๑.คือ มีสมาชิกท่านหนึ่งถามผมในฐานะผู้ศึกษาพระอภิธรรม ครับ ในตอนนั้น กระทู้ก่อนๆ กระผมก็ตอบแบบกว้างๆไป
๒.สมาชิกบางท่านก็มีความเมตตากรุณา แปะ ลิงค์มหาสติปัฏฐานสูตร การเจริญสติปัฎฐานสูตรใหญ่ ซึ่งมีอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒ (ฉบับมหาจุฬา) ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อ๙. กระผมก็เข้าไปอ่านแล้ว และมีหมวดสัจจะ ตั้งแต่หัวข้อที่ [386] ไปจนจบหัวข้อที่ ๙ อีกหลายหัวข้อ
๓.และสมาชิกอีกท่านหนึ่งได้ขอให้แสดงธรรมที่เข้าใจง่ายๆเพื่อให้เกิดปัญญาแก่สมาชิกที่เริ่มศึกษาพระธรรมใหม่ๆด้วย
- ดังนั้น เมื่อกระผมได้สนใจศึกษา สติปัฏฐาน ๔ ในรายละเอียด ตามข้อ ๑ และพบว่า ในหัวข้อที่ ๓๘๖ ขึ้นไปตามข้อ ๒ มีเรื่องราวที่เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับ ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมวดสัจจะ ซึ่งมีคำอธิบาย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค และศึกษาทบทวนปฏิจจสมุปบาทพอดีจึงขอสาธยายธรรมในเรื่องทุกข์คืออะไรให้เพื่อนสมาชิกได้อ่านกันสักครั้งหนึ่ง เรื่องราวของทุกข์ หรือ เรื่องราวของปฏิจจสมุปปบาทแบบง่ายๆนี้ ผมฟังจาก
https://www.youtube.com/watch?v=BUPZDotGigc&list=PLbNApPrel7E7scZXykudRDbOekExlzuIK&index=4
สรุปออกมาสั้นๆง่ายๆได้ดังนี้ครับ
๑.-กระบวนการแห่งความเป็นจริง คืออะไร ก็คือวงจรแห่งการเข้าถึงทุกข์นั่นเอง
๒.-ปฏิจจสมุปปาทให้บุคคลทั้งหลาย ได้อาศัยการศึกษาแล้วรู้ว่าทุกข์คืออะไร
(ตรงนี้ ที่สมาชิกท่านหนึ่งถามว่า ทุกข์คืออะไร )
๓.-เมื่อรู้ในทุกข์ แล้วก็พ้นจากทุกข์ ผลที่ได้ก็คือ พ้นจากทุกข์อย่างถาวร ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ในวงจรปฏิจจสมุปปบาทอีกแล้ว
๔.-ศัพท์คำว่า ปฏิจจสมุปบาท เป็นศัพท์ในพระอภิธรรม
๕.-ศัพท์คำว่า อิทัปปัจจยตา และ ปัจจยาการ เป็นศัพท์ที่พระอรรถกถาจารย์นำมาอธิบาย
๖.-ทั้ง สามคำ ได้แก่ ปฏิจจสมุปปบาท , อิทัปปัจจยตา และ ปัจจยาการ มีความหมายเหมือนกัน คือ เป็นการแสดงวงจรแห่งเหตุ และผล
๗.-ปฏิจจสมุปปบาท , ปฏิจจ = อาศัย , สมุปปาท แยกศัพท์ได้ ๒ ส่วนคือ สํ = ร่วม , อุปปาท = เกิด ดังนั้น ปฏิจจสมุปปบาท = การเกิดร่วมกันโดยอาศัยกัน
๘.-ปฏิจจสมุปปบาท อุบัติขึ้นในคืนวันแรกของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์นับตั้งแต่ พระพุทธเจ้าที่มีนามว่า พระทีปังกรพุทธเจ้า และจะมีการตรัสรู้ปฏิจจสมุปปบาทนี้ในพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปคือ พระศรีอาริยเมตไตรย
