เรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นคติธรรมทางพุทธศาสนาครับ เป็นเรื่องที่ยาวที่สุดสำหรับวีคนี้
เด็กหนุ่มผู้เป็นทรชนคนหนึ่ง คบคิดกับเพื่อนชั่วจะปล้นร้านทอง และยายของเขาแอบได้ยินพวกเขาคุยกัน ยายต้องการห้ามเขาแต่ไม่อาจห้ามได้ และก็ไม่อาจสั่งสอนหลานคนนี้ให้เป็นคนดีได้เลย ยายเสียใจ ทุกข์ใจ จึงไปไหว้พระที่วัดร้างแห่งหนึ่งซึ่งเดินไปพบเข้า แล้วก็มีบุคคลลึกลับอาสา บอกกับยายว่าจะสั่งสอนหลานของยายเอง เผื่อบางทีอาจจะได้ผล แล้วบุคคลลึกลับนั้นก็หายไป...
บุคคลลึกลับนั้นคือใคร จะช่วยสั่งสอนหลานของยายให้กลับตัวกลับใจเป็นคนดีได้หรือไม่ สุดท้ายจะลงเอยอย่างไร ???
เชิญติดตามอ่านเรื่องราวซึ่งประกอบด้วยคติธรรมนี้ได้ ณ บัดนี้ครับ...
นรกภูมิ
รถจักรยานยนต์ 2-3 คันแล่นมาจอดที่หน้าบ้านของเด็กหนุ่มนาม ‘เด่นวิทย์’ ผู้ซึ่งไม่เคยมีใครเรียกชื่อจริง หากแต่คนในหมู่บ้านมักจะเรียกกันว่า ‘ไอ้เด่น’ เด่นวิทย์หรือไอ้เด่นเป็นวัยรุ่นที่มีพฤติกรรมเป็นนักเลงหัวไม้ มันทำทุกอย่างที่ผิดกฎหมาย ทั้งทะเลาะวิวาท ตีรันฟันแทง ลักเล็กขโมยน้อย กระทั่งปล้นจี้ ไอ้เด่นทำมาหมด ถ้าจะเรียกว่ามีดีอยู่บ้าง ก็ตรงที่มันไม่เคยสังหารหรือทำร้ายเหยื่อ และแม้ญาติที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในโลกนั่นคือ
‘ยายพุฒ’ จะพยายามตักเตือนให้กลับตัวกลับใจ หากแต่ไอ้เด่นกลับไม่ยี่หระ อาจเป็นเพราะมันรู้ดีว่าถึงแม้จะกระทำผิด แต่เพราะอายุที่กฎหมายให้การรับรองว่ามันยังเป็นเพียงแค่ ‘เยาวชน’ เกราะป้องกันนี้จะทำให้มันได้รับโทษเพียงเข้าสถานพินิจฯ เท่านั้น
ด้วยเหตุดังกล่าว สถานพินิจฯ จึงเปรียบได้กับบ้านหลังที่สองของมัน...เป็นแหล่งพบปะทำความรู้จัก แลกเปลี่ยนความรู้กับเหล่าเพื่อนฝูงในวงการเดียวกัน!
