
มนุษย์จากชนเผ่าเมืองร้อนอย่างผมก้าวขาออกมาจากสถานีรถไฟเพื่อสัมผัสอากาศหนาวที่เรียกได้ว่าหนาวที่สุดในชีวิตเป็นครั้งแรก ลาก่อนนะ ฮีตเตอร์ในสถานี ถึงยังไงมนุษย์ก็ต้องเดินออกจากเซฟโซนของตัวเองเพื่อไปตามหาความฝัน
.
.
ซรึ่มมมมมม
.
.
.
เดินถอยหลังกลับมาหลังประตูเลื่อนแป๊ป สงสัยเมื่อกี้ยังไม่ได้ตั้งตัว สูดลมหายใจจนเต็มปอดแล้วเชิดคางขึ้นพร้อมเดินไปอย่างมั่นใจ
เอาวะ!!! ความเร่าร้อนในหัวใจตอนนี้ต่อให้อากาศลบสามล้านองศาเซลเซียสก็ไม่กลัว!!!!
.
.
ซรึ่มมมมม
.
.
.
ไฟในใจตูมันดับไปดังฟุ้บเลยโว้ยยยย หนาวชิบผายยยยยยยยยยยยย
ก่อนอื่นเลยขอสวัสดีทุกๆคนที่หลงเข้ามาอ่านกระทู้นี้ ยินดีต้อนรับเข้าสู่การเดินทาง 9 วัน 9 คืน hokado ฉบับคนขี้หนาวเปล่าเปลี่ยวเดินทางคนเดียวด้วยงบ 55000 ณ บัดนี้…….เชิญทัศนา!!!!
เตียมตัวก่อนไป
การเดินทางในครั้งนี้ผมไปวันที่ 31/1/62 - 8/2/62
1.ใช้พาสตัวไหนดี?
พ่อหนุ่มมมมมมมมม อันดับแรกเลยคือเอ็งต้องถามตัวเองว่าอยากเห็นอยากเล่นอะไรอยากเห็นอะไร ถ้าสายเล่นสกีเล่นหิมะ ล่องเรือตัดน้ำแข็งนิดหน่อย ไป Hokaido rail pass โลด เพราะสถานที่ส่วนใหญ่อยู่ไกลๆทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งค่ารถไฟนี่กระอักเลือดเอาได้ง่ายๆ
แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่อินกับการเล่นสกีหรือการนั่งรถไฟไกลๆปล่อยใจให้ล่องลอย แต่โคตรสุดอินกับการกินดื่มในเมืองกับการแต๊ดแต๋ๆไปธรรมชาติใกล้ๆเมืองบ้าง เช่น ซัปโปโร โอตารุ โนโบริเบ็ทสึ ทะเลสาปโทยะ และมีเวลาประมาณ 4-5 วัน PASS ไม่จำเป็นเท่าไหร่ แนะนำว่าไปซื้อดิบเดินทางเป็นเที่ยวๆดีกว่า
ผมตัดสินจากรูปแบบการเดินทางของตัวเองได้ง่ายมากๆ ยังไงไม่ขอเล่นสกีเด็ดขาด เดินทางคนเดียวถ้าเล่นท่ายากแล้วม้วนหน้าขาหักไป บวกกับสกิลภาษาญี่ปุ่นที่ต่ำเข้าขั้นติดลบคงไม่ใช่ทางออกที่ดีนักที่ต้องไปนอนเล่นภาษามือกับสภาพผ้าพันแผลรอบตัวบนเตียง มันคือการฆ่าตัวตายชัดๆ งั้นก็อยู่แถวๆซัปโปโรนี่แหละ แล้วซื้อตั๋วเป็นเที่ยวๆเอา ถูกกว่าเยอะ
หลังจากที่ผมวางแผนเที่ยวพร้อมกับกดเครื่องคิดเลขต่างๆนาเพื่อคำนวนณค่าใช้จ่ายไปได้เกือบจะเสร็จแล้วนั้น
.
.
ดันไปเจอรีวิวเมือง Hakodate
.
.
.
ขยำแผนที้งแม่ม!!!!!!!!
ยังไงก็จะไปโว้ยยย ความงามกับความเย้ายวนที่เหมือนจะโดนป้ายยาเข้าที่ขั้วหัวใจ
กำตังค์ในกระเป๋ารอละ เปิดเว็ป HYPERDIA เช็คราคารถไฟดิฟะ
.
.
