
ชีวิตอาจมาใกลกว่าที่เราคิด จากการค้นพบโอมัวมัวอา ซึ่งเป็นวัตถุที่เดินทางมาจากระบบดาวอื่น เจ้าหินอวกาศที่มีรูปร่างคล้ายกับว่าเป็นซิการ์นี่ เมื่อพยายามพุ่งเข้ามาในระบบสุริยะชั้นในเป็นวัตถุล่าสุด
ในฐานะวัตถุจากต่างระบบดาว หรือวัตถุระหว่างดวงดาวชิ้นแรก ที่ช่วยปลดล็อคการค้นพบ
แต่ทว่ามันอาจไม่ได้มาถึงที่นี่เป็นครั้งแรก ความจริงมันอาจมาใกลกว่าที่เราคิด

:เราเคยคิดว่าวัตถุในแบบของโอมัวมัวอาอาจเดินทางมาไม่ใกลมากครับ อาจมีวัตถุแบบนี้โผล่มาโคจรรอบดวงอาทิตย์ในระยะไม่เกินหนึ่งหน่วยดาราศาสตร์ตอนใหนก็ได้ ” นักวิทยาศาสตร์บิล บ็อคเค จากนาซาได้ตีพิมพ์งานวิจัยถึงเรื่องการผ่าทางตันและหนทาง ที่มหาวิทยาลับแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์
(1 AU คือระยะทาง 93 ล้านไมล์ ระยะทางตั้งแต่โลกไปจนถึงดวงอาทิตยฺ์นั่นเอง)
“และเอาเข้าจริงนี่มันเป็นการค้นพบที่สำคัญ และน่าสนใจมากเลยละครับ” บ็อคเคกล่าว
ในฐานะที่เขาการดูและสูนย์วิจัยดาราศาสตร์ที่โคโลราโด บอนด์เดอร์
หนึ่งในการ์คาดการ์ณเหล่านั้นก็ฌคือวัตถุอย่างโอมัวมัวอาอาจนำพาชีวิตเดินทางข้ามระบบดาวมา
หรือที่เคยรู้จักกันในแนวคิด แพนเพอร์เมีย ที่วาชีวิตจากเกาะไปกับอุกกาบติ หรือเดินทาง
ไปพร้อมกับการเคลื่อนที่ของวัตถุในอวกาศ
ขนาดที่แท้จริงของโอมัวมัวอานั้นจะไม่เป็นที่แน่ชัด แต่นักวิทยาศาสตร์คาดว่ามันจะยาวไม่เกิน 800 เมตร
ในด้านที่ยาวมากที่สุดของมัน วัตถุได้แสดงให้เห็นถึงความเร่งอันไม่ได้มาจากแรงโน้มถ่วง เมื่อมัน
โคจรผ่านดวงอาทิตย์ไป ทำให้กลุ่มผู้นิยมเอเลี่ยนกล่าวว่ามันอาจเป็นยานอวกาศชนิดหนึ่ง แต่
ผลการศึกษาล่าสุดชี้ว่ามันเป็นปฏิกิริยาของแก้สในอวกาศ ที่เกิดขึ้นกับวัตถุอันใกล้เคียงดาวหางดวงนี้ต่างหากละครับ
“มันแสดงให้เห็นว่าน้ำแข็งสามารถรอดชีวิตในการเดินทางข้ามระบบดาวได้” นักชีวดาราศาสตร์ คาเรน มีท กล่าวขึ้นในขณะที่เธอเป็นนักวิจัยจากฮาวายได้ตีพิมพ์งาน ว่าชีวิตอาจได้รับการปกป้องภายใตน้ำแข็ง ซึ่งความร้อนและรังสีจากซูเปอร์โนวาอาจไม่สามารถทะลวงทั้งน้ำแข็งได้มากกว่า 10-20 เมตร มีทจึงกล่าวว่า”คุณสามารถนำสิ่งมีชีวิตบางชนิดให้เข้าสู่สภาวะแช่แข็งทั้งเป็นได้ พวกมันจะมีชีวิตอยู่แม้ในความหนาวเย็นนั้น มันไม่แตกต่างจากการมีชีวิตรอดในน้ำแข็งที่มาจากระบบสุริยะชั้นนอก”
นักดาราศาสตร์ยังไม่ฟันธงถึงระบบดาวที่ส่งโอมัวมัวอาออกมา ดังนั้นเราจึงไม่รู้ทิศทางที่มันจะเดินทางไปหลังจากที่เจ้าวัตถุนี้เดินทางออกไปจากระบบสุริยะที่มึกมิดและหนาวเย็น แต่บางที่มันอาจเข้าสู่การเดินทางในอวกาศระหว่างดวงดาว ที่ยาวนานถึง 10 ล้านปี ก็เป็นไปได้มีทกล่าว ยังไม่แน่ใจ
