เหนือ ตะวัน (ตอนที่ 57)

กระทู้สนทนา
มาแล้วจ้า มาตามคำเรียกร้อง (ของใจตัวเสี่ยเอง) เพราะคิดว่าบทนี้มันมีอะไรที่เหมาะกับวันสตรีสากล แต่ไม่ใช่วันนี้นะ ทุกอย่างมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาจำกัด ดังนั้นได้โปรดรัดเข็มขัดให้แน่นที่สุดนะครับ

สำหรับท่านที่พลาดในตอนก่อน ติดตามได้ในความเป็นไปเมื่อคราวที่แล้วใต้นี้จ้า

เหนือ ตะวัน (ตอนที่ 56)
https://pantip.com/topic/38773085


บทที่  57 แสง มัจจุราชจากเขาไกรลาส

          คนจากสมิงทมิฬมาสมทบที่หน่วยสมิงบินที่ตีนเขาฝั่งตะวันตก เป็นมือปืนฝีมือพระกาฬที่มาสวามิภักดิ์ต่อเอกเดช นับรวมกำลังพลได้ 78 คน โดยไม่รวมกับคนของสุบิน คือกองทัพสมิงที่มีอยู่ 117 คน กระจายอยู่ในพื้นที่ สุบินจึงสั่งให้พวกลูกน้องออกจากพื้นที่เขาสอยดาว เพื่อไปประจำการในการหาข่าวของตน

เวลา 15.30 กองทัพสมิงก็เคลื่อนออกจากพื้นที่ เหลือเพียงสุบิน กับผู้สังเกตการณ์ตามจุด อีก 20 คน เพื่อแจ้งข่าวให้เอกเดชทราบทันทีที่เหยื่อถูกสังหาร ด้วยวิทยุสื่อสาร กองกำลังทั้ง 78 คนพร้อมอาวุธครบมือเคลื่อนตัวเป็นการบุกแบบหัวธนูที่รวดเร็ว เป้าหมายนั้นคือ บ้านพักของมาริสาที่จุดผาตัดนั่นเอง

คนที่บุกเป็นทัพหน้าหรือหัวหมู่ทะลวงฟันคือไกร โดยใช้ปืนลูกซองปั๊มวิ่งนำหน้าเข้าไป โดยเคลื่อนจากจุดจอดรถ ที่เป็นจุดรวมพลไกรเป็นเป็นเหมือนผู้บัญชาการมือปืนที่รวบรวมมาได้ 77 คน

เมื่อทำความเข้าใจกันเป็นอย่างดี ไกรก็จึงแจกปืนไรเฟิ่ลที่เตรียมมา 50 กระบอก ปืนลูกซอง 11 กระบอก นอกนั้นเป็นปืนสั้น ส่วนกระสุนมีให้คนใช้ปืนไรเฟิ่ล 2 แม็กกาซีน กระสุนลูกซองเบอร์ 12 คนละหนึ่งกล่อง กระสุนปืนขนาด 9 มม. คนละ 30 นัด ก่อนเคลื่อนกำลัง ไกรทำความเข้าใจกับลูกสมุนทั้งหมด

          “วันนี้เรามาล่านังจิ้งจอก ที่เจ้าเล่ห์อย่างร้ายกาจ แถมมีสมุนที่ยังภักดีกับมันเป็นนักฆ่าที่ฝีมือฉกาจอีก 2 คน แต่ไอ้สองคนที่ว่ามันเป็นผู้หญิง ถ้าพวกเราที่มากันเกือบร้อย กับปืนที่มีอยู่ในมือพวกเราไม่ได้ละก็ ต่อไปชื่อของสมิทมิฬ จะไปขู่หมาที่ไหนให้กลัวได้อีก จงฆ่าพวกมันทุกคนที่คิคจะขวางทางรวยของพวกเรา”

มือสังหารมองหน้ากันพร้อมอาวุธในมือด้วยความหึกเหิมอย่างสุดกำลัง

          “ต่อให้มันเป็นผีสางที่ไหนก็ต้องกระจุยเละด้วยกระสุนในมือของพวกเรา ที่สำคัญไม่ว่าใครจะยิงนังมาริสา หรือสมุนของมันคือ อีเหมย กับอีฮัว เจ้านายจะให้เงินเพิ่มอีกคนละห้าแสน นอกจากค่าแรงที่พวกเราจะได้ในวันนี้”