นั่งรถไฟสามชั่วโมง == ไม่สน ดื้อ! ยังไงก็จะไป ข้อดีของการไปเที่ยวคนเดียวมันเป็นอย่างนี้แหละ เปลี่ยนแผนกลางอากาศก็ไม่มีใครว่าได้ ไหนดูราคาตั๋วดิ๊ Sapporo to Hakodate
.
.
8300 เยน ไปกลับก็ 16000 == แบงค์เยนในมือร่วงลงพื้นแบบภาพสโลวตามอย่างหนังแอคชัน
.
.
หาพาสที่ไปฮาโกดาเตะสิฟะ!
JR TOHOKU-SOUTH HOKKAIDO RAIL PASS



อีกหนึ่ง PASS ที่ตอบโจทย์ได้ดีสำหรับคนที่อยากเที่ยวฮอกไกโดทางใต้กับภูมิภาคโทโฮคุ โดยสนนราคาอยู่ที่ 20000เยนใช้ได้ 5 วันแบบไม่ต่อเนื่องหรือถ้าซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายนอกประเทศจะอยู่ที่ 19000 เยน ครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวหลักๆส่วนใหญ่ของฮอกไกโดไว้บ้าง สามารถแลกตั๋วนี้ได้ตามสถานีรถไฟใหญ่ๆทั่วไปเช่นสนามบิน Sapporo หรือ Otaru
การแต่งตัวไปฮอกไกโดช่วงหน้าหนาว (ต้นกุมภาพันธ์)
ออกตัวนำไปก่อนเลยว่าถ้ามีเหตุการณ์อุกกาบาตถล่มโลกแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างฉับพลันไปเข้ายุคน้ำแข็งอีกครั้ง สิ่งที่จะตายก่อนโดโนเสาร์ก็คือตูนี่แหละ ตอนอยู่ไทยยังต้องห่มผ้านวมนอน นี่ยังห้าวมาท้าทายอากาศติดลบที่นี่ หลังจากปรึกษาเพื่อนๆว่าถ้าตอนอยู่โน่นเดินไปด้วยถือคบเพลิงให้ความอบอุ่นไปด้วยคงจะโดนพี่หนวดญี่ปุ่นรวบเอาแน่ๆก็ต้องกลับมาวางแผนกันใหม่…………….ใช้เงินแก้ปัญหาสิฟะ ซื้อเสื้อมาพันให้เป็นแหนมไปเลยโง้ยยยยย
ท่อนบน
เสื้อ Heatech ของยูนิโคละ รุ่น Extra warm
เสื้อฟรีสของยูนิโคละ
เสื้อฟรีสยูนิโคละอัดเข้าไปอีกชั้น(สำหรับคนขี้ร้อนไม่ต้องก็ได้ครับ)
เสื้อขนเป็ด
ท่อนล่าง
กางเกงใน……….มันต้องใส่อยู่แล้วเป่าวะ!!!
กางเกงลองจอนแบบหนาขนอุย (คนขี้ร้อนไม่ต้องก็ได้)
กางเกงหนาๆ หรือกางเกงยีนส์นี่แหละ!!!!
ถุงมือ อันนี้สำคัญมากกับความหนาวที่ต้องเจอมือเมอแทบแหกเอาให้ได้
ที่ปิดหูหรือหมวกไหมพรม สิ่งที่ทำให้ปวดร้าวจนลงไปดื้นๆกับพื้นน้ำลายฟูมปากเอาได้ง่ายๆเลยก็คือหู จังหวะลมมาแรงๆนี่ปวดเหมือนหูจะขาด อีตาบ้า แทบจะจุดไฟแช็คอังใส่กกหูให้รู้แล้วรู้รอด
รองเท้า ควรเป็นชนิดที่มีดอกลึกและหนาเพื่อการยึดเกาะ ยิ่งน้ำแข็งที่แบบเปียกน้ำนะพ่อเอ๊ย ไสลด์ทีนี่แทบจะไหลด้วยความเร็วแสง และที่สำคัญ ต้องกันน้ำ เพราะถ้าน้ำแข็งซึมเข้าไปปะทะกับความร้อนของฝ่าเท้าเมื่อไหร่ล่ะก็บรรลัยขั้นสุด
SIM internet
ไปญี่ปุ่นก็ซื้อซิมของประเทศญี่ปุ่นดิวะ!!! อย่างน้อยใช้เสร็จจะได้มีของมาเก็บไว้เป็นคอลเล็คชัน ความทรงจำที่วาบหวามในแต่ละครั้งที่ได้เห็นของที่เก็บกลับมาจากที่ต่างๆ อะไรที่หอมหวานกว่านี้หามีไม่ มา เท่าไหร่ขอให้บอก
.