ว่าชีวิตหรือเคมีบนโอมัวมัวอาจะรอดชีวิตได้หรือไม่ ถ้าหากมันพุ่งชนกับดาวเคราะห์อย่างโลกวัตถุโคจรผ่านเราไปด้วยความเร็วสัมพันธ์สูงถึง 215000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นั่นหมายถึงความเร็วระดับปีศาจที่ 58.6 กิโลเมตร/วินาที
“มันจะมีความเร็วในการพุ่งชนที่สูงจนเหนือกว่าจินตนาการ “ หญิงสาวกล่าวขึ้น
“โอมัวมัวอาเดินทางมาจากสถานที่ที่ห่างใกลกว่าระบบสุริยะของเรา วัตถุที่เดินทางมาจากระหว่างดวงดาวนี้อาจพุ่งชนเราด้วยความเร็วสูงถึง 360,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือ 100 กิโลเมตรต่อวินาที นั่นมันเป็นความเร็วที่น่ากลัวจริงๆ แต่โอมัวมัวอาและวัตถุอวกาศของมันอาจทำจากวัสดุที่มีความหนาแน่นต่ำ ซึ่งทำให้ดาเมจจากการตกกระทบลดลง ก็เป็นไปได้ และพวกเขาอาจแตกตัวเป็นชิ้นๆ เมื่อพวกเขาเดินทางเข้ามาในชั้นบรรยากาศของเรา สเตน ซิกกูสัน โปรเฟสเซอร์ด้านดาราศาสตร์และนักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพน ได้กล่าวขึ้นมาบ้าง
งานวิจัยก่อนหน้า ที่ทำโดยนักวิจัยของฮาร์วาร์ด อย่างอีเวล็อบและคนอื่นๆได้ชี้ว่า เมือรวบเข้ากับการคำนวนทางคณิตศาสตร์ของซิกกูสัน อาจมีวัตถุที่คล้ายโอมัวมัวอาไม่ต่ำกว่า 100 ชิ้นพุ่งชนเข้ากับดวงดาวของเรา ตลอดประวัติศาสตร์ 4.6 พันล้านปีของโลก “นี่เป็นการคาดการณ์ว่าวัตถุอวกาศเหล่านี้มันถูกเหวี่ยงมาแบบสุ่ม ไม่ใช่การควบคุมของเอเลี่ยนทรงปัญญา ซึ่งเป็นหัวใจของแนวคิดแพนเพอร์เมีย”
“เป็นไปได้มั้ยว่าบนวัตถุเหล่านี้จะมีสิ่งมีชีวิตหรือว่าเคมีชีวภาพ เราอาจต้องลองส่งยานไปเกาะบนวัตถุประเภทนี้ แล้วทำการเจาะมันเพื่อดูโครงสร้างภายในดู” ล็อบเอ่ย “การจับโอมัวมัวอานั้นเป็นไปไม่ได้” ในฐานะของที่เขาเป็นผู้ร่วมวิจัยทางดาราศาสตร์ และเจ้าของไอเดียสุดโต่ง อย่างโอมัวมัวอาอาจเป็นยานของเอเลี่ยนที่เดินทางมาในแบบของไบเรือสุริยะ เนื่องจากมันอยู่ลึกมาก เราต้องการทั้งกล้องโทรทรรน์ที่ทรงพลังพอจะตรวจจับวัตถุในอวกาศลึก และต้องการความเร็วในการสลิงช็อตที่สูงพอเพื่อไปให้ถึงตัวมัน
มันสมเหตุผมผลกว่ามากที่เราจะรอจับตัววัตถุชิ้นต่อไปที่จะเดินทางเข้ามาในระบบสุริยะของเรา ใช่ วัตถุระหว่างดวงดาว ล็อบเอ่ยในการประชุมวิชาการ กล้องดูดาวเซอร์โนฟิคที่ทั้งใหญ่และทรงพลัง พยายามตรวจจับวัตถุฟากฟ้าที่กำลังจะปรากฏตัวเข้ามาปีหน้า มันอาจตรวจจับวัตถุได้หนึ่งชิ้นต่อเดือน ถ้าหากใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ
“ถ้าเราสามารถตรวจจับพวกเขาได้ดีพอ มันอาจเป็นการพบกันครึ่งทางระหว่างเราและวัตถุอวกาศที่ความเร็วสัมพันธ์ที่ต่ำก็เป็นไปได้” แน่นอนว่าเป็นไปได้ว่าชีวิตอาจโดดจากอวกาศมายังดาวโลกของเราในอดีตกาลนานมาแล้ว ดาวเคราะห์หินในระบบสุริยะถูกอุกกาบาติพุ่งชนอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งหลักฐานใหม่ๆ ที่แสดงให้เห็นว่า ชีวิตอาจเริ่มต้นบนดาวอังคาร
