คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
พรบ.คุ้มครองแรงงาน 2541 มาตรา 119 นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างในกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
(1) ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง
(2) จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
(3) ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
(4) ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรงนายจ้างไม่จำเป็นต้องตักเตือน
หนังสือเตือนให้มีผลบังคับได้ไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่ลูกจ้างได้กระทำผิด
การผิด "ซ้ำคำเตือน" ครั้งที่ 2 ก็เลิกจ้างได้แล้ว แต่ต้องเป็นการ "ซ้ำ" ตามตัวอย่าง
*ครั้งก่อนลูกจ้างปล่อยนมทิ้งที่พื้นโรงงาน ส่วนครั้งที่สองเป็นเรื่องหลงลืมใส่ไขมันมะพร้าวในการผสมนม จึงเป็นความผิดคนละเหตุ
(ฎ.๒๗๙๐/๒๕๒๗)
*ครั้งแรกขาดงานโดยไม่มีเหตุผล ครั้งหลังเป็นการละเลยต่อหน้าที่ เป็นการกระทำความผิดคนละเหตุหรือคนละข้อหา(ฎ.๒๔๔๕/๒๙)
**ครั้งแรกลูกจ้างหยอกล้อ และเล่นกันในระหว่างทำงาน ครั้งที่สองลูกจ้างเล่นหมากฮอสในระหว่างเวลางาน
การกระทำของลูกจ้างทั้งสองครั้ง แม้จะเป็นการเล่นที่ต่างกัน แต่ก็เป็นการละทิ้งหน้าที่ อันเป็นการกระทำผิดวินัยเรื่องเดียวกัน
(ฎ.๑๐๔๗-๘/๒๕๓๑)
การให้ทราบหนังสือเตือน
*กฎหมายมิได้กำหนดว่า เมื่อนายจ้างออกหนังสือเตือนลูกจ้างแล้ว นายจ้างต้องแจ้งหนังสือเตือนให้ลูกจ้างทราบ
โดยต้องให้ลูกจ้างลงชื่อรับทราบในหนังสือเตือน หรือต้องแจ้งให้ลูกจ้างทราบโดยวิธีการใด การที่นายจ้างออกหนังสือเตือนและแจ้งให้ลูกจ้างทราบ
แม้ลูกจ้างจะไม่ได้ลงชื่อรับทราบในหนังสือเตือน ก็ถือว่าลูกจ้างทราบหนังสือเตือนแล้ว (ฎ.๖๒๕๑/๒๕๓๔)
*กฎหมายคุ้มครองแรงงาน มิได้กำหนดวิธีการแจ้งคำเตือนให้ลูกจ้างทราบไว้ประการใด ถ้าลูกจ้างไม่ยอมลงชื่อรับทราบคำเตือน
นายจ้างอาจใช้วิธีการอย่างอื่นได้ เช่น แจ้งด้วยวาจา หรือปิดประกาศให้ลูกจ้างทราบ การที่ลูกจ้างไม่ยอมลงชื่อรับทราบคำเตือนเป็นหนังสือ
จึงไม่เป็นความผิดฐานขัดคำสั่งนายจ้าง และนายจ้างจะลงโทษลูกจ้างเพราะเหตุนี้ไม่ได้ (ฎ.๕๕๖๐/๒๕๓๐)
(1) ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง
(2) จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
(3) ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
(4) ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรงนายจ้างไม่จำเป็นต้องตักเตือน
หนังสือเตือนให้มีผลบังคับได้ไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่ลูกจ้างได้กระทำผิด