.
เอ๊อะ
.
.
.
ราคานี้ใช้ซิมจากเมืองไทยก็ได้โว้ยยยยย
แต่สำหรับใครที่พลาดเตรียมตัวมาไม่ทันแต่มีความจำเป็นต้องใช้ Internet ที่สนามบินก็มีเครื่องขาย SIM อัตโนมัติอยู่ แต่เตรียมกระดาษทิชชู่ไว้ให้ดีๆ อาจจะมีกระอักเลือดกับราคาเอาได้ง่ายๆ ฉะนั้นส่วนตัวแล้วผมแนะนำให้ซื้อซิมไปจากประเทศไทยเลยครับ ถูกกว่าเยอะมาก

(หน้าตาตู้ขายซิมที่สนามบินญี่ปุ่น)
และเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็ดำเนินการฝ่ารถติดจากถนนจรัญไปสู่สนามบินดอนเมืองได้ ลุ๊ยย
DAY 1 : ดอนเมือง=>สนามบินชินชิโตเสะ=>Otaru

เนื่องด้วยผมโดนสายการบินหางแดงเลื่อนเวลาจากเที่ยงคืนไปเป็นตีสอง ทำให้เวลาที่ผมเดินทางถึงสนามบิน shin chiitose จากช่วงสายๆจู้ฮุกกรูวไถรูดไปเป็นเกือบเที่ยงกันซะอย่างนั้น การหาที่เที่ยวที่สามารถจบได้ภายในครึ่งวันบ่ายจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และนั่นก็ทำให้ผมตัดสินใจขึ้นรถไฟจากสนามบินมุ่งหน้าไปเมืองโอตารุทันที…………………….

แต่ก่อนอื่น ขอแนะนำให้รู้จักกับไอเท็มคู่บุญนัเดินทางสายมั่วตั้ว!!!!
บัตร KITAKA
บัตรน้องกระรอกบินคู่บุญนักเดินทางสายมั่วตั้วที่รั่วยังไงก็ไม่มีเขิน มันคือบัตรเงินสดที่มีคุณอนันต์เป็นล้นพ้นจนต้องชาบูไว้เหนือหัว (บัตรหายไม่ได้ถ่ายรูปไว้ด้วย เค้าเสียจายยยยยย )
ส่วนข้อดีของมันนั้น........
มันมีส่วนลดหรอ………..ก็ไม่
มันเป็นบัตรเหมาๆบุฟเฟต์ค่าเดินทางหรอ…...ก็ไม่
เอาไว้ใช้แบ่งไปนั่งโซนพิเศษรึเปล่า………….ก็ไม่
เอาไว้ใช้โชว์ตำรวจที่จะเข้ามารวบตอนเดินถือคบเพลิงท่ามกลางหิมะรึเปล่า………...ได้ที่ไหนล่ะโว้ยย
ข้อดีของมันคือแค่คุณมีเงินในบัตรคุณก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น บัตรหน้าด้านบัตรหน้ามึนแบบแทบไม่ต้องใช้สมอง เช่น
ในกรณีไม่มี Pass หรือไม่มีบัตร คุณจะต้องไปซื้อตั๋วกระดาษเป็นเที่ยวๆเพื่อเอาไปเสียบประตูกั้นอัตโนมัติก่อนขึ้นรถไฟ ไอ้เรื่องซื้ออะไรไม่เท่าไหร่ แต่การจะเงยไปดูแผนผังรถไฟที่ยากยิ่งกว่าคำถามฟิสิกส์โอลิมปิกว่าเราต้องจ่ายเงินเท่าไหร่นี่มันปวดหัวเหลือคณา แต่กรณีที่คุณมีบัตรนี้ แค่เอาบัตรไปแตะตรงทางเข้า และเอาบัตรแตะตรงทางออกที่สถานีปลายทางระบบก็จะดัดเงินที่อยู่ในบัตรให้ก็สะดวกโยธินแอ่นเอวร่อนผ่านไม้กั้นไปอย่างสวยงามโดยที่ไม่ต้องรู้ด้วยซ้ำว่าใช้เงินเท่าไหร่ สติไม่มีก็ใช้เงินแก้ปัญหาไปพ่อหนุ่ม ส่วนในกรณีที่เงินในบัตรไม่พอก็แค่เดินถอยหลังกลับมาเดิมเงินที่ตู้อัตโนมัติเท่านั้น