เอ็กซ์ตรีมเทอร์โมไฟล์ ชีวิตสุดขั้วจักรวาล

แต่การศึกษาและค้นคว้าใหม่ๆ มันชี้ว่าชีวิตมีความแข็งแกร่งและทนทานกว่าที่เราเคยคาดการณ์ใว้เดิมเป็นหลายเท่า ในทะเลของกรดกำมะถัน ที่มีทั้งเหล็กไฟไรท์และซัลไฟด์แบบอืดๆ แบคทีเรียและอาร์เคียกลับสามารถใช้ชีวิตอยู่ในทะเลกรดกำมะถันได้อย่างสบายๆ รวมถึงแบคทีเรียแกรมบวกหลายชนิดที่ใช้ชีวิตอยู่ในทะเลสาปโซดา ที่มีค่า PH ตั่งแต่ 9-12 ก็ยังคงมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในทะเลของขยะนิวเคลียร์ในอังกฤษ ที่อยู่ในสถานที่ทิ้งรังสีในอังกฤษ ในดินแดนแห่งนี้มีแร่อัลคาไลน์ที่แผ่รังสีจำนวนมหาศาล แม้แต่น้ำก็กลายเป็นของเหลวที่เต็มไปด้วยรังสี ถึงขนาดนี้แล้วมันมีรังสีที่มากมายขนานย่อยสลายเซลล์ลูโลสหรือทำให้ไม่มะั่นคงได้ จึงเป็นสาเหตุที่ทะเลรังสีแห่งนี้มีความร้อนที่สูง
จนอาจเกือบถึงจุดเดือดของน้ำ และเต็มไปด้วยกรดชีวภาพจำนวนมหาศาล แต่ในอีกพึ้นที่ก็มีเบสที่สูงเช่นกัน กรดเคมี รังสีจากอัลคาไลน์ และพิษจากรังสีอาจพยายามจำกัดการเติบโตของสิ่งมีชีวิต
แต่กระนั้นพวกมันกลับไม่ถูกทำลาย ใช่ พวกมันปรับตัวด้วยการปรับกระบวนการเกี่ยวกับ
อิเล็กตรอนข้างในตัวเอง ซึ่งนั้นทำให้มันสามารถขับพิษจากรังสีนิวเคลียร์ หรือแม้แต่เปลื่ยนกัมมันตภาพรังสีให้ใกลเป็นแหล่งพลังงานหล่อเลี้ยงชีวิต รวมถึงกระบวนการในการจัดการกับโลหะ แบคทีเรียสามารถย่อยโลหะ หรือแม่แต่เปลี่ยนรังสีให้เป็นพลังงาน ซึ่งนั้นจัดว่าไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก และกระบวนการเหล่านี้ทำให้ความเป็นกรดด่างในธรรมชาติเปลื่ยนไปอย่างมาก
เช่นเดียวกับแบคทีเรียอย่างไดโนคอกคัสที่สามารถทนทานต่อรังสีที่ 6000 เกรย์ ด้วยความสามาถในการเปลื่ยนแมงกานิสให้กลายเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ เพื่อป้องกันความเสียหายในการโจมตีด้วยกัมมันภาพรังสี นอกจากนั้นยังมีความสามารถในการเปลื่ยนโครงสร้างดีเอ็นเอตัวเองเพื่อรอดชีวิตได้ เรียกว่าตายยากกันแบบสุดๆไปเลย
นักวิทยาศาสตร์จึงมีแนวคิดในการจะดัดแปลงพันธุกรรมของพวกมัน เพื่อเอาไปใช้กำจัดขยะนิวเคลียร์
การศึกษาพวกมันยังช่วยให้เราสามารถทำความเข้าใจกระบวนการแก่ตัวและมะเร็ง ซึ่งนั่นมีประโยชน์มาก
แต่พวกมันก็ไม่ได้ทนทานแค่ต่อกรด ด่าง และรังสีเท่านั้น
เพราะว่ากลุ่มแบคทีเรียคีโมลิท ที่อาศัยอยู่ใต้
