เอาเเบบ ปรมัตถธรรม โดยละกิเลสเเละดับทุกในญานขั้นต่างๆเเละใช้ปัญญา สัมมาทิฏฐิ เข้าโดยตรงนะครับ ระหว่างทางท่านต้องฝึกเอาเองนะครับ เริมด้วยการเพ่งจิตไปยังรูปเรียกว่า “รูปฌาน” มี ๔ ขั้น และเพ่งจิตไปยังสิ่งที่ไม่มีรูปเรียกว่า “อรูปฌาน” อีก ๔ ขั้น รวมกันเป็น ฌาน ๘ ถ้าเข้าถึงตรงนี้ได้เเล้ว "เเล้วพิจรณาตรงนี้ " ทังภพทั้งอุปทานเกิดจากการไม่รู้ทำให้ไม่เห็นความจริง มามอง จิตเกิตคือธาตุรู้ มีธาตุรู้เดียว
วิญญาณคือตัวรู้ มี121วิญญาณ
คือปรุงแต่งไป121อย่าง
รู้ไป121อย่าง
จิตใช้วิญญาณไปรู้เจตสิค
จิตใช้วิญญาณไปรู้อารมณ์
จิตใช้วิญญาณไปรู้กิเลส
จิต มีวิญญาณไปรู้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
จิต ไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณ
ทำให้จิตว่างเปล่า
จิตจะไม่มีกิเลส "พิจารณาตรงนี้ครับ "มองเห็นตามจริงเเล้ว อวิชชาคือความไม่รู้ ทำลายตรงนี้ครับตามธรรมขาติความเป็นจริงเเล้ว จิตวิญญานไม่มีจริงไม่ใช่ของจริงตามธรรมชาติ เป็นความคิดที่เรืยกว่าจิตใต้สำนึกมีการอธิบายขยายความสภาวะที่เกิด เรืยกว่า (อภิธรรม ว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วน ๆ ) สร้างสมมุตขึ้นมาที่เรายึดติดให้มันมาควบคุมอารมเเละความคิดความรู้สึกผิดถูกปรุงเเต่งมันขึนมา ถ้ารู้ความจริงตรงนี้เเล้วทิ้งสมมุตตรงนี้ได้ทุกอย่างก็เจอความจริงที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ตามความเป็นจริงของมัน เมื่อรู้ความจริงเเละรับความเป็นจริงได้เมือนั้นก็ถึงเหตุเเห่งการดับทุกทั้งปวง เกิดเป็นสุข ไม่มีทุก บรมสุข สว่างใส ไม่มีรูป ไม่มีร่าง ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มีตัวไม่มีตน เป็นอนัตตา เกิดขึ้นที่ใจเป็นความรู้สึก เป็นนามธรรม เป็นสัจจธรรม ส่วนสังขาล ที่เป็นรูปธรรม เป็นสิ่งสมมุต เมื่อเห็นสัจจธรรมความจริง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมดา ธรรมมะก็มีเเค่นี้มีเท่าที่เห็น เห็นตามจริง เเต่ที่ปฎิบัตกันอยู่ตอนนี้กำลังหาสิ่งที่ไม่มีจริงทั้งที่ความจริงอยู่ตรงหน้าหาไม่เจอ ทั้งหมดนี้ เป็น ธรรม เป็นสัจจธรรม เป็นจริง เป็น ปัจจัตตัง เอวัง@
* จำเป็นต้องตอบ
คุณลืมตอบคำถามที่ * จำเป็นต้องตอบ
เเค่ทาง
วิญญาณคือตัวรู้ มี121วิญญาณ
คือปรุงแต่งไป121อย่าง
รู้ไป121อย่าง
จิตใช้วิญญาณไปรู้เจตสิค
จิตใช้วิญญาณไปรู้อารมณ์
จิตใช้วิญญาณไปรู้กิเลส
จิต มีวิญญาณไปรู้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
จิต ไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณ
ทำให้จิตว่างเปล่า
จิตจะไม่มีกิเลส "พิจารณาตรงนี้ครับ "มองเห็นตามจริงเเล้ว อวิชชาคือความไม่รู้ ทำลายตรงนี้ครับตามธรรมขาติความเป็นจริงเเล้ว จิตวิญญานไม่มีจริงไม่ใช่ของจริงตามธรรมชาติ เป็นความคิดที่เรืยกว่าจิตใต้สำนึกมีการอธิบายขยายความสภาวะที่เกิด เรืยกว่า (อภิธรรม ว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วน ๆ ) สร้างสมมุตขึ้นมาที่เรายึดติดให้มันมาควบคุมอารมเเละความคิดความรู้สึกผิดถูกปรุงเเต่งมันขึนมา ถ้ารู้ความจริงตรงนี้เเล้วทิ้งสมมุตตรงนี้ได้ทุกอย่างก็เจอความจริงที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ตามความเป็นจริงของมัน เมื่อรู้ความจริงเเละรับความเป็นจริงได้เมือนั้นก็ถึงเหตุเเห่งการดับทุกทั้งปวง เกิดเป็นสุข ไม่มีทุก บรมสุข สว่างใส ไม่มีรูป ไม่มีร่าง ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มีตัวไม่มีตน เป็นอนัตตา เกิดขึ้นที่ใจเป็นความรู้สึก เป็นนามธรรม เป็นสัจจธรรม ส่วนสังขาล ที่เป็นรูปธรรม เป็นสิ่งสมมุต เมื่อเห็นสัจจธรรมความจริง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมดา ธรรมมะก็มีเเค่นี้มีเท่าที่เห็น เห็นตามจริง เเต่ที่ปฎิบัตกันอยู่ตอนนี้กำลังหาสิ่งที่ไม่มีจริงทั้งที่ความจริงอยู่ตรงหน้าหาไม่เจอ ทั้งหมดนี้ เป็น ธรรม เป็นสัจจธรรม เป็นจริง เป็น ปัจจัตตัง เอวัง@