ล็อกเกอร์เก็บของก้สามารถใช้บัตรนี้จ่ายเงินได้ โดยใช้แทนกุญแจเปิดปิดตู้นี่แหละ ไม่ต้องพกกุญแจให้มีความเสี่ยงเพิ่ม
ใช้จ่ายเงินซื้อของพวกร้านราเมงหน้าสถานีรถไฟหรือตู้ขายน้ำอัตโนมัติได้ด้วย ฮูเล่
โดยบัตรจะเก็บเงินมัดจำค่าบัตรมูลค่า 500 เยน ไว้ซึ่งจะได้คืนเมื่อนำบัตรไปแลกคืนได้ภายหลังครับ สามารถซื้อบัตรนี้ได้ที่ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติตามสถานีใหญ่ได้เลย
โดยการเดินทางจากสนามบินไป Otaru ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ด้วยค่าโดยสานเที่ยวเดียวอยู่ที่ประมาณ 1800 เยน แต่สำหรับคนที่มี pass ก็สามารถใช้ได้เพราะครอบคลุมในพื้นที่ส่วนนี้ ฮูเล่
ภาพตัดกลับมาที่ไอ้หนวดร่างหมีที่ยืนกลืนน้ำลายรอบที่ยี่สิบสี่หน้าประตูเลื่อนที่เปิดๆปิดเหมือนจะเย้ยหยันว่าเอ็งไม่กล้าก้าวขาออกมาจากอ้อมกอดของฮีตเตอร์ได้หรอกไอ้หนุ่ม
อย่าดูถูกตรู๊ววววววววววววววววววว กัดฟันแล้ววิ่งฝ่าลมหนาวออกไปเลยโว้ยยยย ว๊ากกกกกกกกกก
Otaru


เมืองน่ารักสุดคลาสสิคที่น่าจะผูกขาดกับทัวร์ไทยเอาไว้ชนิดที่เรียกได้ว่าเดินไปทุกที่ได้ยินเสียงคนไทยตลอดทางเหมือนนัดกันมาทั้งตำบล ด้วยอารมณ์เอื่อยๆเฉื่อยๆของเมืองจนทำให้ดูจืดไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นอาหารรสจืดที่กินได้อร่อยและไม่มีเบื่อ และสิ่งที่ทำให้ผมอึ้งมากๆสำหรับที่เมืองแห่งนี้เลยก็คือ
คุณสามารถเข้าห้องน้ำที่มินิมาร์ทได้เกือบทุกที่ในเมือง!!! แล้วคือแบบไม่ต้องไปคุกเข่าเพื่อขอเข้าห้องน้ำจากพนักงานด้วยนะ เพราะเมื่อคุณเดินเข้าไปในมินิมาร์ทตรงหน้าห้องน้ำจะมีป้ายที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษแปะอยู่วว่า “อย่าเกรงใจที่จะใช้ห้องน้ำของมินิมาร์ทแห่งนี้”
.
.
ด๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย วิ่งลงไปกราบที่หน้าตักพนักงานมินิมาร์ทพร้อมวิ่งเข้าห้องน้ำไปด้วยความเร็วแสง!!!!
Miyakodori Shopping Street


หลังจากที่วิ่งซอยเท้าด้วยความเร็วแสงหวังจะพึ่งพลังงานความร้อนที่เกิดขึ้นมาบรรเทาความหนาวที่กะฆ่าให้ตายตกตามกันไป ก็จะมาถึง Shopping street ใต้หลังคาที่ตัดขวางกับถนนสายหลักจากหน้าสถานีที่จะมุ่งหน้าไปทางคลองโอตารุ ซึ่งมัน………………...จืด!