ภูเขาไฟใต้ทะเล สามารถทนทานต่อความร้อนสูงถึง 122 องศาเซลเซียสได้อย่างสบาย แถมยังถูกน้ำบีบอัดที่ความดัน 20 เมกะปาสคาล และแม้แต่เพิ่มความดันถึงเป็น 40 เมกะปาสคาล พวกมันก็ยังคงอยู่รอดใต้ทะเลได้อย่างสบายๆ กลุ่มแบคทีเรียมีทาโนเตเนซิสนั้นถือว่ามีความสำคัญมาก กับวัฏจักรคาร์บอนบนโลกของเรา ในเวลาเดียวกับที่แก้าเรือนกระจกกำลังถูกทำให้ปลดปล่อยออกมา พวกมันสามารถเข้ากับความร้อนสูงได้ดีอย่างเหลือเชื่อ และสามารถสังเคราะห์พลังงานจากคาร์บอนและไฮโดรเจน แม้แต่เพิ่มความร้อนขึ้นเป็นความร้อนที่ 130 องศาเซลเซียส นานถึง 2 ชั่วโมง พวกมันก็ยังมีชีวิตอยู่ แถมที่122 องศา พวกมันไม่ได้แค่แค่รอด แต่ยังเติบโตได้เต็มศักยภาพอีกด้วย
แม้แต่ทะเลทรายแสนแห้งแล้งในแอนตาร์ติกาก็ยังทำให้เป็นแหล่งอาศัยของแบคทีเรียจำนวนมหาศาลที่กินคาร์บอนเป็นอาหารแม้แต่ในสภาวะที่มีคาร์บอน ในโตรเจน และน้ำในปริมาณที่จำกัด และกัมมันตภาพรังสีมากมายถึงขั้นมหาศาล พวกมันก็ยังคงหาแหล่งพลังงานได้จากสภาพอากาศ และปรากฏการณ์ทางเคมีบนดาว

ลงไปลึกใต้เปลือกโลกถึง 5 กิโลเมตร เป็นแหล่งของระบบนิเวศขนาดมหึมา ที่มีมวลของชีวิตในทะเลอยู่มากกว่าสองเท่า ของมวลชีวิตในมหาสมุทรทั้งหมด แม้จะมีความร้อนมหาศาล ความมืดมิดเหมือนหลุมดำ หรือว่าสารอาหารจำกัด และแรงดันรุนแรงเหนือจินตนาการ ก็ยังเป็นบ้างของอาณาจักรแบคทีเรียขนาดยักษ์ ที่มีปริมาณมากกว่ามนุษย์ชาติทั้งโลกรวมกัน ผลการวิจัยชี้ว่าความหลากหลายใต้เปลือกโลกอาจมีมากกว่าป่าอะเมซอน หรือเกาะกาลาปากอสซะอีก จากการวิจัยล่าสุด พบว่าชีวิตที่อยู่ใต้เปลือกโลกจะมีปริมาณมากกว่าชีวิตด้านบนหลายเท่าตัว จากการสำรวจคาร์บอนในระดับลึกที่ส่วนมากยังเป็นความลับเพราะผู้คนยังไม่ได้สำรวจเท่าที่ควร นักวิทยาศาสตร์ 1200 คน จาก 52 ประเทศ ได้ใช้เวลาศึกษาถึงสิบปี เกี่ยวกับความลับของชีวิตใต้เปลือกดาวเคราะห์ของเรา รายงานชี้ว่ากว่า 7/10 ของแบคทีเรียและอาร์เคียทั้งหมดไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่บนเปลือกดาว สิ่งมีชีวิตที่อยู่ใต้เปลือกโลก 2.5 กิโลเมตรลงไปเหล่านี้ไม่ได้ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ แต่กลับใช้พลังงานจากเปลือกโลก และสังเคราะห์มีเทนออกมา แบคทีเรียบางชนิดมีคุณสมบัติในการรอดอยู่ชีวิตได้ในสภาวะที่มีแรงโน้มถ่วงมหาศาลกว่า 400,000G ชี้ว่ามันสามารถรอดชีวิตได้จากซูเปอร์โนว่าหรือแรงโน้มถ่วงของดาวยักษ์
เอ็นโดสปอร์ของแบคทีเรียในกลุ่มบาซิลลัสสามารถรอดชีวิตได้จากการพุ่งชนที่ความเร็วมากกว่า 300 เมตรต่อวินาที่ ชี้ว่าชีวิตอาจสามารถรอดชีวิตด้วยการเกาะไปกับอุกกาบาติได้
แหล่งข้อมูลแล้วอ้างอิง
https://www.space.com/interstellar-panspermia-earth-life-oumuamua.html
https://www.space.com/oumuamua.html
https://www.space.com/38857-oumuamua-interstellar-asteroid-explained-in-images.html
https://www.space.com/36783-interstellar-spaceflight-breakthrough-starshot-panspermia.html
https://www.space.com/36783-interstellar-spaceflight-breakthrough-starshot-panspermia.html
