นควรอย่างไร

พระองค์พึงตอบอย่างนั้น

พระองค์ทรงเข้าพระทัยความข้อนั้น ว่าอย่างไร

พระองค์เป็นผู้ชำนาญในองค์ประกอบน้อยใหญ่ของรถ มิใช่หรือ”

“ใช่ พระพุทธเจ้าข้า หม่อมฉันเป็นผู้ชำนาญในองค์ประกอบน้อยใหญ่ของรถ”

“ราชกุมาร พระองค์ทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นว่าอย่างไร

ชนทั้งหลายเข้า ไปเฝ้าพระองค์แล้วทูลถามอย่างนี้ว่า

‘องค์ประกอบน้อยใหญ่ของรถคันนี้ชื่ออะไร’

การตอบปัญหาแก่ชนเหล่านั้น

พระองค์ตรึกด้วยพระทัยก่อนว่า

‘ชนทั้งหลายเข้า มาหาเราแล้วจักถามอย่างนี้

เราเมื่อถูกชนเหล่านั้นถามอย่างนี้ จักตอบอย่างนี้’

หรือว่าคำตอบนั้นปรากฏแก่พระองค์โดยทันที”

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

เพราะหม่อมฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญรู้จักรถเป็นอย่างดี

ชำนาญในองค์ประกอบน้อยใหญ่ของรถทั้งหมด

หม่อมฉันทราบดีแล้ว

ฉะนั้นการตอบปัญหานั้นปรากฏแก่หม่อมฉันโดยทันที”

“ราชกุมาร กษัตริย์ผู้เป็นบัณฑิตก็ดี

พราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิตก็ดี

คหบดี ผู้เป็นบัณฑิตก็ดี สมณะผู้เป็นบัณฑิตก็ดี

ตั้งปัญหาแล้วจักเข้ามาหาตถาคต

ถามปัญหานั้น

การตอบปัญหานั้นปรากฏแก่ตถาคตโดยทันทีเหมือนกัน

ข้อนั้นเพราะ เหตุไร

เพราะธรรมธาตุนั้น

ตถาคตแทงตลอดดีแล้ว

การตอบปัญหานั้นจึงปรากฏแก่ตถาคตโดยทันที”

------

สรุปที่ผมชอบก็คือ

ความรู้ที่หาได้ยากในโลก คือความรู้เรื่องชีวิต

ไม่มีใครมีความรู้ "จริง"ในเรื่องชีวิตมาก่อนเลย

จนกระทั่งมีการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- อ้างอิงจาก

อภยราชกุมารสูตร พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เล่ม ๑๓ หน้า ๘๔
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่