ไม่รู้สิ ผมว่าถนนสายนี้มันจืดๆยังไงไม่รู้ ไม่มีความน่าเดินเลยซักนิด หรือบางทีมันอาจจะกลับมาคึกคักตอนกลางคืนก็ได้นะ แต่สภาพที่เหมือนป่าช้าอย่างนี้นี่ให้ความรู้สึกอยากซื้อสร้อยพระมาแขวนคอซะมากกว่า ร้างมากไปแล้วโว้ย
คลองโอตารุ


สถานที่สุดฮิตชนิดที่ไม่ว่าใครก็ต้องมา แนนล่ะ ไม่ว่าใครก็ต้องมา…….คนเยอะจนกลัวว่าสะพานจะถล่มไปหายมบาลแบบยกแผง เสียงชัตเตอร์รัวๆกับการต่อแถวเพื่อถ่ายรูปตัวเองกับภาพริมคลองยังคงดังอย่างต่อเนื่องเหมือนปืนกลที่กดสูตรกระสุนไม่จำกัด เพราะภาพที่เห็นอยู่ตอนนี้ ก็ต้องยอมรับว่าแม่สาวน้อยโอตารุสุดโด่งดังมันตัดกับหิมะที่ขาวโพลนอยู่ตอนนี้ได้เป็นอย่างดี (ภาพที่เห็นเป้นผาพที่ผมเดินวนมาถ่ายรูปอีกทีตอนหัวค่ำครับ)
พิพิธพัณฑ์กล่องดนตรี
เลี้ยวขวาเลียบคลองโอตารุมาไม่ไกลมากนัก ก็จะมาเจออีกหนึ่งสถานที่สุดยอดนิยมอีกที่หนึ่ง โครงสร้างอาคารที่สไตล์เป็นเอกลักษณ์และนาฬิกาไอน้ำตั้งอยู่ตรงกลางสามแยกตั้งเด่นเป็นสง่าแบบว่ายังไงก็ไม่หลงแน่นอน แต่สิ่งที่น่าหลงไหลของมันจริงๆแล้วอยู่ภายในตะหาก


แทบจะกางปีกบินเข้าไปหานึกว่าตัวเองเป็นแมงเม่า!!!! แสงไฟเข้าในมันวิบวับจนตาแทบบอดเอาให้ได้!!!! เอาจริงๆแค่คุณเดินเข้าไปดูก็ถือว่ากำไรชีวิตแล้ว!
[CR] แบกเป้เที่ยวคนเดียวแบบเพื่อนไม่คบ Hokkaido Snowfest 2019 9 วัน 8 คืน ด้วยงบ 55,000 ฉบับคนขี้หนาว!!!!
.
.
ซรึ่มมมมมม
.
.
.
เดินถอยหลังกลับมาหลังประตูเลื่อนแป๊ป สงสัยเมื่อกี้ยังไม่ได้ตั้งตัว สูดลมหายใจจนเต็มปอดแล้วเชิดคางขึ้นพร้อมเดินไปอย่างมั่นใจ
เอาวะ!!! ความเร่าร้อนในหัวใจตอนนี้ต่อให้อากาศลบสามล้านองศาเซลเซียสก็ไม่กลัว!!!!
.
.
ซรึ่มมมมม
.
.
.
ไฟในใจตูมันดับไปดังฟุ้บเลยโว้ยยยย หนาวชิบผายยยยยยยยยยยยย
ก่อนอื่นเลยขอสวัสดีทุกๆคนที่หลงเข้ามาอ่านกระทู้นี้ ยินดีต้อนรับเข้าสู่การเดินทาง 9 วัน 9 คืน hokado ฉบับคนขี้หนาวเปล่าเปลี่ยวเดินทางคนเดียวด้วยงบ 55000 ณ บัดนี้…….เชิญทัศนา!!!!
เตียมตัวก่อนไป
การเดินทางในครั้งนี้ผมไปวันที่ 31/1/62 - 8/2/62
1.ใช้พาสตัวไหนดี?
พ่อหนุ่มมมมมมมมม อันดับแรกเลยคือเอ็งต้องถามตัวเองว่าอยากเห็นอยากเล่นอะไรอยากเห็นอะไร ถ้าสายเล่นสกีเล่นหิมะ ล่องเรือตัดน้ำแข็งนิดหน่อย ไป Hokaido rail pass โลด เพราะสถานที่ส่วนใหญ่อยู่ไกลๆทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งค่ารถไฟนี่กระอักเลือดเอาได้ง่ายๆ
แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่อินกับการเล่นสกีหรือการนั่งรถไฟไกลๆปล่อยใจให้ล่องลอย แต่โคตรสุดอินกับการกินดื่มในเมืองกับการแต๊ดแต๋ๆไปธรรมชาติใกล้ๆเมืองบ้าง เช่น ซัปโปโร โอตารุ โนโบริเบ็ทสึ ทะเลสาปโทยะ และมีเวลาประมาณ 4-5 วัน PASS ไม่จำเป็นเท่าไหร่ แนะนำว่าไปซื้อดิบเดินทางเป็นเที่ยวๆดีกว่า
ผมตัดสินจากรูปแบบการเดินทางของตัวเองได้ง่ายมากๆ ยังไงไม่ขอเล่นสกีเด็ดขาด เดินทางคนเดียวถ้าเล่นท่ายากแล้วม้วนหน้าขาหักไป บวกกับสกิลภาษาญี่ปุ่นที่ต่ำเข้าขั้นติดลบคงไม่ใช่ทางออกที่ดีนักที่ต้องไปนอนเล่นภาษามือกับสภาพผ้าพันแผลรอบตัวบนเตียง มันคือการฆ่าตัวตายชัดๆ งั้นก็อยู่แถวๆซัปโปโรนี่แหละ แล้วซื้อตั๋วเป็นเที่ยวๆเอา ถูกกว่าเยอะ
หลังจากที่ผมวางแผนเที่ยวพร้อมกับกดเครื่องคิดเลขต่างๆนาเพื่อคำนวนณค่าใช้จ่ายไปได้เกือบจะเสร็จแล้วนั้น
.