๙.-พระพุทธเจ้า ด้วยความเป็นสัพพัญญู รู้ความเป็นธรรมชาติ ไม่ได้คิดเอง ไม่ได้นึกเอง กฏนี้เป็นกฏธรรมชาติ ท่านเอากฏธรรมชาติมาใช้งาน แล้วเข้าถึงความเป็นธรรมชาติ พ้นไปจากธรรมชาติ สิ่งที่พระพุทธเจ้าสื่อออกมาจึงสามารถนำไปใช้ได้ทุกศาสนา เพราะพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ยึดตัวบุคคล ไม่ได้ยึดเอาตัวบุคคลเป็นพระเจ้า ดังนั้น อยากจะคิดอะไรขึ้นมา อยากจะยกโทษให้บุคคลขึ้นมา พระพุทธเจ้าของเราทำไม่ได้ หรือ ยกโทษให้บุคคลก็ไม่ได้ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย
๑๐.-การเกิดร่วมกันขององค์ ๑๒ ในปฏิจจสมุปปาท ได้แก่ อวิชชา สังขาร วิญญาน นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน กัมมภวะ ชาติ ชรา มรณะ
--เพราะต้นทางคือ อวิชชา คือ ความไม่รู้ ความไม่รู้ในเรื่องการกำหนดรู้ทุกข์
--เมื่อไม่รู้ทุกข์ จึงเป็นเหตุให้เกิด สมุทัย
--เมื่อยังอยู่ในขั้นที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ การละทุกข์ยังไม่อยู่ในวิสัย นิโรธก็ยังไม่เจริญ มรรคมีองค์ ๘ ก็ยังไม่สมังคี เพราะเนื่องจากเป็นตัวตนบุคคล อดีตเป็นอย่างไร อนาคตเป็นไฉน ความเป็นไปในปฏิจจสมุปปาทเป็นอย่างไร
--เพราะอวิชชา เป็น ตัวเหตุ เป็นตัวต้นทาง
--อวิชชา ปัจจยา สังขารา
--อวิชชเป็นปัจจัย จึงเกิด สังขาร
--สังขารเป็นปัจจัย ด้วย ทาน ศีล ภาวนา ด้วยการกระทำกุศล ด้วยความเป็นไปในปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร เพราะอภิสังขาร ๓ จึงจัดสรรให้ภพชาติเกิด ด้วยวิญญาน
--เมื่อมีวิญญานเกิดขึ้นในภพภูมิใหม่
--วิญญานะ ปัจจยา นามะรูปัง
--วิญญาน เป็น จิต , นาม เป็น เจตสิก , รูป คือ กัมมชรูป และ จิตตชรูป
--วิญญานจึงเป็นปัจจัยให้ นามรูป อาศัยกัน ( วิญญานะ ปัจจะยา นามะรูปัง)
--เพราะมี นาม เพราะมีรูป จึงเป็นแดนเกิดแห่งอายตนะ (นามะรูปะ ปัจจะยา สฬายะตะนัง) จึงเกิดขึ้น
--เพราะมี อายตนะ ผัสสะ จึงไปรับการกระทบ (อายตนะ ปัจจะยา ผัสโส) เพราะมี อายตนะ ผัสสะ กระทบ
--ผัสสะ ปัจจยา เวทนา
--เพราะมี ผัสสะ จึงเป็นเหตุให้มีการเสวยอารมณ์
--เวทนา ปัจจยา ตัณหา
--เพราะเวทนา อันเป็นสุข อันเป็นทุกข์ อันเป็นอุเบกขา จึงเป็นเหตุให้บุคคลทะยานอยาก ยึดมั่นในอารมณ์ด้วยความพอใจ ทะยานอยากในการผลักใสไล่ส่ง ในอารมณ์ที่ไม่พึงปรารถนา
--เวทนา ปัจจยา ตัณหา , ตัณหามีความยินดี มีความพอใจ
--ยินดีพอใจ ยินดีอย่างแรงกล้า กลายเป็น กามุปาทาน
--ยินดีแล้ว มีความเห็นผิด ในขั้น ทิฏฐุปาทาน
--มีการยึดมั่นว่า เป็นตัว เป็นตน ด้วย อัตตวาทุปาทาน
--มีการปฏิบัติผิดหนทาง เป็น ศีลพัตตุปาทาน
--ตัณหา ปัจจยา อุปาทานัง