พวกมือปืนยกปืนขึ้นชูส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ เพราะมีคนถึง 77 รวมกับหัวหน้าทีมอีก 1 คน มีหรือจะฆ่าผู้หญิง 3 คนไม่ได้ มันเหมือนการที่เจ้านายของพวกมัน บอกให้มาล่าสัตว์แล้วใครก็ได้ยิงไก่ป่าแค่สามตัว แล้วเจ้านายจะให้เงินใช้

ไกรมองดูเหล่าลูกสมุนที่กำลังคึกคักถึงขีดสุด ด้วยสายตายินดี เพราะกำลังใจในการจะทำสิ่งใดนั้นสำคัญต่อความสำเร็จ โดยเฉพาะการล่าสังหาร และไกรทราบดีว่าไม่มีการล่าสังหารครั้งใดไม่มีการสูญเสีย โดยเฉพาะการไล่ล่านางจิ้งจอกที่มีพิษสงร้ายกาจอยู่รอบตัว อย่างมาริสาหรือ นฤมล เจริญบูรพา กับลูกสมุนที่ฝีมือฉกาจไม่เป็นรองชายอกสามศอกทั้งสองนาง

ไกรจึงหยิบปืนสั้นของตน เป็นปืนกึ่งอัตโนมัต ของS&W 9 มม.ขึ้นมาดู แล้วใส่ซองปืนข้างเอว และปืนที่จะใช้คือปืนกระบอกนี้ ลูกซองปั๊มบรรจุ 4+1 ของเรมิงตั้น ที่ได้ตัดปลายลำกล้องให้สั้น เพื่อใช้อย่างคล่องตัวยิ่งขึ้น ไกรนำมาบรรจุกระสุนจนครบ 5 นัด รอบตัวมีกระสุนที่เตรียมไว้มากมาย และที่ขาดมิได้คือ มีดคมเคียวที่พกไว้สองข้างเอว

ไกรเลื่อนแว่นดำจากที่เหน็บบนศีรษะมาสวมที่ตา หันหน้าไปทางขึ้นเขา ซึ่งจากแผนที่ มันจะห่างจากตรงจุดรวมพลราวสามกิโลเมตร เป็นทางขึ้นลาดชันพอสมควร ถนนเป็นทางลูกรังที่หญ้าขึ้นจนปกปิดพื้นถนน

รถที่จะขึ้นได้มีแต่รถจี๊บ หรือรถที่ใช้ตรวจการหรือมอเตอร์ไซค์วิบากเท่านั้น ที่ไกรยังไม่ใช้หน่วยเคลื่อนที่เร็วอย่างหน่วยตั๊กแตนที่ใช้มอเตอร์ไซค์เอ็นดูโร่เป็นพาหนะที่เขาเตรียมมาเพียง 5 คัน ก็เพราะเสียงดังของมันจะทำให้เป้าหมายไหวตัวทัน แต่เขาจะใช้ต่อเมื่อ เกิดเหตุฉุกเฉิน แล้วกำลังพลเดินเท้าทั้งหมดเคลื่อนที่พร้อมกันในเวลา 16.35 นาฬิกา

ไกรจึงใช้วิธีเคลื่อนพลด้วยเท้า เข้าไปกำจัดเป้าหมายไม่ให้รู้ตัว หรือตั้งรับไม่ทัน โดยที่ไกรยังไม่ทราบว่า เมื่อเวลาประมาณ หกโมงเช้าในวันนี้ ก็มีมือสังหารได้บุกไปจัดการกับเอกเดชถึงในบ้านพัก