การผิด "ซ้ำคำเตือน" ครั้งที่ 2 ก็เลิกจ้างได้แล้ว แต่ต้องเป็นการ "ซ้ำ" ตามตัวอย่าง
*ครั้งก่อนลูกจ้างปล่อยนมทิ้งที่พื้นโรงงาน ส่วนครั้งที่สองเป็นเรื่องหลงลืมใส่ไขมันมะพร้าวในการผสมนม จึงเป็นความผิดคนละเหตุ
(ฎ.๒๗๙๐/๒๕๒๗)
*ครั้งแรกขาดงานโดยไม่มีเหตุผล ครั้งหลังเป็นการละเลยต่อหน้าที่ เป็นการกระทำความผิดคนละเหตุหรือคนละข้อหา(ฎ.๒๔๔๕/๒๙)
**ครั้งแรกลูกจ้างหยอกล้อ และเล่นกันในระหว่างทำงาน ครั้งที่สองลูกจ้างเล่นหมากฮอสในระหว่างเวลางาน
การกระทำของลูกจ้างทั้งสองครั้ง แม้จะเป็นการเล่นที่ต่างกัน แต่ก็เป็นการละทิ้งหน้าที่ อันเป็นการกระทำผิดวินัยเรื่องเดียวกัน
(ฎ.๑๐๔๗-๘/๒๕๓๑)
การให้ทราบหนังสือเตือน
*กฎหมายมิได้กำหนดว่า เมื่อนายจ้างออกหนังสือเตือนลูกจ้างแล้ว นายจ้างต้องแจ้งหนังสือเตือนให้ลูกจ้างทราบ
โดยต้องให้ลูกจ้างลงชื่อรับทราบในหนังสือเตือน หรือต้องแจ้งให้ลูกจ้างทราบโดยวิธีการใด การที่นายจ้างออกหนังสือเตือนและแจ้งให้ลูกจ้างทราบ
แม้ลูกจ้างจะไม่ได้ลงชื่อรับทราบในหนังสือเตือน ก็ถือว่าลูกจ้างทราบหนังสือเตือนแล้ว (ฎ.๖๒๕๑/๒๕๓๔)
*กฎหมายคุ้มครองแรงงาน มิได้กำหนดวิธีการแจ้งคำเตือนให้ลูกจ้างทราบไว้ประการใด ถ้าลูกจ้างไม่ยอมลงชื่อรับทราบคำเตือน
นายจ้างอาจใช้วิธีการอย่างอื่นได้ เช่น แจ้งด้วยวาจา หรือปิดประกาศให้ลูกจ้างทราบ การที่ลูกจ้างไม่ยอมลงชื่อรับทราบคำเตือนเป็นหนังสือ
จึงไม่เป็นความผิดฐานขัดคำสั่งนายจ้าง และนายจ้างจะลงโทษลูกจ้างเพราะเหตุนี้ไม่ได้ (ฎ.๕๕๖๐/๒๕๓๐)
แสดงความคิดเห็น
โดนลูกจ้างเอาเปรียบ.... มีวิธีแก้กันยังไงคะ?
ซึ่งเนื้อหาก็ตามหัวข้อนี้เลย.... คือโดนลูกจ้างเอาเปรียบ เนื้อหาอาจจะยาวสักนิด.... แต่ก็อยากให้อ่านหมดก่อนนะคะ
เกริ่นเรื่องเลยเราเปิดร้านคาเฟ่เล็กๆอยู่ค่ะ แล้วจะมีพนักงานประจำสองคนซึ่งเราก็คิดเงินเดือนและมีวันหยุดหรือสวัสดิการให้ตามปกติ ยังไม่นับเงินมากมายที่เป็นทั้งเบี้ยขยันต่อเดือนและโบนัส....
แต่ถึงอย่างงั้นลูกจ้างเราก็ยังทำตัวแบบนี้อยู่บ่อยครั้งจนรู้สึกเครียดมากๆ ตั้งแต่เข้างานสาย ไม่รักษาความสะอาด ลางานตอนเช้าก่อนเริ่มงานแค่ไม่กี่นาทีหรือบางทีก็ไม่บอกไม่กล่าวอะไรเลย ซึ่งเป็นบ่อยมากจนเรียกว่าเป็นปกติ
เตือนกี่ครั้งก็เหมือนเดิม... เลยเริ่มมีการหักเงินเดือนบ้าง ปรากฎว่าเขาไปข่มขู่ให้แม่ของเราจ่ายค่ะ บอกให้จ่ายเต็มแม้วันที่เขาหยุดงาน และต้องจ่ายสองแรงในวันหยุดซึ่งปกติก็จ่ายตามระเบียบหนังสือที่เซ็นตกลงกันไว้เลย พอพ่อเรารู้เขาก็มาเตือนอีกแต่สิ่งที่ได้คือเหมือนเดิม... ไม่ทำอะไรแถมยังมีการแอบถ่ายพ่อเราไปลงเฟสและพูดในทางเสียๆหายๆ แต่ด้วยความที่ไม่สามารถหาคนมาแทนได้และเราเองก็ไม่ค่อยได้มาดูด้วยเพราะหลายครั้งที่ต้องมาติดต่องานย่านลาดพร้าว หรือสุขุมวิท ในขณะที่ตัวร้านเราอยู่แถวๆปทุมธานีเพราะใกล้บ้าน สุดท้ายก็ตกลงกับแม่ว่าอย่าเพิ่งไล่ออกถ้าเขาจะออกก็ให้ออกไปเอง... ให้โอาสแล้วเริ่มใหม่ แต่เขาก็ยังทำเหมือนเดิม... ร้านสกปรกจนหนูเข้ามาในร้านขยะก็ไม่เอาไปทิ้งในที่ทิ้งนอกร้าน แล้วยังจะเรื่องนับเงินทอนไม่ค่อยครบอีก...แม่เราที่นั่งดูและคอยช่วยเป็นครั้งๆคราวๆก็มาบ่นกับเราทุกวันจนสุขภาพจิตเสียกันทั้งบ้าน
ช่วงต้นปีที่ผ่านมาก็เริ่มหนักขึ้น... หยุดเยอะขึ้น แล้วยังหยุดพร้อมกันด้วยทั้งๆที่อิงตามสัญญาคือห้ามหยุดซ้ำวันกัน ด้วยความที่ไม่มีคนทำให้เราโดนบีบให้ปิดร้านเพราะไม่มีคนอยู่ที่ร้านเลยและถึงแม่เราจะอยู่เราก็ไม่ให้ท่านอยู่คนเดียวอยู่ดี พอสิ้นเดือนเราก็หักตามปกติ.... แต่เขามาทักท้วงว่าวันนั้น(ที่ลูกจ้างกลุ่มนั้นหยุดพร้อมกัน)ร้านหยุดให้ไม่ใช่หรอต้องจ่ายให้ตามปกติสิ ซึ่งเราก็พยายามไม่จ่ายเพราะคิดว่าร้านต้องเสียหายเพราะเขาแค่ต้องการจะไปเที่ยว(แบบแยกย้ายกันไปนะไม่ได้ไปด้วยกัน)
แล้วมีช่วงหนึ่งแม่เป็นคนจ่ายเงินเดือนแทนเราก็โดนลูกจ้างกลุ่มนั้นข่มขู่ว่าจะฟ้องกรมแรงงาน สุดท้ายก็เลยจ่ายเกือบเท่าเดิมไปอีก จนตอนนี้นอกจากจะไม่มีรายได้จากการขายแล้ว.... ยังต้องมากรีดเลือดเนื้อเอาเงินส่วนตัวมาจ่ายเป็นเงินเดือนอีก ร้านก็เปิดๆปิดๆเพราะลูกจ้างก็ทำตัวอย่างงี้เป็นว่าเล่น ขนาดญาติเรามาช่วยเขายังไม่เห็นหัวเลย....จนเราเริ่มสงสารลูกค้า สงสารแม่ตัวเอง สงสารญาติที่ต้องมาแบกอะไรแบบนี้
ไม่ว่าจะเตือนก็แล้ว.... หักเงินเดือนก็แล้ว.... ก็ยังทำตัวเหมือนเดิม ล่าสุดคือโมโหมากเรื่องหยุดไม่ลาเลยเตือนแล้วก็อาจจะผสมกับน้ำเสียงตอนนั้นด้วย คือเขาก็ออกจากงานเลยออกก่อนเวลาแล้วไปถ่ายรูปอย่างมีความสุขเยาะเย้ยเรากับพ่อ
มาจนตอนนี้แล้วเราเริ่มมีความคิดที่อยากจะปิดร้านระยะยาวค่ะ แล้วรอให้น้องชายหรือญาติที่กำลังจะเรียนจบมาช่วยแทน... เจอแบบนี้ทั้งๆที่อยากให้โอกาสคนที่ไม่มีงานแต่เขาทำแบบนี้ใส่ก็รู้สึกไม่อยากจ้างใครแล้วล่ะค่ะ
ท่านใดมีประสบการณ์แบบนี้แล้วมีวิธีรับมือที่เด็ดขาดแต่ก็ถูกต้องตามสิทธิและกฎหมายบ้างมั้ยคะ หรือไม่ก็วิธีดัดสันดารก็ได้
หรือไม่ก็.... มันมีวิธีตรวจสอบบ้างมั้ยคะว่าคนนี้มีประวัติโดนไล่ออกจากงานเพราะอะไร ยังไง... เพราะในตอนที่รับมาจะได้ระวังจุดนั้นเป็นพิเศษค่ะ เดี๋ยวนี้ตอนมาใหม่ๆเรียบร้อยไม่มีอะไร... หลังๆมาสันดารออกแล้วเริ่มบ่อนทำลายร้านหรือกิจการที่เข้าไปทำงาน
ส่วนอันนี้เป็นคำถามจากใจเรา..... ลูกจ้างดีๆจริงๆที่ไม่ขาดงานโดยไม่บอกไม่กล่าว ไม่ลักขโมย ไม่สกปรก.....ยังมีอยู่มั้ยอ่ะคะ??