--มีความยึดมั่น ยึดมั่นก็ทำกรรมใหม่ (กรรมเก่าในภพก่อนก็ยังมี กรรมใหม่ในภพนี้ก็ยังมี) กรรมใหม่ในภพนี้เกิดเพราะมีอุปทานเป็นปัจจัย ให้เกิดกรรม
--อุปาทานะ ปัจจยา ภะโว
--เมื่อกระทำกรรมชาติหน้าก็มี
--ภวะ ปัจจยา ชาติ
--เพราะมีการเกิด สัตว์ทั้งหลาย เกิดเท่าไหร่ย่อมตายเท่านั้น
--ชาติปัจจยา ชรา มรณํ
--เมื่อมี การเกิด มีการแก่ มีการตาย ก็ย่อมไม่พ้นวงจรแห่ง อนิฏฐผล ๕ อันได้แก่ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ อุปายาสะ
--วงจรปฏิจจสมุปบาท อาศัยกันเกิด ด้วยเหตุ ด้วยปัจจัย อันเป็นไปโดยวงจรนี้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยขาดเหตุ และขาดผลได้เลย เป็นวงจรแห่งความเป็นจริง จึงเป็นเหตุให้ชื่อว่า ปฏิจจสมุปปาท นั่นเอง
--คำอธิบายศัพท์อยู่ในพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒ตามลิ้งค์นี้นะครับ
http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=10&siri=9
โดยจะอธิบายว่า ทุกขสัจจะ คืออะไร เป็นต้นตั้งแต่หัวข้อที่ [386]เป็นต้นไปครับ
--อนุโมทนาผู้ที่สนใจศึกษาพระธรรมครับ ยังมีความพิสดารอีกมายนะครับ ศึกษาขั้นต้นแล้วก็ศึกษาเพิ่มเติมต่อไปครับ ผู้ไม่รู้ปฏิจจสมุปปาท ก็เหมือนอยู่ในความมืดมิด ยังไงก็ต้องตกอยู่ในสังสารวัฏฏ์ไม่มีวันออกมาได้ครับ แต่ผู้ที่ศึกษาปฏิจจสมุปปบาทครับ ย่อมมีหนทางพ้นจากวงจรนี้ หรือพ้นจากทุกข์ในกาลใดกาลหนึ่งในอนาคตต่อไปแน่นอน ครับ
ทุกข์คืออะไร
๒.สมาชิกบางท่านก็มีความเมตตากรุณา แปะ ลิงค์มหาสติปัฏฐานสูตร การเจริญสติปัฎฐานสูตรใหญ่ ซึ่งมีอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒ (ฉบับมหาจุฬา) ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อ๙. กระผมก็เข้าไปอ่านแล้ว และมีหมวดสัจจะ ตั้งแต่หัวข้อที่ [386] ไปจนจบหัวข้อที่ ๙ อีกหลายหัวข้อ
๓.และสมาชิกอีกท่านหนึ่งได้ขอให้แสดงธรรมที่เข้าใจง่ายๆเพื่อให้เกิดปัญญาแก่สมาชิกที่เริ่มศึกษาพระธรรมใหม่ๆด้วย
- ดังนั้น เมื่อกระผมได้สนใจศึกษา สติปัฏฐาน ๔ ในรายละเอียด ตามข้อ ๑ และพบว่า ในหัวข้อที่ ๓๘๖ ขึ้นไปตามข้อ ๒ มีเรื่องราวที่เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับ ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมวดสัจจะ ซึ่งมีคำอธิบาย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค และศึกษาทบทวนปฏิจจสมุปบาทพอดีจึงขอสาธยายธรรมในเรื่องทุกข์คืออะไรให้เพื่อนสมาชิกได้อ่านกันสักครั้งหนึ่ง เรื่องราวของทุกข์ หรือ เรื่องราวของปฏิจจสมุปปบาทแบบง่ายๆนี้ ผมฟังจาก https://www.youtube.com/watch?v=BUPZDotGigc&list=PLbNApPrel7E7scZXykudRDbOekExlzuIK&index=4
สรุปออกมาสั้นๆง่ายๆได้ดังนี้ครับ
