โดนลูกจ้างเอาเปรียบ.... มีวิธีแก้กันยังไงคะ?

นี่เป็นกระทู้แรกและก็เป็นเรื่องร้อนใจที่อยากมาหาแนวทางแก้​ และแนวคิดจากหลายๆท่านบ้างค่ะ​ อาจจะเล่ามึนๆงงๆหน่อยนะคะ​

ซึ่งเนื้อหาก็ตามหัวข้อนี้เลย.... คือโดนลูกจ้างเอาเปรียบ​  เนื้อหาอาจจะยาวสักนิด.... แต่ก็อยากให้อ่านหมดก่อนนะคะ

เกริ่นเรื่องเลยเราเปิดร้านคาเฟ่เล็กๆอยู่ค่ะ​ แล้วจะมีพนักงานประจำสองคนซึ่งเราก็คิดเงินเดือนและมีวันหยุด​หรือสวัสดิการให้ตามปกติ​  ยังไม่นับเงินมากมายที่เป็นทั้งเบี้ยขยันต่อเดือนและโบนัส....

แต่ถึงอย่างงั้นลูกจ้างเราก็ยังทำตัวแบบนี้อยู่บ่อยครั้งจนรู้สึกเครียดมากๆ​ ตั้งแต่เข้างานสาย​ ไม่รักษาความสะอาด​ ลางานตอนเช้าก่อนเริ่มงานแค่ไม่กี่นาทีหรือบางทีก็ไม่บอกไม่กล่าวอะไรเลย​ ซึ่งเป็นบ่อยมากจนเรียกว่าเป็นปกติ​
เตือนกี่ครั้งก็เหมือนเดิม... เลยเริ่มมีการหักเงินเดือนบ้าง​ ปรากฎว่าเขาไปข่มขู่ให้แม่ของเราจ่ายค่ะ​ บอกให้จ่ายเต็มแม้วันที่เขาหยุดงาน​ และต้องจ่ายสองแรงในวันหยุดซึ่งปกติก็จ่ายตามระเบียบหนังสือที่เซ็นตกลงกันไว้เลย​  พอพ่อเรารู้เขาก็มาเตือนอีกแต่สิ่งที่ได้คือเหมือนเดิม... ไม่ทำอะไรแถมยังมีการแอบถ่ายพ่อเราไปลงเฟสและพูดในทางเสียๆหายๆ​   แต่ด้วยความที่ไม่สามารถหาคนมาแทนได้และเราเองก็ไม่ค่อยได้มาดูด้วยเพราะหลายครั้งที่ต้องมาติดต่องานย่านลาดพร้าว​ หรือสุขุมวิท​ ในขณะที่ตัวร้านเราอยู่แถวๆปทุมธานี​เพราะใกล้บ้าน​  สุดท้ายก็ตกลงกับแม่ว่าอย่าเพิ่งไล่ออกถ้าเขาจะออกก็ให้ออกไปเอง... ให้โอาสแล้วเริ่มใหม่​  แต่เขาก็ยังทำเหมือนเดิม... ร้านสกปรกจนหนูเข้ามาในร้าน​ขยะก็ไม่เอาไปทิ้งในที่ทิ้งนอกร้าน​ แล้วยังจะเรื่องนับเงินทอนไม่ค่อยครบอีก...แม่เราที่นั่งดูและคอยช่วยเป็นครั้งๆคราวๆก็มาบ่นกับเราทุกวันจนสุขภาพจิตเสียกันทั้งบ้าน

ช่วงต้นปีที่ผ่านมาก็เริ่มหนักขึ้น... หยุดเยอะขึ้น​ แล้วยังหยุดพร้อมกันด้วยทั้งๆที่อิงตามสัญญาคือห้ามหยุดซ้ำวันกัน​  ด้วยความที่ไม่มีคนทำให้เราโดนบีบให้ปิดร้าน​เพราะไม่มีคนอยู่ที่ร้านเลยและถึงแม่เราจะอยู่เราก็ไม่ให้ท่านอยู่คนเดียวอยู่ดี​ พอสิ้นเดือนเราก็หักตามปกติ.... แต่เขามาทักท้วงว่าวันนั้น(ที่ลูกจ้างกลุ่มนั้นหยุดพร้อมกัน)​ร้านหยุดให้ไม่ใช่หรอต้องจ่ายให้ตามปกติสิ​  ซึ่งเราก็พยายามไม่จ่ายเพราะคิดว่าร้านต้องเสียหายเพราะเขาแค่ต้องการจะไปเที่ยว(แบบแยกย้ายกันไปนะไม่ได้ไปด้วยกัน)​

แล้วมีช่วงหนึ่งแม่เป็นคนจ่ายเงินเดือนแทนเราก็โดนลูกจ้างกลุ่มนั้นข่มขู่ว่าจะฟ้องกรมแรงงาน​ สุดท้ายก็เลยจ่ายเกือบเท่าเดิมไปอีก​  จนตอนนี้นอกจากจะไม่มีรายได้จากการขายแล้ว.... ยังต้องมากรีดเลือดเนื้อเอาเงินส่วนตัวมาจ่ายเป็นเงินเดือนอีก​ ร้านก็เปิดๆปิดๆเพราะลูกจ้างก็ทำตัวอย่างงี้เป็นว่าเล่น​  ขนาดญาติเรามาช่วยเขายังไม่เห็นหัวเลย....จนเราเริ่มสงสารลูกค้า​ สงสารแม่ตัวเอง​ สงสารญาติที่ต้องมาแบกอะไรแบบนี้