.
ดันไปเจอรีวิวเมือง Hakodate
.
.
.
ขยำแผนที้งแม่ม!!!!!!!!
ยังไงก็จะไปโว้ยยย ความงามกับความเย้ายวนที่เหมือนจะโดนป้ายยาเข้าที่ขั้วหัวใจ
กำตังค์ในกระเป๋ารอละ เปิดเว็ป HYPERDIA เช็คราคารถไฟดิฟะ
.
.
นั่งรถไฟสามชั่วโมง == ไม่สน ดื้อ! ยังไงก็จะไป ข้อดีของการไปเที่ยวคนเดียวมันเป็นอย่างนี้แหละ เปลี่ยนแผนกลางอากาศก็ไม่มีใครว่าได้ ไหนดูราคาตั๋วดิ๊ Sapporo to Hakodate
.
.
8300 เยน ไปกลับก็ 16000 == แบงค์เยนในมือร่วงลงพื้นแบบภาพสโลวตามอย่างหนังแอคชัน
.
.
หาพาสที่ไปฮาโกดาเตะสิฟะ!
JR TOHOKU-SOUTH HOKKAIDO RAIL PASS
อีกหนึ่ง PASS ที่ตอบโจทย์ได้ดีสำหรับคนที่อยากเที่ยวฮอกไกโดทางใต้กับภูมิภาคโทโฮคุ โดยสนนราคาอยู่ที่ 20000เยนใช้ได้ 5 วันแบบไม่ต่อเนื่องหรือถ้าซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายนอกประเทศจะอยู่ที่ 19000 เยน ครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวหลักๆส่วนใหญ่ของฮอกไกโดไว้บ้าง สามารถแลกตั๋วนี้ได้ตามสถานีรถไฟใหญ่ๆทั่วไปเช่นสนามบิน Sapporo หรือ Otaru
การแต่งตัวไปฮอกไกโดช่วงหน้าหนาว (ต้นกุมภาพันธ์)
ออกตัวนำไปก่อนเลยว่าถ้ามีเหตุการณ์อุกกาบาตถล่มโลกแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างฉับพลันไปเข้ายุคน้ำแข็งอีกครั้ง สิ่งที่จะตายก่อนโดโนเสาร์ก็คือตูนี่แหละ ตอนอยู่ไทยยังต้องห่มผ้านวมนอน นี่ยังห้าวมาท้าทายอากาศติดลบที่นี่ หลังจากปรึกษาเพื่อนๆว่าถ้าตอนอยู่โน่นเดินไปด้วยถือคบเพลิงให้ความอบอุ่นไปด้วยคงจะโดนพี่หนวดญี่ปุ่นรวบเอาแน่ๆก็ต้องกลับมาวางแผนกันใหม่…………….ใช้เงินแก้ปัญหาสิฟะ ซื้อเสื้อมาพันให้เป็นแหนมไปเลยโง้ยยยยย
ท่อนบน
เสื้อ Heatech ของยูนิโคละ รุ่น Extra warm
เสื้อฟรีสของยูนิโคละ
เสื้อฟรีสยูนิโคละอัดเข้าไปอีกชั้น(สำหรับคนขี้ร้อนไม่ต้องก็ได้ครับ)
เสื้อขนเป็ด
ท่อนล่าง
กางเกงใน……….มันต้องใส่อยู่แล้วเป่าวะ!!!
กางเกงลองจอนแบบหนาขนอุย (คนขี้ร้อนไม่ต้องก็ได้)
กางเกงหนาๆ หรือกางเกงยีนส์นี่แหละ!!!!