๑.-กระบวนการแห่งความเป็นจริง คืออะไร ก็คือวงจรแห่งการเข้าถึงทุกข์นั่นเอง
๒.-ปฏิจจสมุปปาทให้บุคคลทั้งหลาย ได้อาศัยการศึกษาแล้วรู้ว่าทุกข์คืออะไร
(ตรงนี้ ที่สมาชิกท่านหนึ่งถามว่า ทุกข์คืออะไร )
๓.-เมื่อรู้ในทุกข์ แล้วก็พ้นจากทุกข์ ผลที่ได้ก็คือ พ้นจากทุกข์อย่างถาวร ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ในวงจรปฏิจจสมุปปบาทอีกแล้ว
๔.-ศัพท์คำว่า ปฏิจจสมุปบาท เป็นศัพท์ในพระอภิธรรม
๕.-ศัพท์คำว่า อิทัปปัจจยตา และ ปัจจยาการ เป็นศัพท์ที่พระอรรถกถาจารย์นำมาอธิบาย
๖.-ทั้ง สามคำ ได้แก่ ปฏิจจสมุปปบาท , อิทัปปัจจยตา และ ปัจจยาการ มีความหมายเหมือนกัน คือ เป็นการแสดงวงจรแห่งเหตุ และผล
๗.-ปฏิจจสมุปปบาท , ปฏิจจ = อาศัย , สมุปปาท แยกศัพท์ได้ ๒ ส่วนคือ สํ = ร่วม , อุปปาท = เกิด ดังนั้น ปฏิจจสมุปปบาท = การเกิดร่วมกันโดยอาศัยกัน
๘.-ปฏิจจสมุปปบาท อุบัติขึ้นในคืนวันแรกของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์นับตั้งแต่ พระพุทธเจ้าที่มีนามว่า พระทีปังกรพุทธเจ้า และจะมีการตรัสรู้ปฏิจจสมุปปบาทนี้ในพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปคือ พระศรีอาริยเมตไตรย
๙.-พระพุทธเจ้า ด้วยความเป็นสัพพัญญู รู้ความเป็นธรรมชาติ ไม่ได้คิดเอง ไม่ได้นึกเอง กฏนี้เป็นกฏธรรมชาติ ท่านเอากฏธรรมชาติมาใช้งาน แล้วเข้าถึงความเป็นธรรมชาติ พ้นไปจากธรรมชาติ สิ่งที่พระพุทธเจ้าสื่อออกมาจึงสามารถนำไปใช้ได้ทุกศาสนา เพราะพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ยึดตัวบุคคล ไม่ได้ยึดเอาตัวบุคคลเป็นพระเจ้า ดังนั้น อยากจะคิดอะไรขึ้นมา อยากจะยกโทษให้บุคคลขึ้นมา พระพุทธเจ้าของเราทำไม่ได้ หรือ ยกโทษให้บุคคลก็ไม่ได้ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย
๑๐.-การเกิดร่วมกันขององค์ ๑๒ ในปฏิจจสมุปปาท ได้แก่ อวิชชา สังขาร วิญญาน นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน กัมมภวะ ชาติ ชรา มรณะ
--เพราะต้นทางคือ อวิชชา คือ ความไม่รู้ ความไม่รู้ในเรื่องการกำหนดรู้ทุกข์
--เมื่อไม่รู้ทุกข์ จึงเป็นเหตุให้เกิด สมุทัย
--เมื่อยังอยู่ในขั้นที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ การละทุกข์ยังไม่อยู่ในวิสัย นิโรธก็ยังไม่เจริญ มรรคมีองค์ ๘ ก็ยังไม่สมังคี เพราะเนื่องจากเป็นตัวตนบุคคล อดีตเป็นอย่างไร อนาคตเป็นไฉน ความเป็นไปในปฏิจจสมุปปาทเป็นอย่างไร
--เพราะอวิชชา เป็น ตัวเหตุ เป็นตัวต้นทาง
--อวิชชา ปัจจยา สังขารา
--อวิชชเป็นปัจจัย จึงเกิด สังขาร
--สังขารเป็นปัจจัย ด้วย ทาน ศีล ภาวนา ด้วยการกระทำกุศล ด้วยความเป็นไปในปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร เพราะอภิสังขาร ๓ จึงจัดสรรให้ภพชาติเกิด ด้วยวิญญาน