ไม่ว่าจะเตือนก็แล้ว.... หักเงินเดือนก็แล้ว.... ก็ยังทำตัวเหมือนเดิม​ ล่าสุดคือโมโหมากเรื่องหยุดไม่ลาเลยเตือนแล้วก็อาจจะผสมกับน้ำเสียงตอนนั้นด้วย​ คือเขาก็ออกจากงานเลยออกก่อนเวลาแล้วไปถ่ายรูปอย่างมีความสุขเยาะเย้ยเรากับพ่อ

มาจนตอนนี้แล้วเราเริ่มมีความคิดที่อยากจะปิดร้านระยะยาวค่ะ​ แล้วรอให้น้องชายหรือญาติที่กำลังจะเรียนจบมาช่วยแทน... เจอแบบนี้ทั้งๆที่อยากให้โอกาสคนที่ไม่มีงานแต่เขาทำแบบนี้ใส่ก็รู้สึกไม่อยากจ้างใครแล้วล่ะค่ะ

ท่านใดมีประสบการณ์​แบบนี้แล้วมีวิธีรับมือที่เด็ดขาดแต่ก็ถูกต้องตามสิทธิและกฎหมายบ้างมั้ยคะ​ หรือไม่ก็วิธีดัดสันดารก็ได้

หรือไม่ก็.... มันมีวิธีตรวจสอบบ้างมั้ยคะว่าคนนี้มีประวัติโดนไล่ออกจากงานเพราะอะไร​ ยังไง... เพราะในตอนที่รับมาจะได้ระวังจุดนั้นเป็นพิเศษค่ะ​ เดี๋ยวนี้ตอนมาใหม่ๆเรียบร้อยไม่มีอะไร... หลังๆมาสันดารออกแล้วเริ่มบ่อนทำลายร้านหรือกิจการที่เข้าไปทำงาน

ส่วนอันนี้เป็นคำถามจากใจเรา..... ลูกจ้างดีๆจริงๆที่ไม่ขาดงานโดยไม่บอกไม่กล่าว​ ไม่ลักขโมย​ ไม่สกปรก.....​ยังมีอยู่มั้ยอ่ะคะ?? 
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
พรบ.คุ้มครองแรงงาน 2541  มาตรา 119 นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างในกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
         (1) ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง
         (2) จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
         (3) ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
         (4) ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรงนายจ้างไม่จำเป็นต้องตักเตือน
        หนังสือเตือนให้มีผลบังคับได้ไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่ลูกจ้างได้กระทำผิด
  การผิด "ซ้ำคำเตือน" ครั้งที่ 2 ก็เลิกจ้างได้แล้ว แต่ต้องเป็นการ "ซ้ำ" ตามตัวอย่าง
*ครั้งก่อนลูกจ้างปล่อยนมทิ้งที่พื้นโรงงาน ส่วนครั้งที่สองเป็นเรื่องหลงลืมใส่ไขมันมะพร้าวในการผสมนม จึงเป็นความผิดคนละเหตุ  
  (ฎ.๒๗๙๐/๒๕๒๗)
*ครั้งแรกขาดงานโดยไม่มีเหตุผล ครั้งหลังเป็นการละเลยต่อหน้าที่ เป็นการกระทำความผิดคนละเหตุหรือคนละข้อหา(ฎ.๒๔๔๕/๒๙)

**ครั้งแรกลูกจ้างหยอกล้อ และเล่นกันในระหว่างทำงาน ครั้งที่สองลูกจ้างเล่นหมากฮอสในระหว่างเวลางาน
  การกระทำของลูกจ้างทั้งสองครั้ง แม้จะเป็นการเล่นที่ต่างกัน แต่ก็เป็นการละทิ้งหน้าที่ อันเป็นการกระทำผิดวินัยเรื่องเดียวกัน
  (ฎ.๑๐๔๗-๘/๒๕๓๑)
การให้ทราบหนังสือเตือน
*กฎหมายมิได้กำหนดว่า เมื่อนายจ้างออกหนังสือเตือนลูกจ้างแล้ว นายจ้างต้องแจ้งหนังสือเตือนให้ลูกจ้างทราบ
โดยต้องให้ลูกจ้างลงชื่อรับทราบในหนังสือเตือน หรือต้องแจ้งให้ลูกจ้างทราบโดยวิธีการใด การที่นายจ้างออกหนังสือเตือนและแจ้งให้ลูกจ้างทราบ
แม้ลูกจ้างจะไม่ได้ลงชื่อรับทราบในหนังสือเตือน ก็ถือว่าลูกจ้างทราบหนังสือเตือนแล้ว (ฎ.๖๒๕๑/๒๕๓๔)

*กฎหมายคุ้มครองแรงงาน มิได้กำหนดวิธีการแจ้งคำเตือนให้ลูกจ้างทราบไว้ประการใด ถ้าลูกจ้างไม่ยอมลงชื่อรับทราบคำเตือน
นายจ้างอาจใช้วิธีการอย่างอื่นได้ เช่น แจ้งด้วยวาจา หรือปิดประกาศให้ลูกจ้างทราบ การที่ลูกจ้างไม่ยอมลงชื่อรับทราบคำเตือนเป็นหนังสือ
จึงไม่เป็นความผิดฐานขัดคำสั่งนายจ้าง และนายจ้างจะลงโทษลูกจ้างเพราะเหตุนี้ไม่ได้ (ฎ.๕๕๖๐/๒๕๓๐)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่