https://www.space.com/42352-oumuamua-interstellar-object-alien-light-sail.html
https://www.space.com/40330-mission-to-an-interstellar-asteroid.html
https://www.space.com/20155-hunting-intelligent-aliens-extreme-seti.html
https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0923250803001141
https://www.nature.com/articles/ismej2014125
https://en.wikipedia.org/wiki/Deinococcus_radiodurans
https://en.wikipedia.org/wiki/Extremophile
https://www.pnas.org/content/105/31/10949
https://www.nature.com/articles/nature25014
https://www.theguardian.com/science/2018/dec/10/tread-softly-because-you-tread-on-23bn-tonnes-of-micro-organisms
https://en.wikipedia.org/wiki/Paracoccus_denitrificans
เอ็กซ์ตรีมเทอร์ไมไฟล์ และชีวิตสุดขอบจักรวาล
ชีวิตอาจมาใกลกว่าที่เราคิด จากการค้นพบโอมัวมัวอา ซึ่งเป็นวัตถุที่เดินทางมาจากระบบดาวอื่น เจ้าหินอวกาศที่มีรูปร่างคล้ายกับว่าเป็นซิการ์นี่ เมื่อพยายามพุ่งเข้ามาในระบบสุริยะชั้นในเป็นวัตถุล่าสุด
ในฐานะวัตถุจากต่างระบบดาว หรือวัตถุระหว่างดวงดาวชิ้นแรก ที่ช่วยปลดล็อคการค้นพบ
แต่ทว่ามันอาจไม่ได้มาถึงที่นี่เป็นครั้งแรก ความจริงมันอาจมาใกลกว่าที่เราคิด
(1 AU คือระยะทาง 93 ล้านไมล์ ระยะทางตั้งแต่โลกไปจนถึงดวงอาทิตยฺ์นั่นเอง)
“และเอาเข้าจริงนี่มันเป็นการค้นพบที่สำคัญ และน่าสนใจมากเลยละครับ” บ็อคเคกล่าว
ในฐานะที่เขาการดูและสูนย์วิจัยดาราศาสตร์ที่โคโลราโด บอนด์เดอร์
หนึ่งในการ์คาดการ์ณเหล่านั้นก็ฌคือวัตถุอย่างโอมัวมัวอาอาจนำพาชีวิตเดินทางข้ามระบบดาวมา
หรือที่เคยรู้จักกันในแนวคิด แพนเพอร์เมีย ที่วาชีวิตจากเกาะไปกับอุกกาบติ หรือเดินทาง
ไปพร้อมกับการเคลื่อนที่ของวัตถุในอวกาศ
ขนาดที่แท้จริงของโอมัวมัวอานั้นจะไม่เป็นที่แน่ชัด แต่นักวิทยาศาสตร์คาดว่ามันจะยาวไม่เกิน 800 เมตร
ในด้านที่ยาวมากที่สุดของมัน วัตถุได้แสดงให้เห็นถึงความเร่งอันไม่ได้มาจากแรงโน้มถ่วง เมื่อมัน
โคจรผ่านดวงอาทิตย์ไป ทำให้กลุ่มผู้นิยมเอเลี่ยนกล่าวว่ามันอาจเป็นยานอวกาศชนิดหนึ่ง แต่
ผลการศึกษาล่าสุดชี้ว่ามันเป็นปฏิกิริยาของแก้สในอวกาศ ที่เกิดขึ้นกับวัตถุอันใกล้เคียงดาวหางดวงนี้ต่างหากละครับ
“มันแสดงให้เห็นว่าน้ำแข็งสามารถรอดชีวิตในการเดินทางข้ามระบบดาวได้” นักชีวดาราศาสตร์ คาเรน มีท กล่าวขึ้นในขณะที่เธอเป็นนักวิจัยจากฮาวายได้ตีพิมพ์งาน ว่าชีวิตอาจได้รับการปกป้องภายใตน้ำแข็ง ซึ่งความร้อนและรังสีจากซูเปอร์โนวาอาจไม่สามารถทะลวงทั้งน้ำแข็งได้มากกว่า 10-20 เมตร มีทจึงกล่าวว่า”คุณสามารถนำสิ่งมีชีวิตบางชนิดให้เข้าสู่สภาวะแช่แข็งทั้งเป็นได้ พวกมันจะมีชีวิตอยู่แม้ในความหนาวเย็นนั้น มันไม่แตกต่างจากการมีชีวิตรอดในน้ำแข็งที่มาจากระบบสุริยะชั้นนอก”
นักดาราศาสตร์ยังไม่ฟันธงถึงระบบดาวที่ส่งโอมัวมัวอาออกมา ดังนั้นเราจึงไม่รู้ทิศทางที่มันจะเดินทางไปหลังจากที่เจ้าวัตถุนี้เดินทางออกไปจากระบบสุริยะที่มึกมิดและหนาวเย็น แต่บางที่มันอาจเข้าสู่การเดินทางในอวกาศระหว่างดวงดาว ที่ยาวนานถึง 10 ล้านปี ก็เป็นไปได้มีทกล่าว ยังไม่แน่ใจ
ว่าชีวิตหรือเคมีบนโอมัวมัวอาจะรอดชีวิตได้หรือไม่ ถ้าหากมันพุ่งชนกับดาวเคราะห์อย่างโลกวัตถุโคจรผ่านเราไปด้วยความเร็วสัมพันธ์สูงถึง 215000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นั่นหมายถึงความเร็วระดับปีศาจที่ 58.6 กิโลเมตร/วินาที
“มันจะมีความเร็วในการพุ่งชนที่สูงจนเหนือกว่าจินตนาการ “ หญิงสาวกล่าวขึ้น
“โอมัวมัวอาเดินทางมาจากสถานที่ที่ห่างใกลกว่าระบบสุริยะของเรา วัตถุที่เดินทางมาจากระหว่างดวงดาวนี้อาจพุ่งชนเราด้วยความเร็วสูงถึง 360,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือ 100 กิโลเมตรต่อวินาที นั่นมันเป็นความเร็วที่น่ากลัวจริงๆ แต่โอมัวมัวอาและวัตถุอวกาศของมันอาจทำจากวัสดุที่มีความหนาแน่นต่ำ ซึ่งทำให้ดาเมจจากการตกกระทบลดลง ก็เป็นไปได้ และพวกเขาอาจแตกตัวเป็นชิ้นๆ เมื่อพวกเขาเดินทางเข้ามาในชั้นบรรยากาศของเรา สเตน ซิกกูสัน โปรเฟสเซอร์ด้านดาราศาสตร์และนักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพน ได้กล่าวขึ้นมาบ้าง
งานวิจัยก่อนหน้า ที่ทำโดยนักวิจัยของฮาร์วาร์ด อย่างอีเวล็อบและคนอื่นๆได้ชี้ว่า เมือรวบเข้ากับการคำนวนทางคณิตศาสตร์ของซิกกูสัน อาจมีวัตถุที่คล้ายโอมัวมัวอาไม่ต่ำกว่า 100 ชิ้นพุ่งชนเข้ากับดวงดาวของเรา ตลอดประวัติศาสตร์ 4.6 พันล้านปีของโลก “นี่เป็นการคาดการณ์ว่าวัตถุอวกาศเหล่านี้มันถูกเหวี่ยงมาแบบสุ่ม ไม่ใช่การควบคุมของเอเลี่ยนทรงปัญญา ซึ่งเป็นหัวใจของแนวคิดแพนเพอร์เมีย”
“เป็นไปได้มั้ยว่าบนวัตถุเหล่านี้จะมีสิ่งมีชีวิตหรือว่าเคมีชีวภาพ เราอาจต้องลองส่งยานไปเกาะบนวัตถุประเภทนี้ แล้วทำการเจาะมันเพื่อดูโครงสร้างภายในดู” ล็อบเอ่ย “การจับโอมัวมัวอานั้นเป็นไปไม่ได้” ในฐานะของที่เขาเป็นผู้ร่วมวิจัยทางดาราศาสตร์ และเจ้าของไอเดียสุดโต่ง อย่างโอมัวมัวอาอาจเป็นยานของเอเลี่ยนที่เดินทางมาในแบบของไบเรือสุริยะ เนื่องจากมันอยู่ลึกมาก เราต้องการทั้งกล้องโทรทรรน์ที่ทรงพลังพอจะตรวจจับวัตถุในอวกาศลึก และต้องการความเร็วในการสลิงช็อตที่สูงพอเพื่อไปให้ถึงตัวมัน
มันสมเหตุผมผลกว่ามากที่เราจะรอจับตัววัตถุชิ้นต่อไปที่จะเดินทางเข้ามาในระบบสุริยะของเรา ใช่ วัตถุระหว่างดวงดาว ล็อบเอ่ยในการประชุมวิชาการ กล้องดูดาวเซอร์โนฟิคที่ทั้งใหญ่และทรงพลัง พยายามตรวจจับวัตถุฟากฟ้าที่กำลังจะปรากฏตัวเข้ามาปีหน้า มันอาจตรวจจับวัตถุได้หนึ่งชิ้นต่อเดือน ถ้าหากใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ
“ถ้าเราสามารถตรวจจับพวกเขาได้ดีพอ มันอาจเป็นการพบกันครึ่งทางระหว่างเราและวัตถุอวกาศที่ความเร็วสัมพันธ์ที่ต่ำก็เป็นไปได้” แน่นอนว่าเป็นไปได้ว่าชีวิตอาจโดดจากอวกาศมายังดาวโลกของเราในอดีตกาลนานมาแล้ว ดาวเคราะห์หินในระบบสุริยะถูกอุกกาบาติพุ่งชนอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งหลักฐานใหม่ๆ ที่แสดงให้เห็นว่า ชีวิตอาจเริ่มต้นบนดาวอังคาร
เอ็กซ์ตรีมเทอร์โมไฟล์ ชีวิตสุดขั้วจักรวาล
แต่การศึกษาและค้นคว้าใหม่ๆ มันชี้ว่าชีวิตมีความแข็งแกร่งและทนทานกว่าที่เราเคยคาดการณ์ใว้เดิมเป็นหลายเท่า ในทะเลของกรดกำมะถัน ที่มีทั้งเหล็กไฟไรท์และซัลไฟด์แบบอืดๆ แบคทีเรียและอาร์เคียกลับสามารถใช้ชีวิตอยู่ในทะเลกรดกำมะถันได้อย่างสบายๆ รวมถึงแบคทีเรียแกรมบวกหลายชนิดที่ใช้ชีวิตอยู่ในทะเลสาปโซดา ที่มีค่า PH ตั่งแต่ 9-12 ก็ยังคงมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในทะเลของขยะนิวเคลียร์ในอังกฤษ ที่อยู่ในสถานที่ทิ้งรังสีในอังกฤษ ในดินแดนแห่งนี้มีแร่อัลคาไลน์ที่แผ่รังสีจำนวนมหาศาล แม้แต่น้ำก็กลายเป็นของเหลวที่เต็มไปด้วยรังสี ถึงขนาดนี้แล้วมันมีรังสีที่มากมายขนานย่อยสลายเซลล์ลูโลสหรือทำให้ไม่มะั่นคงได้ จึงเป็นสาเหตุที่ทะเลรังสีแห่งนี้มีความร้อนที่สูง
จนอาจเกือบถึงจุดเดือดของน้ำ และเต็มไปด้วยกรดชีวภาพจำนวนมหาศาล แต่ในอีกพึ้นที่ก็มีเบสที่สูงเช่นกัน กรดเคมี รังสีจากอัลคาไลน์ และพิษจากรังสีอาจพยายามจำกัดการเติบโตของสิ่งมีชีวิต
แต่กระนั้นพวกมันกลับไม่ถูกทำลาย ใช่ พวกมันปรับตัวด้วยการปรับกระบวนการเกี่ยวกับ
อิเล็กตรอนข้างในตัวเอง ซึ่งนั้นทำให้มันสามารถขับพิษจากรังสีนิวเคลียร์ หรือแม้แต่เปลื่ยนกัมมันตภาพรังสีให้ใกลเป็นแหล่งพลังงานหล่อเลี้ยงชีวิต รวมถึงกระบวนการในการจัดการกับโลหะ แบคทีเรียสามารถย่อยโลหะ หรือแม่แต่เปลี่ยนรังสีให้เป็นพลังงาน ซึ่งนั้นจัดว่าไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก และกระบวนการเหล่านี้ทำให้ความเป็นกรดด่างในธรรมชาติเปลื่ยนไปอย่างมาก
เช่นเดียวกับแบคทีเรียอย่างไดโนคอกคัสที่สามารถทนทานต่อรังสีที่ 6000 เกรย์ ด้วยความสามาถในการเปลื่ยนแมงกานิสให้กลายเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ เพื่อป้องกันความเสียหายในการโจมตีด้วยกัมมันภาพรังสี นอกจากนั้นยังมีความสามารถในการเปลื่ยนโครงสร้างดีเอ็นเอตัวเองเพื่อรอดชีวิตได้ เรียกว่าตายยากกันแบบสุดๆไปเลย
นักวิทยาศาสตร์จึงมีแนวคิดในการจะดัดแปลงพันธุกรรมของพวกมัน เพื่อเอาไปใช้กำจัดขยะนิวเคลียร์