--เมื่อมีวิญญานเกิดขึ้นในภพภูมิใหม่
--วิญญานะ ปัจจยา นามะรูปัง
--วิญญาน เป็น จิต , นาม เป็น เจตสิก , รูป คือ กัมมชรูป และ จิตตชรูป
--วิญญานจึงเป็นปัจจัยให้ นามรูป อาศัยกัน ( วิญญานะ ปัจจะยา นามะรูปัง)
--เพราะมี นาม เพราะมีรูป จึงเป็นแดนเกิดแห่งอายตนะ (นามะรูปะ ปัจจะยา สฬายะตะนัง) จึงเกิดขึ้น
--เพราะมี อายตนะ ผัสสะ จึงไปรับการกระทบ (อายตนะ ปัจจะยา ผัสโส) เพราะมี อายตนะ ผัสสะ กระทบ
--ผัสสะ ปัจจยา เวทนา
--เพราะมี ผัสสะ จึงเป็นเหตุให้มีการเสวยอารมณ์
--เวทนา ปัจจยา ตัณหา
--เพราะเวทนา อันเป็นสุข อันเป็นทุกข์ อันเป็นอุเบกขา จึงเป็นเหตุให้บุคคลทะยานอยาก ยึดมั่นในอารมณ์ด้วยความพอใจ ทะยานอยากในการผลักใสไล่ส่ง ในอารมณ์ที่ไม่พึงปรารถนา
--เวทนา ปัจจยา ตัณหา , ตัณหามีความยินดี มีความพอใจ
--ยินดีพอใจ ยินดีอย่างแรงกล้า กลายเป็น กามุปาทาน
--ยินดีแล้ว มีความเห็นผิด ในขั้น ทิฏฐุปาทาน
--มีการยึดมั่นว่า เป็นตัว เป็นตน ด้วย อัตตวาทุปาทาน
--มีการปฏิบัติผิดหนทาง เป็น ศีลพัตตุปาทาน
--ตัณหา ปัจจยา อุปาทานัง
--มีความยึดมั่น ยึดมั่นก็ทำกรรมใหม่ (กรรมเก่าในภพก่อนก็ยังมี กรรมใหม่ในภพนี้ก็ยังมี) กรรมใหม่ในภพนี้เกิดเพราะมีอุปทานเป็นปัจจัย ให้เกิดกรรม
--อุปาทานะ ปัจจยา ภะโว
--เมื่อกระทำกรรมชาติหน้าก็มี
--ภวะ ปัจจยา ชาติ
--เพราะมีการเกิด สัตว์ทั้งหลาย เกิดเท่าไหร่ย่อมตายเท่านั้น
--ชาติปัจจยา ชรา มรณํ
--เมื่อมี การเกิด มีการแก่ มีการตาย ก็ย่อมไม่พ้นวงจรแห่ง อนิฏฐผล ๕ อันได้แก่ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ อุปายาสะ
--วงจรปฏิจจสมุปบาท อาศัยกันเกิด ด้วยเหตุ ด้วยปัจจัย อันเป็นไปโดยวงจรนี้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยขาดเหตุ และขาดผลได้เลย เป็นวงจรแห่งความเป็นจริง จึงเป็นเหตุให้ชื่อว่า ปฏิจจสมุปปาท นั่นเอง
--คำอธิบายศัพท์อยู่ในพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒ตามลิ้งค์นี้นะครับ http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=10&siri=9
โดยจะอธิบายว่า ทุกขสัจจะ คืออะไร เป็นต้นตั้งแต่หัวข้อที่ [386]เป็นต้นไปครับ
--อนุโมทนาผู้ที่สนใจศึกษาพระธรรมครับ ยังมีความพิสดารอีกมายนะครับ ศึกษาขั้นต้นแล้วก็ศึกษาเพิ่มเติมต่อไปครับ ผู้ไม่รู้ปฏิจจสมุปปาท ก็เหมือนอยู่ในความมืดมิด ยังไงก็ต้องตกอยู่ในสังสารวัฏฏ์ไม่มีวันออกมาได้ครับ แต่ผู้ที่ศึกษาปฏิจจสมุปปบาทครับ ย่อมมีหนทางพ้นจากวงจรนี้ หรือพ้นจากทุกข์ในกาลใดกาลหนึ่งในอนาคตต่อไปแน่นอน ครับ