++++++++++++++++

          จางหลี่ขี่มอเตอร์ไซค์เพื่อขึ้นเขาในเวลา 14.45 โมง เขาเห็นรถบัสที่เพิ่งวิ่งลงมาจากเขา เขาจึงบังคับรถให้เข้าไปหลบหลังต้นไม้ใหญ่ เพราะเขาทราบอย่างแน่ชัดว่า รถบัสคันนั้นมาเพื่อส่งกำลังเพื่อขึ้นไปล่าสังหารเป้าหมาย เพราะสายตาของ จางหลี่เห็นคนนำทางที่นั่งอยู่ข้างๆ คนขับคือหนึ่งในสมาชิก ของกองทัพหนูซึ่งตอนนี้กลายเป็นกองทัพสมิงไปแล้ว อาฮัวจึงกระซิบถาม จางหลี่ด้วยสีหน้าเป็นกังวล

          “พวกมันมาแล้วใช่ไหม แล้วมันมากันกี่คน นายพอรู้หรือเปล่า”

จางหลี่มองขนาดรถบัสที่เคลื่อนผ่านหน้าไป แต่ไม่ได้มีคันเดียว มีตามกันลงมา รวมเป็นสี่คัน จางหลี่คำนวณตัวเลขในใจ ก่อนเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงที่ราบเรียบ

          “น่าจะประมาณ ไม่เกิน ร้อยคน กับอาวุธครบมือ ฉันเห็นพวกมันจะใช้รถมอเตอร์ไซค์ติดอาวุธด้วย”

อาฮัวขมวดคิ้วอย่างกังวล ก่อนรีบบอกให้จางหลี่รีบขับรถขึ้นไปเพื่อช่วยทั้งสองด้วยความเร่งด่วน แต่จางหลี่กระซิบกลับมา ด้วยใบหน้าเคร่งเครียดเช่นเดียวกัน

          “เราขึ้นไปทางนี้ไม่ได้ เพราะระหว่างทาง มันคงมีพวกเสือหมอบแมวเซา แอบดูคนที่จะผ่านทาง ถ้าเราสุ่มสี่สุ่มห้าขับขึ้นไป ไม่เกินครึ่งเขา เราสองคนกลายเป็นเป้าซ้อมมือให้พวกมันแน่ๆ”

อาฮัวใบหน้าเหมือนจะร้องไห้ ขาที่เหยียบบันไดรถสั่นอย่างไม่รู้สึกตัว แล้วจางหลี่ก็จึง ขับรถไปอีกทาง เพื่อไปที่บ้านพักที่ ตนอาศัยกับสิทธิชัย จอม และ ดรุณี เพราะที่นั่นมีแผนที่ของเขาสอยดาว และเป็นการไปบอกข่าวกับสิทธิชัยด้วยตนเอง ก่อนจะไปช่วย หญิงสาวทั้งสองให้ทันเวลา

จางหลี่ขับมาเพียง 15 นาทีก็ถึงที่หมายเธอรีบพาอาฮัวเข้าไปในบ้านที่อยู่ในร่มไม้หนาทึบ จนแสงสว่างภายในบ้านไม่อาจส่องผ่านในยามค่ำคืน จางหลี่พบจอมที่กำลังทำความสะอาดปืน ตอนนี้จอมถือว่าหายเกือบเป็นปกติ จอมเอ่ยแซวจางหลี่ที่พาหญิงสาวผมสั้นหน้าตาน่ารัก ขึ้นมาในบ้าน

          “นี่แกจะพาน้องสะไภ้มาให้พี่ดูตัวหรือวะ”

จางหลี่จึงเข้าไปกระซิบที่ข้างหูจอมทันที จอมที่แย้มยิ้ม ใบหน้าเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนสบถออกมาเบาๆ

          “ไอ้ เอก มันจะจองล้างจองผลาญพวกเราไปถึงไหนวะ”

จางหลี่จึงเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียดกว่า

          “แล้วตอนนี้พี่เขาอยู่ไหน ผมต้องบอกให้รู้ว่ากำลังจะเกิดเหตุร้ายกับ…”

          “เกิดเหตุร้ายกับใคร อาหลี่”

คนที่เดินเข้ามาอีกคนคือ สิทธิชัยที่สวมวิกผมยาวแล้วปล่อยให้หนวดเคราขึ้น จนแตกต่างไปจากเดิมเหมือนคนละคน แล้วเมื่อเขาพบอาฮัวที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้างหลังจางหลี่ เขาก็ทราบได้ทันทีว่า มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับ มาริสาหรือแม่เลี้ยงที่ดูแลเขามาตั้งแต่แบเบาะ