การศึกษาพวกมันยังช่วยให้เราสามารถทำความเข้าใจกระบวนการแก่ตัวและมะเร็ง ซึ่งนั่นมีประโยชน์มาก
แต่พวกมันก็ไม่ได้ทนทานแค่ต่อกรด ด่าง และรังสีเท่านั้น
เพราะว่ากลุ่มแบคทีเรียคีโมลิท ที่อาศัยอยู่ใต้
ภูเขาไฟใต้ทะเล สามารถทนทานต่อความร้อนสูงถึง 122 องศาเซลเซียสได้อย่างสบาย แถมยังถูกน้ำบีบอัดที่ความดัน 20 เมกะปาสคาล และแม้แต่เพิ่มความดันถึงเป็น 40 เมกะปาสคาล พวกมันก็ยังคงอยู่รอดใต้ทะเลได้อย่างสบายๆ กลุ่มแบคทีเรียมีทาโนเตเนซิสนั้นถือว่ามีความสำคัญมาก กับวัฏจักรคาร์บอนบนโลกของเรา ในเวลาเดียวกับที่แก้าเรือนกระจกกำลังถูกทำให้ปลดปล่อยออกมา พวกมันสามารถเข้ากับความร้อนสูงได้ดีอย่างเหลือเชื่อ และสามารถสังเคราะห์พลังงานจากคาร์บอนและไฮโดรเจน แม้แต่เพิ่มความร้อนขึ้นเป็นความร้อนที่ 130 องศาเซลเซียส นานถึง 2 ชั่วโมง พวกมันก็ยังมีชีวิตอยู่ แถมที่122 องศา พวกมันไม่ได้แค่แค่รอด แต่ยังเติบโตได้เต็มศักยภาพอีกด้วย
แม้แต่ทะเลทรายแสนแห้งแล้งในแอนตาร์ติกาก็ยังทำให้เป็นแหล่งอาศัยของแบคทีเรียจำนวนมหาศาลที่กินคาร์บอนเป็นอาหารแม้แต่ในสภาวะที่มีคาร์บอน ในโตรเจน และน้ำในปริมาณที่จำกัด และกัมมันตภาพรังสีมากมายถึงขั้นมหาศาล พวกมันก็ยังคงหาแหล่งพลังงานได้จากสภาพอากาศ และปรากฏการณ์ทางเคมีบนดาว
เอ็นโดสปอร์ของแบคทีเรียในกลุ่มบาซิลลัสสามารถรอดชีวิตได้จากการพุ่งชนที่ความเร็วมากกว่า 300 เมตรต่อวินาที่ ชี้ว่าชีวิตอาจสามารถรอดชีวิตด้วยการเกาะไปกับอุกกาบาติได้
แหล่งข้อมูลแล้วอ้างอิง
https://www.space.com/interstellar-panspermia-earth-life-oumuamua.html
https://www.space.com/oumuamua.html
https://www.space.com/38857-oumuamua-interstellar-asteroid-explained-in-images.html
https://www.space.com/36783-interstellar-spaceflight-breakthrough-starshot-panspermia.html
https://www.space.com/36783-interstellar-spaceflight-breakthrough-starshot-panspermia.html
https://www.space.com/42352-oumuamua-interstellar-object-alien-light-sail.html
https://www.space.com/40330-mission-to-an-interstellar-asteroid.html
https://www.space.com/20155-hunting-intelligent-aliens-extreme-seti.html
https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0923250803001141
https://www.nature.com/articles/ismej2014125
https://en.wikipedia.org/wiki/Deinococcus_radiodurans
https://en.wikipedia.org/wiki/Extremophile
https://www.pnas.org/content/105/31/10949
https://www.nature.com/articles/nature25014
https://www.theguardian.com/science/2018/dec/10/tread-softly-because-you-tread-on-23bn-tonnes-of-micro-organisms
https://en.wikipedia.org/wiki/Paracoccus_denitrificans