ถุงมือ อันนี้สำคัญมากกับความหนาวที่ต้องเจอมือเมอแทบแหกเอาให้ได้
ที่ปิดหูหรือหมวกไหมพรม สิ่งที่ทำให้ปวดร้าวจนลงไปดื้นๆกับพื้นน้ำลายฟูมปากเอาได้ง่ายๆเลยก็คือหู จังหวะลมมาแรงๆนี่ปวดเหมือนหูจะขาด อีตาบ้า แทบจะจุดไฟแช็คอังใส่กกหูให้รู้แล้วรู้รอด
รองเท้า ควรเป็นชนิดที่มีดอกลึกและหนาเพื่อการยึดเกาะ ยิ่งน้ำแข็งที่แบบเปียกน้ำนะพ่อเอ๊ย ไสลด์ทีนี่แทบจะไหลด้วยความเร็วแสง และที่สำคัญ ต้องกันน้ำ เพราะถ้าน้ำแข็งซึมเข้าไปปะทะกับความร้อนของฝ่าเท้าเมื่อไหร่ล่ะก็บรรลัยขั้นสุด
SIM internet
ไปญี่ปุ่นก็ซื้อซิมของประเทศญี่ปุ่นดิวะ!!! อย่างน้อยใช้เสร็จจะได้มีของมาเก็บไว้เป็นคอลเล็คชัน ความทรงจำที่วาบหวามในแต่ละครั้งที่ได้เห็นของที่เก็บกลับมาจากที่ต่างๆ อะไรที่หอมหวานกว่านี้หามีไม่ มา เท่าไหร่ขอให้บอก
.
.
เอ๊อะ
.
.
.
ราคานี้ใช้ซิมจากเมืองไทยก็ได้โว้ยยยยย
แต่สำหรับใครที่พลาดเตรียมตัวมาไม่ทันแต่มีความจำเป็นต้องใช้ Internet ที่สนามบินก็มีเครื่องขาย SIM อัตโนมัติอยู่ แต่เตรียมกระดาษทิชชู่ไว้ให้ดีๆ อาจจะมีกระอักเลือดกับราคาเอาได้ง่ายๆ ฉะนั้นส่วนตัวแล้วผมแนะนำให้ซื้อซิมไปจากประเทศไทยเลยครับ ถูกกว่าเยอะมาก
และเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็ดำเนินการฝ่ารถติดจากถนนจรัญไปสู่สนามบินดอนเมืองได้ ลุ๊ยย
DAY 1 : ดอนเมือง=>สนามบินชินชิโตเสะ=>Otaru
แต่ก่อนอื่น ขอแนะนำให้รู้จักกับไอเท็มคู่บุญนัเดินทางสายมั่วตั้ว!!!!
บัตร KITAKA
บัตรน้องกระรอกบินคู่บุญนักเดินทางสายมั่วตั้วที่รั่วยังไงก็ไม่มีเขิน มันคือบัตรเงินสดที่มีคุณอนันต์เป็นล้นพ้นจนต้องชาบูไว้เหนือหัว (บัตรหายไม่ได้ถ่ายรูปไว้ด้วย เค้าเสียจายยยยยย )
ส่วนข้อดีของมันนั้น........