…และในวันนี้ ที่บ้านของไอ้เด่น เป็นการนัดแนะรวมตัวระหว่างกลุ่มเพื่อนที่รู้จักจากสถานพินิจฯ
“ยาย เด่นจะคุยกับเพื่อนในห้อง ยายไม่ต้องเข้ามายุ่งนะ” ไอ้เด่นบอกกับยายพุฒ ก่อนจะพาเพื่อนหน้าตานักเลง 3- 4 คนเข้ามาในบ้าน ยายพุฒที่ทั้งเป็นห่วงทั้งหวาดกลัวแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้แต่พยักหน้ายินยอมด้วยความจำนน
กระนั้นยายพุฒก็ยังนึกสงสัย ด้วยเพราะปกติแล้ว ไอ้เด่นกับเพื่อนมักออกไปสุมหัวกันนอกบ้านเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยแต่ละวันกว่าจะกลับบ้านก็เกือบเที่ยงคืน แล้วเหตุไฉนวันนี้มันจึงพาเพื่อนมาที่บ้าน และด้วยความอยากรู้อยากเห็น ยายพุฒจึงแอบเข้าไปในห้องที่อยู่ข้าง ๆ ห้องไอ้เด่น และด้วยฝากั้นอันทำจากไม้อัดที่บอบบาง เพียงแค่เอาหูแนบก็จะสามารถได้ยินการสนทนาของบุคคลที่อยู่ด้านใน
หญิงชราถึงกับต้องกลั้นเสียงร้องอุทาน เมื่อได้ยินสิ่งที่ไอ้เด่นคุยกับพวก...
มันคือแผนปล้นร้านทอง!?
ยายพุฒจับใจความได้ว่าปฏิบัติการชั่วของพวกมันจะเริ่มพรุ่งนี้ โดยเหล่าเพื่อนหน้าโหดจะจัดเตรียมปืนเพื่อนำมาใช้ข่มขู่ และหากการปล้นเป็นไปได้ด้วยดี พวกมันวางแผนที่จะปล้นร้านทองอื่น ๆ ในละแวกนี้ด้วย
หญิงชรารีบออกจากห้อง ด้วยเพราะกำลังจะร้องไห้ออกมา ยายพุฒนึกเสียใจที่ตนเองไม่อาจอบรมสั่งสอนให้หลานชายเป็นคนดีได้ อีกทั้งยังมองไม่เห็นหนทางไหนที่จะเปลี่ยนความคิดของไอ้เด่น
เพราะแม้ไอ้เด่นจะชั่วร้ายเพียงไหน...แต่มันก็เป็นหลานชาย
เย็นวันนั้น ยายพุฒเดินตามทางในหมู่บ้านอย่างไร้จุดหมาย แม้คนที่รู้จักจะทักทาย ทว่าหญิงชราก็หาได้ตอบหรือสนใจไม่ ยายพุฒเดินเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งไปถึงวัดร้างแห่งหนึ่ง หญิงชรานึกแปลกใจอยู่ครามครัน ด้วยเพราะนึกไม่ออกว่าในเขตหมู่บ้านของตนมีวัดร้างอยู่ด้วย และด้วยความสงสัย ยายพุฒจึงเดินเข้าไปด้านใน
มันเป็นวัดร้างที่แปลกประหลาด ภายในขอบเขตรั้วเก่าคร่ำคร่านั้น มีอาคารปรากฏอยู่เพียงหลังเดียวนั่นคือโบสถ์เก่า ๆ ที่ตั้งอยู่ตรงกลาง ส่วนอาณาบริเวณโดยรอบที่เป็นลานกว้างนั้นหาได้มีสิ่งมีชีวิตไม่ ไม่มีสุนัข ไม่มีแมวจรจัด แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าล้วนแล้วแต่แห้งตายหมดทั้งสิ้น! ราวกับเป็นวัดร้างแห่งความตาย!?
