ญาณ ๑๖ ขั้น ฉบับซึ้งประจักษ์

ญาณ คือ รู้บ่อย รู้มากขึ้น รู้ให้แข็งแรง

ญาณที่ ๑ นามรูปปริจเฉทญาณ คือ สามารถจำแนกได้ว่าสิ่งไหนเป็นรูป สิ่งไหนเป็นนาม และรูปกับนามเป็นเช่นใด

(ญาณกำหนดจำแนกรู้นามและรูป คือ รู้ว่าสิ่งทั้งหลายมีแต่รูปธรรมและนามธรรม และกำหนดแยกได้ว่า อะไรเป็นรูปธรรม อะไรเป็นนามธรรม — knowledge of the delimitation of mentality-materiality, สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต))

ญาณที่ ๒ ปัจจยปริคคหญาณ คือ มีเหตุปัจจัยอะไรที่ทำให้เกิดรูปและนาม

รูปมาจากอะไร? รูปมาจากขันธ์ทั้ง ๕ รวมกัน เป็นต้น

นาม ก็คือ สิ่งที่อยู่ในรูป มีความรู้สึกในรูป

(ญาณกำหนดรู้ปัจจัยของนามและรูป คือรู้ว่า รูปธรรมและนามธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุปัจจัยและเป็นปัจจัยแก่กัน อาศัยกัน โดยรู้ตามแนวปฏิจจสมุปบาท ก็ดี ตามแนวกฏแห่งกรรม ก็ดี ตามแนววัฏฏะ 3 ก็ดี เป็นต้น — knowledge of discerning the conditions of mentality-materiality, สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต))

ญาณที่ ๓ สัมมสนญาณ คือ ทั้งนามและรูปเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยยกสิ่งที่เป็นรูปและนามมาพิจารณาว่า เป็นสิ่งที่จะต้องแปรเปลี่ยน ไม่คงทน ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้

(ญาณกำหนดรู้ด้วยพิจารณาเห็นนามและรูปโดยไตรลักษณ์ คือ ยกรูปธรรมและนามธรรมทั้งหลายขึ้นพิจารณาโดยเห็นตามลักษณะที่เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มิใช่ตัวตน — knowledge of comprehending mentality-materiality as impermanent, unsatisfactory and not-self, สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต))

ทำไมไปปฏิบัติธรรม มีการนั่งสมาธิ เดินจงกรม เจริญภาวนา แล้วทำไมถึงไม่ได้ญาณ

ก็เพราะว่าเราไม่ได้ศึกษาจากธรรมชาติเป็นเบื้องต้นไป อยู่ดีๆ ก้าวกระโดดไปเอาญาณ ก็เลยไม่ได้ญาณ

ญาณที่ ๔ อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ คือ รูปและนามเป็น ๓ วิถี คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นเรื่องปกติในธรรม เป็นตถตา จะต่อเนื่องจากข้อที่ ๓ ซึ่งเป็นกระบวนการว่า

๑) เกิดขึ้นยังไง ?

๒) ตั้งอยู่ยังไง?

๓) ดับยังไง ?

หมายความว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้นยังไง? อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาตั้งอยู่ยังไง? อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดับยังไง?

ทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ต้องไปตามเส้นทางอย่างนี้

ข้อที่ ๔ นี้ก็คือมาสรุป มายอมรับว่าทั้ง ข้อ ๑-๓ ข้อเป็นเช่นนี้

(ญาณอันตามเห็นความเกิดและความดับ คือ พิจารณาความเกิดขึ้นและความดับไปแห่งเบญจขันธ์ จนเห็นชัดว่า สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ครั้นแล้วก็ต้องดับไป ล้วนเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปทั้งหมด — knowledge of contemplation on rise and fall, สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต))

ญาณที่ ๕ ภังคานุปัสสนาญาณ คือ ดูความเปลี่ยนแปรไป เปลี่ยนแปลงไป

(ญาณอันตามเห็นความสลาย คือ เมื่อเห็นความเกิดดับเช่นนั้นแล้ว คำนึงเด่นชัดในส่วนความดับอันเป็นจุดจบสิ้น ก็เห็นว่าสังขารทั้งปวงล้วนจะต้องสลายไปทั้งหมด — knowledge of contemplation on dissolution, สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต))

ถ้าใช้คำว่า "ดับ" จะมีปัญหาอยู่เรื่อยว่า หายไปแล้ว ที่จริงไม่หายแต่แปรสภาพ เช่น มีคนเป็นศพ เราบอกว่าคนตาย เขาตายที่ไหน เพียงแต่แปรเปลี่ยนสภาพเป็นศพ พอเป็นศพแล้วก็แปรสภาพเป็นธาตุ นี่แหละ "แปรสภาพ" ไม่ใช่ "ดับ"

บางคนแปลความหมายของพ่อศิวะมหาเทพผิดไป จะต้องแปลว่า พลังแห่งการเปลี่ยนแปลง แปรสภาพ ไม่ใช่พลังแห่งการทำลาย หรือดับ แต่เป็นไปโดยขบวนการ