          “อาฮัว ทำไมเธอถึงอยู่ที่นี่ เกิดอะไรขึ้นกับคุณน้า”

จางหลี่มองสิทธิชัย ก่อนเล่าเรื่องที่เขาต้องการให้สิทธิชัยทราบ แล้วทั้งหมดก็ไปอยู่ในห้องรับแขก จางหลี่กางแผนที่ออก ให้อาฮัวชี้จุดที่ตั้งของบ้านพักของมาริสา ก่อนโยงเส้นมายังบ้านพักของเขา โดยมีเส้นทางที่จะวิ่งไปเชื่อมกัน 4 กิโลเมตร เป็นทางที่ใช้รถยนต์ขนาดเล็กคันเดียววิ่งขึ้นไป สิทธิชัยออกคำสั่งทันที

          “ฉันจะบุกขึ้นไปช่วยคุณน้า คิดว่าน่าจะพอมีเวลาส่วนทุกคนให้รออยู่ที่นี่ เตรียมข้าวของให้พร้อม ถ้าฉันไม่ลงมาภายในสองชั่วโมง ให้อาหลี่ขับรถไปแหล่งกบดานอื่น”

จอมจึงเอ่ยออกมา

          “ถ้าเป็นอย่างนั้น ไอ้เอกอาจจะได้หัวเราะแล้วบอกว่า กูยิงปืนนัดเดียว แต่ได้นกหน้าโง่มาถึงสองตัว”

ถึงจะเป็นคำประชดประชัน แต่ก็เป็ความหวังดีที่เขาต้องการจะให้สิทธิชัยมีสติมากกว่านี้ แน่นอนว่า สิทธิชัยจะเอาสติมาจากไหน เพราะความเป็นตายของผู้ที่เขาผูกพันราวกับแม่แท้ๆ กำลังจะถูกสังหารให้ดับดิ้นด้วยกองกำลังที่เอกเดชส่งมาเพื่อฆ่าเธอโดยเฉพาะ สิทธิชัยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ก็ทุบโต๊ะแล้วตวาดออกมา

          “มันจำเป็นต้องเสี่ยงพี่จอม พวกมันกำลังจะฆ่าแม่ของผม ผมคงนั่งเฉยไม่ได้แน่ๆ”

จอมจึงเข้าไปตบไหล่สิทธิชัยที่กำลังเดือดดาลอย่างขีดสุด ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่จริงใจ

          “ใครบอกเอ็งให้เอ็งอยู่เฉยๆ ข้าในฐานะพี่ใหญ่ จะขึ้นไปจัดการไอ้พวกนั้นเอง เพราะข้ามีบัญชีที่ต้องสะสางกับไอ้ไกร เพราะข้าคิดว่า ไอ้คนที่นำทัพมามากขนาดนี้ ก็คงเป็นใครไม่ได้ นอกจากไอ้ไกรเท่านั้น”

สิทธิชัยจึงมองหน้าจอมด้วยความซาบซึ้งก่อนเอ่ยออกมา

          “พี่จอม พี่ยังไม่หายดี แล้วตอนนี้พี่อาจไม่หนังเหนียวเหมือนเก่า ไปเจอกับกองกำลังล่าสังหารอาวุธครบมืออย่างกลุ่มสมิงทมิฬ มันเสี่ยงเกินไป แล้วถึงพี่จะจัดการพวกมันได้หมด แล้วคุณน้าก็คงไม่ยอมมากับพี่แน่ๆ เพราะผมรู้ดีว่าเธอไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า”

จอมจึงขมวดคิ้ว เพราะคิดว่าทางที่ตนเลือกน่าจะดีที่สุด แต่เมื่อคิดถึงตอนที่ฆ่าพวกสมุนลงได้ แต่ต้องมาฆ่ากันเอง มันคงเป็นเรื่องที่น่าเศร้ากว่าตายด้วยมือศัตรู จางหลี่จึงเอ่ยออกมา