หญิงชราไม่เข้าใจตนเองว่าเหตุใดตนเองจึงเดินเข้าไปในวัดร้างนั้น
ยายพุฒเดินเข้าไปที่โบสถ์ซึ่งอยู่ตรงกลาง ผลักบานประตูไม้เข้าไป จึงพบว่าด้านในมีพระประธานขนาดใหญ่สีเหลืองทองอร่าม แตกต่างจากอาคารที่เก่าคร่ำคร่า ด้านในของโบสถ์มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังกราบพระอยู่ ชายคนนั้นอยู่ในชุดสูทสากลสีดำ จุดเด่นของชายผู้นั้น นั่นคือใบหน้าสีแดงเข้มราวกับตากแดดหรือโดนความร้อนอยู่ตลอด...ยายพุฒคิดว่าชายผู้นั้นน่าจะทำงานที่เกี่ยวข้องหรือสัมผัสกับความร้อน ยายพุฒมองเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะนั่งพับเพียบและก้มลงกราบพระประธาน
“พระคุณเจ้า หากกรรมดีของดิฉันมีจริง ดิฉันขออธิษฐานให้กุศลกรรมของดิฉัน จงดลบันดาลให้หลานชาย...ที่ชื่อเด่นวิทย์ ขอให้มันได้กลับตัวกลับใจ เป็นผู้เป็นคนกับเขาเสียที” ยายพุฒพนมมืออธิษฐานด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
หญิงชราก้มลงกราบสามครั้งก่อนที่เตรียมจะลุกขึ้นเพื่อออกจากโบสถ์
“หลานคุณยาย เป็นคนไม่ดีอย่างนั้นหรือครับ” ชายชุดดำที่นั่งข้าง ๆ เอ่ยขึ้น ยายพุฒพยักหน้าพร้อมกับยิ้มเศร้า ๆ
“ใช่จ้ะ...ยายเองก็พยายามสั่งสอนตักเตือนแล้ว แต่พยายามเท่าไร ก็ไม่ได้ผล นี่ยายกลัวเหลือเกินว่า ถ้ามันตายไปแล้ว มันคงต้องตกนรกหมกไหม้ชั่วกัปชั่วกัลป์” เป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
“ถ้าลองพยายามเตือนอีกสักครั้ง บางทีอาจจะได้ผล” ชายในชุดดำเอ่ย
หญิงชราถอนหายใจด้วยความทุกข์ สายตาหันไปมองพระประธานด้วยไม่มีที่พึ่ง
“ว่าแต่คุณคือ...” ยายพุฒถามพร้อมหันกลับไปมองชายแปลกหน้า ทว่าที่ตรงนั้นไม่มีใครอยู่อีกแล้ว และที่น่าแปลกยิ่งกว่า นั่นคือยายพุฒเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองกำลังนั่งพับเพียบอยู่ในพงหญ้าท้ายหมู่บ้าน ที่รกร้างบริเวณนี้ไม่เคยมีวัด ไม่เคยมีโบสถ์หรืออาคารใด ๆ มาก่อน
หญิงชรารู้สึกหวาดกลัว จึงรีบลุกขึ้นและเดินกลับบ้านในทันที
------------------------------------------------------------------------------
แสงสว่างที่ลอดเปลือกตาปลุกเด่นวิทย์ให้ตื่นจากที่นอนด้วยมันคิดว่าเป็นเวลาอรุณรุ่ง ไอ้เด่นบิดขี้เกียจเพื่อไล่ความง่วงเหงาที่ยังรุมเร้า วันนี้เป็นวันสำคัญที่พวกมันจะต้องดำเนินการตามแผนชั่ว...แผนปล้นร้านทอง!
...ลุกจากที่นอน ?