ยกตัวอย่างเช่นการพิจารณาอสุภะ ก็เป็นญาณเช่นเดียวกัน

๔ ขั้นตอนแรกว่าด้วยรูปและนาม

พอมาขั้นที่ ๒ มาดูขั้นแห่งการเปลี่ยนแปลงของศพ ว่าเป็นอย่างไรถึงกลายเป็นศพ แล้วก็กลายเป็นสูญคือแยกธาตุ กลับเข้าสู่ธรรมชาติ ไม่มีตัวตนแล้ว อัตตาถูกแยก คือ รูปตัวตนถูกแยกแล้ว

ขั้นที่ ๔ ก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าสู่สุญญตา

แต่ถ้ามีการพิจารณาอสุภะ มีรูปให้นำ จะทำให้คิดพิจารณาได้ง่ายยิ่งขึ้น

ถ้าใช้การพิจารณาแบบญาณ ๑๖ จะไม่มีรูปนำ อธิบายเป็นหลักวิชาการ คนมองไม่เห็นภาพ

สมมติว่าเราไม่เคยเรียนธรรมะมาไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี เรานึกภาพไม่ออก

ถ้าไม่มีรูปก็จะคิดตามไม่ทัน เพราะว่าไม่มีภาพประกอบ ว่ารูปเป็นยังไง?

ถ้าเรามีเมีย การเจริญวิปัสสนาตรงนี้จะอ่อนลง จะถูกแยก เช่น เรามี ๑๐ ส่วน เราจะถูกแยกให้ ๕ ส่วน ถ้าเราไม่มีเมียจะต่อจิ๊กซอว์ได้ดี

สมมติว่าเรากำลังคิดพิจารณาอสุภะตรงนี้อยู่ แต่ก็จะมีความคิดอีกอย่างหนึ่งว่าเข้ามาในสมองเราว่า พรุ่งนี้เราจะเอาเงินที่ไหนมาให้เมียไปซื้อกับข้าว จะต้องมาแบ่งแยกความคิด

ญาณที่ ๖ ภยตูปัฏฐานญาณ คือ ทุกสิ่งต้องเสื่อมสลาย เราจะยึดมั่นถือมั่นให้ถาวรไม่ได้ ถ้าเรายึดมั่นถาวร เราก็จะทุกข์หนัก

(ญาณอันมองเห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลัว คือ เมื่อพิจารณาเห็นความแตกสลายอันมีทั่วไปแก่ทุกสิ่งทุกอย่างเช่นนั้นแล้ว สังขารทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นไปในภพใดคติใด ก็ปรากฏเป็นของน่ากลัว เพราะล้วนแต่จะต้องสลายไป ไม่ปลอดภัยทั้งสิ้น -- knowledge of the appearance as terror, สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต))

ใช้คำว่า "เห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลัว" คำนี้ไม่ควรใช้ เพราะว่า "อคติ" ไม่ถูกต้อง ในเมื่อความยั่งยืนไม่มี แล้วจะหาความปลอดภัยอะไร ตรงไหนเป็นสิ่งปลอดภัย

ฉะนั้น ควรตัดคำว่า "เป็นของน่ากลัว" ออก

ถ้าใช้คำว่า "เป็นภัย เป็นของน่ากลัว" คำนี้เป็นอคติแล้ว แล้วจะเป็นญาณได้อย่างไร

เพราะว่า ถ้าเป็นไปตามครรลองครองธรรม จะน่ากลัวทำไม?

ญาณที่ ๗ อาทีนวานุปัสสนาญาณ คือ รู้ความเปลี่ยนแปลงจะยึดมั่นถือมั่นให้เป็นอย่างนั้นถาวรไม่ได้ ถ้ายึดมั่นเป็นถาวรก็จะทุกข์อย่างยิ่ง

(ญาณอันคำนึงเห็นโทษ คือ เมื่อพิจารณาเห็นสังขารทั้งปวงซึ่งล้วนต้องแตกสลายไป เป็นของน่ากลัวไม่ปลอดภัยทั้งสิ้นแล้ว ย่อมคำนึงเห็นสังขารทั้งปวงนั้นว่าเป็นโทษ เป็นสิ่งที่มีความบกพร่อง จะต้องระคนอยู่ด้วยทุกข์ — knowledge of contemplation on disadvantages, สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต))

คำว่า "คำนึงเห็นโทษ" ก็เป็นคำที่อคติ เป็นการ กล่าวว่าร้าย เส้นทางอย่างนี้มันร้าย ไม่ควรเอา เส้นทางโลกิยะเป็นเส้นทางที่ร้าย อย่างนี้ไม่ได้ เพราะเป็นเส้นทางที่ทุกคนต้องผ่าน ถ้าพูดอย่างนี้จะมีกี่คนไหมที่เกิดมาแล้วไม่พบเจอโลกิยะ แต่ทุกคนจะต้องเริ่มต้นจากโลกิยะ ก่อนที่จะไปสู่โลกุตตระ

ญาณที่ ๘ นิพพิทานุปัสสนาญาณ คือ จะไม่เอาแล้ว เพราะว่ามันไม่ยั่งยืน

ไม่ใช่เบื่อหน่าย แต่เกิดจากหน่าย เพราะมีโทษ มีแต่ความทุกข์ พอเห็นแล้วหน่าย ก็เริ่มล่ะ

(ญาณอันคำนึงเห็นด้วยความหน่าย คือ เมื่อพิจารณาเห็นสังขารว่าเป็นโทษเช่นนั้นแล้ว ย่อมเกิดความหน่าย ไม่เพลิดเพลินติดใจ — knowledge of contemplation on dispassion, สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต))

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่