มันมีส่วนลดหรอ………..ก็ไม่
มันเป็นบัตรเหมาๆบุฟเฟต์ค่าเดินทางหรอ…...ก็ไม่
เอาไว้ใช้แบ่งไปนั่งโซนพิเศษรึเปล่า………….ก็ไม่
เอาไว้ใช้โชว์ตำรวจที่จะเข้ามารวบตอนเดินถือคบเพลิงท่ามกลางหิมะรึเปล่า………...ได้ที่ไหนล่ะโว้ยย
ข้อดีของมันคือแค่คุณมีเงินในบัตรคุณก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น บัตรหน้าด้านบัตรหน้ามึนแบบแทบไม่ต้องใช้สมอง เช่น
ในกรณีไม่มี Pass หรือไม่มีบัตร คุณจะต้องไปซื้อตั๋วกระดาษเป็นเที่ยวๆเพื่อเอาไปเสียบประตูกั้นอัตโนมัติก่อนขึ้นรถไฟ ไอ้เรื่องซื้ออะไรไม่เท่าไหร่ แต่การจะเงยไปดูแผนผังรถไฟที่ยากยิ่งกว่าคำถามฟิสิกส์โอลิมปิกว่าเราต้องจ่ายเงินเท่าไหร่นี่มันปวดหัวเหลือคณา แต่กรณีที่คุณมีบัตรนี้ แค่เอาบัตรไปแตะตรงทางเข้า และเอาบัตรแตะตรงทางออกที่สถานีปลายทางระบบก็จะดัดเงินที่อยู่ในบัตรให้ก็สะดวกโยธินแอ่นเอวร่อนผ่านไม้กั้นไปอย่างสวยงามโดยที่ไม่ต้องรู้ด้วยซ้ำว่าใช้เงินเท่าไหร่ สติไม่มีก็ใช้เงินแก้ปัญหาไปพ่อหนุ่ม ส่วนในกรณีที่เงินในบัตรไม่พอก็แค่เดินถอยหลังกลับมาเดิมเงินที่ตู้อัตโนมัติเท่านั้น
ล็อกเกอร์เก็บของก้สามารถใช้บัตรนี้จ่ายเงินได้ โดยใช้แทนกุญแจเปิดปิดตู้นี่แหละ ไม่ต้องพกกุญแจให้มีความเสี่ยงเพิ่ม
ใช้จ่ายเงินซื้อของพวกร้านราเมงหน้าสถานีรถไฟหรือตู้ขายน้ำอัตโนมัติได้ด้วย ฮูเล่
โดยบัตรจะเก็บเงินมัดจำค่าบัตรมูลค่า 500 เยน ไว้ซึ่งจะได้คืนเมื่อนำบัตรไปแลกคืนได้ภายหลังครับ สามารถซื้อบัตรนี้ได้ที่ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติตามสถานีใหญ่ได้เลย
โดยการเดินทางจากสนามบินไป Otaru ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ด้วยค่าโดยสานเที่ยวเดียวอยู่ที่ประมาณ 1800 เยน แต่สำหรับคนที่มี pass ก็สามารถใช้ได้เพราะครอบคลุมในพื้นที่ส่วนนี้ ฮูเล่
ภาพตัดกลับมาที่ไอ้หนวดร่างหมีที่ยืนกลืนน้ำลายรอบที่ยี่สิบสี่หน้าประตูเลื่อนที่เปิดๆปิดเหมือนจะเย้ยหยันว่าเอ็งไม่กล้าก้าวขาออกมาจากอ้อมกอดของฮีตเตอร์ได้หรอกไอ้หนุ่ม
อย่าดูถูกตรู๊ววววววววววววววววววว กัดฟันแล้ววิ่งฝ่าลมหนาวออกไปเลยโว้ยยยย ว๊ากกกกกกกกกก
Otaru
คุณสามารถเข้าห้องน้ำที่มินิมาร์ทได้เกือบทุกที่ในเมือง!!! แล้วคือแบบไม่ต้องไปคุกเข่าเพื่อขอเข้าห้องน้ำจากพนักงานด้วยนะ เพราะเมื่อคุณเดินเข้าไปในมินิมาร์ทตรงหน้าห้องน้ำจะมีป้ายที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษแปะอยู่วว่า “อย่าเกรงใจที่จะใช้ห้องน้ำของมินิมาร์ทแห่งนี้”
.
.
ด๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย วิ่งลงไปกราบที่หน้าตักพนักงานมินิมาร์ทพร้อมวิ่งเข้าห้องน้ำไปด้วยความเร็วแสง!!!!
Miyakodori Shopping Street
ไม่รู้สิ ผมว่าถนนสายนี้มันจืดๆยังไงไม่รู้ ไม่มีความน่าเดินเลยซักนิด หรือบางทีมันอาจจะกลับมาคึกคักตอนกลางคืนก็ได้นะ แต่สภาพที่เหมือนป่าช้าอย่างนี้นี่ให้ความรู้สึกอยากซื้อสร้อยพระมาแขวนคอซะมากกว่า ร้างมากไปแล้วโว้ย
คลองโอตารุ
พิพิธพัณฑ์กล่องดนตรี
เลี้ยวขวาเลียบคลองโอตารุมาไม่ไกลมากนัก ก็จะมาเจออีกหนึ่งสถานที่สุดยอดนิยมอีกที่หนึ่ง โครงสร้างอาคารที่สไตล์เป็นเอกลักษณ์และนาฬิกาไอน้ำตั้งอยู่ตรงกลางสามแยกตั้งเด่นเป็นสง่าแบบว่ายังไงก็ไม่หลงแน่นอน แต่สิ่งที่น่าหลงไหลของมันจริงๆแล้วอยู่ภายในตะหาก
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น