วินาทีแรกที่สายตาที่มองเห็น วินาทีแรกที่ฝ่าเท้าสัมผัสพื้น ไอ้เด่นรู้ได้ทันทีว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่ห้องนอนของตน จริง ๆ แล้วไม่ใช่ในบ้านเสียด้วยซ้ำ นั่นเพราะมันกำลังยืนอยู่บนพื้นดินที่แห้งแล้ง แข็งกระด้างและแตกระแหง ส่วนบรรยากาศรอบกายที่ปรากฏต่อจักษุโสต ไอ้เด่นถึงกับขมวดคิ้ว เพราะมันคือทุ่งกว้างอันเวิ้งว้าง พื้นผิวดินปริแตกราวกับไม่เคยสัมผัสหยาดพิรุณมานับร้อยปี ส่วนท้องฟ้าเป็นสีแดงแกมส้ม ไม่มีนก ไม่มีหมู่แมลง เช่นเดียวกับบนพื้นดินที่ไม่มีคนหรือสัตว์แม้สักชนิด จะว่าไปแม้แต่วัชพืชไอ้เด่นก็ยังหาไม่เจอแม้สักต้น สิ่งเดียวที่น่าจะ ‘เคย’ มีชีวิตในที่นี้...ก็เห็นจะมีเพียงแค่ต้นไม้ตายซากห้าหกต้นที่สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล นอกเหนือจากนั้นไม่ปรากฏสิ่งมีชีวิตแม้สักอย่างเดียว และที่พรั่นพรึง นั่นก็คือความรู้สึกสัมผัสที่ผ่านทางฝ่าเท้า...มันอุ่นและคุกรุ่นราวกับมีเชื้อไฟร้อนระอุอยู่ข้างใต้
มันคือทุ่งร้างมรณะ...ทุ่งแห่งความตาย
“มีใครอยู่บ้าง ?” เด่นวิทย์ลองป้องปากตะโกน
“เฮ้! ช่วยด้วย! แถวนี้มีใครบ้าง ?” ลองอีกครั้ง ทว่าคำตอบที่ได้คือความเงียบ
ไอ้เด่นใช้มือปาดเหงื่อที่ไหลท่วมใบหน้า มันรู้สึกหงุดหงิดและร้อนรนจากการต้องมาอยู่ในที่ไม่รู้จัก และที่น่าแปลก…เมื่อเงยหน้าดูท้องฟ้า ไอ้เด่นพบว่าแม้ท้องฟ้าเบื้องบนจะเป็นสีแดงแกมส้ม แต่กลับมองไม่เห็นดวงอาทิตย์!?
เด็กหนุ่มสับสน เขาจะทำเช่นไร ? จะออกเดินก็ไม่รู้ทิศ ครั้นจะรออยู่กับที่ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้น ?
“จงมาทางนี้” น้ำเสียงทุ้มต่ำจากทางด้านหลัง ไอ้เด่นสะดุ้งเฮือกด้วยเมื่อครู่มันแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ด้านหลัง และเมื่อหันไปตามเสียงเรียก มันจึงได้เห็นใครคนหนึ่ง...ผู้ชายที่อยู่ในชุดสูทสากลสีดำ!?
“คุณคือใคร ? ที่นี่ที่ไหน ?” ไอ้เด่นถามเป็นชุด มันสังเกตว่าใบหน้าของชายผู้มาใหม่มีสีแดงเข้มราวกับทำงานตากแดดมานาน
ชายชุดดำนิ่งไปเพียงชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะตอบคำถามด้วยประโยคที่ไอ้เด่นคาดไม่ถึง
“ที่นี่คือโลกหลังความตาย ส่วนตัวเจ้าเป็นร่างวิญญาณ”
ไอ้เด่นชะงักเพียงชั่วไม่เกินสองวินาที หลังจากนั้นมันจึงหัวเราะลั่น
“ฮ่า ๆๆๆ ลุงบ้าหรือเปล่า ถ้าผมตายแล้ว ทำไมถึงยังยืนอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ”
แม้จะโดนหัวเราะใส่ ทว่าชายผู้สวมชุดสากลหาได้มีท่าทางโกรธเคืองไม่ เขาส่ายศีรษะช้า ๆ ก่อนที่จะชี้มือไปยังทิศทางหนึ่งของทุ่งร้าง
“จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม จากนี้จงตามข้ามา”