          “ผมคิดว่าคนที่จะไปช่วยคุณมาริสาได้ดีที่สุดคือผมนะ เพราะคุณมาริสารู้จักและไว้ใจผมมากกว่าใคร แถมผมจะได้ขึ้นไปช่วยเมียของผมด้วย แค่ไปช่วยคน รับรองว่าคงมีการนองเลือดน้อยที่สุด ส่วนพี่รองพี่ต้องอยู่ที่นี่ คอยสนับสนุนผม”

สิทธิชัยน้ำตาหลั่งออกมาถึงมิตรภาพที่มีแต่เพื่อนแท้เท่านั้นที่จะได้เห็นในยามยากลำบาก ไม่ว่าการเสนอตัวของจอม หรือของจางหลี่ก็ตาม

         “ขอบใจมากทุกคน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม วันนี้ก็ได้เห็นแล้ว ว่าน้ำใจของพี่น้องมันยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่ถ้าต้องยืนเฉยๆ แบบนี้ มันก็คงไม่ต่างอะไรกับไอ้เอกเดช ถ้าเราจะสุขมันก็ต้องสุขด้วยกัน ทุกข์มันก็ทุกข์ด้วยกัน แต่ถ้าจะตาย ก็ไม่ควรให้ใครคนใดคนหนึ่งต้องตายคนเดียวไม่ใช่หรือ อาหลี่ พี่ให้แกไปเสี่ยงแบบนั้นคนเดียวไม่ได้หรอก เราต้องไปด้วยกัน”

ทันใดเสียงมอเตอร์ไซค์ดังขึ้นจากหลังบ้าน จางหลี่มองไปยังจุดที่อาฮัวยืนอยู่ ก็ทราบได้ทันทีว่า เธอขับขึ้นไปเพื่อช่วยทั้งสองสาวแล้ว จางหลี่จึงเอ่ยออกมาอีกครั้ง

          “ตอนนี้เหลือมอเตอร์ไซค์ของผมแค่คันเดียว และมีแต่ผมที่ขับมันได้ ไม่ต้องเลือกอีกแล้ว ชักช้าจะไม่ทันกาล พี่ใหญ่ พี่รองอยู่ที่นี่คอยฟังข่าวจากวิทยุ ผมจะรายงานมาเป็นระยะ”

แล้วจางหลี่ก็เดินไปหยิบออกมาใส่เป้มาสะพาย พร้อมกับปืนสั้นซ้ายขวา เมื่อบรรจุกระสุนเสร็จก็เหน็บเข้าซองปืนทั้งสองข้าง เขาก้มตัวลงหยิบปืนพกซ่อนเก็บเข้าซองปืนข้อเท้า โดยปลายกางเกงขาบานปิดไว้ไม่ให้ศัตรูได้เห็น เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อม จางหลี่ก็เดินไปที่ผ้าใบคลุมรถมอเตอร์ไซค์ของเขาสะบัดผ้าใบปลิวออกไป

เมื่อจางหลี่ขึ้นคร่อมรถแล้วเหยียบคันสตาร์ตจนเสียงของมันแผดคำราม จางหลี่ดึงแว้นดำลงจากศีรษะมาสวมที่ตา ยิ้มให้กับพี่น้องร่วมสาบานของตน ใช้สองนิ้วจดหัวคิ้วเป็นการแสดงท่าว่าตนมั่นใจในภารกิจครั้งนี้ว่าจะต้องสำเร็จ ก่อนบิดรถจนล้อหน้ายก ขับออกไปอย่างรวดเร็ว

ส่วนสิทธิชัยเมื่อมองน้องร่วมสาบานขับรถจากไป เขาจึงหันมามองจอมพี่ร่วมสาบาน ก่อนทั้งสองจะพยักหน้าให้กัน แล้วจึงแยกย้ายไปเตรียมอาวุธที่ตนมีบรรจุกระสุนให้พร้อม รวมทั้งจัดสัมภาระที่จำเป็นต้องใช้ในการหนีมาเตรียมไว้ เพื่อจะได้ย้ายไปเซฟเฮ้าส์แห่งใหม่อย่างรวดเร็ว

++++++++++++++++++
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่