สิ้นประโยค ชายชุดดำจึงเริ่มออกเดิน และแม้ไอ้เด่นจะไม่อยากเดินตาม ทว่าขาทั้งสองของมันกลับไม่ยอมรับฟังคำสั่ง เด็กหนุ่มออกเดินตามชายในชุดดำไปติด ๆ
“จะพากูไปไหน กูไม่ไป! พากูกลับบ้าน!” ไอ้เด่นร้องโวยวาย ทว่าคราวนี้หาได้มีคำตอบจากชายชุดดำ เขาเดินนำไอ้เด่นอย่างไม่รีบร้อน
ด้วยระยะเดินทางค่อนข้างไกล เด่นวิทย์ที่ตอนแรกแหกปากโวยวายมาตลอดทาง บัดนี้เด็กหนุ่มรู้สึกอ่อนเพลียเกินกว่าที่จะโวยวาย มันปล่อยให้ขาของตนเดินตามชายชุดดำโดยไม่อาจฝืน และแม้ไอ้เด่นจะพยายามสอบถามข้อมูลกับชายชุดดำ แต่ก็มีเพียงความเงียบที่เป็นคำตอบ
หลายชั่วโมงในทุ่งร้างที่ไร้แววแห่งชีวิต จากท้องฟ้าสีส้มแดง บัดนี้เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความมืดครึ้ม และเมื่อเดินทางไกลออกไปอีกหน่อย ไอ้เด่นจึงพบว่าบรรยากาศบนท้องฟ้าถูกทาบทับด้วยเมฆหมอกหนาสีดำ ถึงตอนนี้ไอ้เด่นสามารถรับรู้โดยอัตโนมัติว่าการเดินทางของมันมาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว นั่นเพราะเบื้องหน้าปรากฏกำแพงสูงใหญ่ตั้งตระหง่านเสียดท้องฟ้า กำแพงสีดำสูงทะลุเลยเมฆหมอกขึ้นไปจนมองไม่เห็นขอบด้านบน ส่วนสองข้าง...ด้านซ้ายและขวา ปรากฏว่ากำแพงนั้นได้ทอดยาวไกลจนสุดสายตา ด้วยเหตุนี้เด็กหนุ่มจึงไม่อาจมองเห็นขอบเขตของกำแพงยักษ์ตรงหน้า
“กำแพง ? ที่นี่คือที่ไหน ?” ไอ้เด่นถาม
“เข้าไปตรงนั้น” เป็นคำสั่งแทนที่จะเป็นคำตอบ ชายชุดดำชี้มือบอกสถานที่ที่ต้องไปต่อ และเมื่อมองตามปลายนิ้ว ไอ้เด่นก็พบประตูสีแดงสดตรงกำแพง ด้านข้างประตูมีชายชุดดำอีกสองคนยืนเฝ้าประหนึ่งยามระวังภัย สายตาของพวกเขาแข็งกร้าวน่ากลัวมากยิ่งกว่าชายผู้นำทาง
เมื่อไม่มีทางเลือก เด็กหนุ่มจึงจำใจเปิดประตูสีแดงอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ และเมื่อเข้าไปข้างใน ไอ้เด่นจึงพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ มันเป็นห้องกว้างอันว่างเปล่า ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใด ๆ แม้สักชิ้น ส่วนริมอีกด้านหนึ่งของห้อง ไอ้เด่นมองเห็นประตูสีแดงอีกบานหนึ่ง
“เข้าไปในนั้น” คำสั่งอีกครั้งจากชายชุดดำ
(มีต่อครับ)
[/left
🔥👁🔥 THE SUMMER GLOVES 2019 <ถุงมือเรื่องสั้น> #13 "นรกภูมิ" โดย ถุงมือ "มรณปัญชิกะ" 🔥👁🔥
เด็กหนุ่มผู้เป็นทรชนคนหนึ่ง คบคิดกับเพื่อนชั่วจะปล้นร้านทอง และยายของเขาแอบได้ยินพวกเขาคุยกัน ยายต้องการห้ามเขาแต่ไม่อาจห้ามได้ และก็ไม่อาจสั่งสอนหลานคนนี้ให้เป็นคนดีได้เลย ยายเสียใจ ทุกข์ใจ จึงไปไหว้พระที่วัดร้างแห่งหนึ่งซึ่งเดินไปพบเข้า แล้วก็มีบุคคลลึกลับอาสา บอกกับยายว่าจะสั่งสอนหลานของยายเอง เผื่อบางทีอาจจะได้ผล แล้วบุคคลลึกลับนั้นก็หายไป...
บุคคลลึกลับนั้นคือใคร จะช่วยสั่งสอนหลานของยายให้กลับตัวกลับใจเป็นคนดีได้หรือไม่ สุดท้ายจะลงเอยอย่างไร ???
เชิญติดตามอ่านเรื่องราวซึ่งประกอบด้วยคติธรรมนี้ได้ ณ บัดนี้ครับ...
ด้วยเหตุดังกล่าว สถานพินิจฯ จึงเปรียบได้กับบ้านหลังที่สองของมัน...เป็นแหล่งพบปะทำความรู้จัก แลกเปลี่ยนความรู้กับเหล่าเพื่อนฝูงในวงการเดียวกัน!
…และในวันนี้ ที่บ้านของไอ้เด่น เป็นการนัดแนะรวมตัวระหว่างกลุ่มเพื่อนที่รู้จักจากสถานพินิจฯ
“ยาย เด่นจะคุยกับเพื่อนในห้อง ยายไม่ต้องเข้ามายุ่งนะ” ไอ้เด่นบอกกับยายพุฒ ก่อนจะพาเพื่อนหน้าตานักเลง 3- 4 คนเข้ามาในบ้าน ยายพุฒที่ทั้งเป็นห่วงทั้งหวาดกลัวแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้แต่พยักหน้ายินยอมด้วยความจำนน
กระนั้นยายพุฒก็ยังนึกสงสัย ด้วยเพราะปกติแล้ว ไอ้เด่นกับเพื่อนมักออกไปสุมหัวกันนอกบ้านเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยแต่ละวันกว่าจะกลับบ้านก็เกือบเที่ยงคืน แล้วเหตุไฉนวันนี้มันจึงพาเพื่อนมาที่บ้าน และด้วยความอยากรู้อยากเห็น ยายพุฒจึงแอบเข้าไปในห้องที่อยู่ข้าง ๆ ห้องไอ้เด่น และด้วยฝากั้นอันทำจากไม้อัดที่บอบบาง เพียงแค่เอาหูแนบก็จะสามารถได้ยินการสนทนาของบุคคลที่อยู่ด้านใน
หญิงชราถึงกับต้องกลั้นเสียงร้องอุทาน เมื่อได้ยินสิ่งที่ไอ้เด่นคุยกับพวก...มันคือแผนปล้นร้านทอง!?
ยายพุฒจับใจความได้ว่าปฏิบัติการชั่วของพวกมันจะเริ่มพรุ่งนี้ โดยเหล่าเพื่อนหน้าโหดจะจัดเตรียมปืนเพื่อนำมาใช้ข่มขู่ และหากการปล้นเป็นไปได้ด้วยดี พวกมันวางแผนที่จะปล้นร้านทองอื่น ๆ ในละแวกนี้ด้วย
หญิงชรารีบออกจากห้อง ด้วยเพราะกำลังจะร้องไห้ออกมา ยายพุฒนึกเสียใจที่ตนเองไม่อาจอบรมสั่งสอนให้หลานชายเป็นคนดีได้ อีกทั้งยังมองไม่เห็นหนทางไหนที่จะเปลี่ยนความคิดของไอ้เด่น
เพราะแม้ไอ้เด่นจะชั่วร้ายเพียงไหน...แต่มันก็เป็นหลานชาย
เย็นวันนั้น ยายพุฒเดินตามทางในหมู่บ้านอย่างไร้จุดหมาย แม้คนที่รู้จักจะทักทาย ทว่าหญิงชราก็หาได้ตอบหรือสนใจไม่ ยายพุฒเดินเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งไปถึงวัดร้างแห่งหนึ่ง หญิงชรานึกแปลกใจอยู่ครามครัน ด้วยเพราะนึกไม่ออกว่าในเขตหมู่บ้านของตนมีวัดร้างอยู่ด้วย และด้วยความสงสัย ยายพุฒจึงเดินเข้าไปด้านใน
มันเป็นวัดร้างที่แปลกประหลาด ภายในขอบเขตรั้วเก่าคร่ำคร่านั้น มีอาคารปรากฏอยู่เพียงหลังเดียวนั่นคือโบสถ์เก่า ๆ ที่ตั้งอยู่ตรงกลาง ส่วนอาณาบริเวณโดยรอบที่เป็นลานกว้างนั้นหาได้มีสิ่งมีชีวิตไม่ ไม่มีสุนัข ไม่มีแมวจรจัด แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าล้วนแล้วแต่แห้งตายหมดทั้งสิ้น! ราวกับเป็นวัดร้างแห่งความตาย!?
หญิงชราไม่เข้าใจตนเองว่าเหตุใดตนเองจึงเดินเข้าไปในวัดร้างนั้น
ยายพุฒเดินเข้าไปที่โบสถ์ซึ่งอยู่ตรงกลาง ผลักบานประตูไม้เข้าไป จึงพบว่าด้านในมีพระประธานขนาดใหญ่สีเหลืองทองอร่าม แตกต่างจากอาคารที่เก่าคร่ำคร่า ด้านในของโบสถ์มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังกราบพระอยู่ ชายคนนั้นอยู่ในชุดสูทสากลสีดำ จุดเด่นของชายผู้นั้น นั่นคือใบหน้าสีแดงเข้มราวกับตากแดดหรือโดนความร้อนอยู่ตลอด...ยายพุฒคิดว่าชายผู้นั้นน่าจะทำงานที่เกี่ยวข้องหรือสัมผัสกับความร้อน ยายพุฒมองเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะนั่งพับเพียบและก้มลงกราบพระประธาน
“พระคุณเจ้า หากกรรมดีของดิฉันมีจริง ดิฉันขออธิษฐานให้กุศลกรรมของดิฉัน จงดลบันดาลให้หลานชาย...ที่ชื่อเด่นวิทย์ ขอให้มันได้กลับตัวกลับใจ เป็นผู้เป็นคนกับเขาเสียที” ยายพุฒพนมมืออธิษฐานด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
หญิงชราก้มลงกราบสามครั้งก่อนที่เตรียมจะลุกขึ้นเพื่อออกจากโบสถ์
“หลานคุณยาย เป็นคนไม่ดีอย่างนั้นหรือครับ” ชายชุดดำที่นั่งข้าง ๆ เอ่ยขึ้น ยายพุฒพยักหน้าพร้อมกับยิ้มเศร้า ๆ
“ใช่จ้ะ...ยายเองก็พยายามสั่งสอนตักเตือนแล้ว แต่พยายามเท่าไร ก็ไม่ได้ผล นี่ยายกลัวเหลือเกินว่า ถ้ามันตายไปแล้ว มันคงต้องตกนรกหมกไหม้ชั่วกัปชั่วกัลป์” เป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
“ถ้าลองพยายามเตือนอีกสักครั้ง บางทีอาจจะได้ผล” ชายในชุดดำเอ่ย
หญิงชราถอนหายใจด้วยความทุกข์ สายตาหันไปมองพระประธานด้วยไม่มีที่พึ่ง
“ว่าแต่คุณคือ...” ยายพุฒถามพร้อมหันกลับไปมองชายแปลกหน้า ทว่าที่ตรงนั้นไม่มีใครอยู่อีกแล้ว และที่น่าแปลกยิ่งกว่า นั่นคือยายพุฒเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองกำลังนั่งพับเพียบอยู่ในพงหญ้าท้ายหมู่บ้าน ที่รกร้างบริเวณนี้ไม่เคยมีวัด ไม่เคยมีโบสถ์หรืออาคารใด ๆ มาก่อน
หญิงชรารู้สึกหวาดกลัว จึงรีบลุกขึ้นและเดินกลับบ้านในทันที
[/left