ตามธรรม จริงๆ แล้ว
การ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนเป็นทุกข์
แต่สำหรับผู้ที่เฉียดตาย มาแล้ว มากกว่า 1 ครั้ง ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ความตายจึงเป็นเรื่องไม่สำคัญมาก แต่อย่างไรๆ ก็ตามความทุกข์ในชีวิตก็ยังเป็นเรื่องสำคัญ จึงยังต้องดำรงณ์ชีวิตที่ให้มีทุกข์น้อยที่สุดอยู่เป็นธรรมดา.
แม้แม่ผมอายุ 95 ปีแล้ว ติดแตียงแม่ก็ เบื่อ เหนื่อย เพลีย ก็พูดว่าตายไปก็ดี แต่ดำรงณ์อยู่ได้ด้ายการดูแล แต่ท่านจะทำให้ตัวเองตายท่านก็ไม่ทำ นี้เป็นเรื่องธรรดาอย่างหนึ่ง และถ้าเกิดให้ท่านไปอยู่ที่การดูแลด้อยกว่านี้ แม่ก็กลัวความทุกข์ ที่อาจจะเพิ่มจากเดิม ซึ่งก็คือกลัวความทุกข์มากกว่านั้นเอง.
ดังนั้นการฆ่าตัวเองตาย จึงเป็นเรื่องน่ากลัวอยู่ เพราะอาจจะทุกข์ยิ่งกว่าเดิมได้ นั้นเอง
สำหรับผมเฉียดตายมา 2 ครั้งแล้ว และอายุก็ 60 ปีแล้ว ความตายจึงไม่เป็นเรื่องสำคัญเท่าไหรแล้ว เพราะปฏิบัตธรรมจนตายไปจริงๆ เมื่อเกิดวิกฤตยิ่งในชีวิตมา 2 รอบแล้ว
เฉียดตายมาแล้ว 2 ครั้ง
--- ครั้งแรกเมื่ออายุ 6 ปี ที่คนทั่วไปเห็นก็คิดว่าตายไปแล้ว เพราะติดอยู่ในน้ำใต้ท้องเรือนาน ไม่หายใจตัวเขียวและชีดหมดแล้ว
--- ครั้งที่ 2 เมื่ออายุจะ 52 ปีเต็ม ไขมันหรือลิ้มเลือดอุดตันในสมองอย่างเฉียบพลัน น็อกหมดสติขณะเดิน อยู่ในมุมที่ไม่มีคนเห็น จนเข้าห้องไอชียู.
ปฏิบัติธรรมในช่วงมีวิกฤตอย่างหนักยิ่ง จนตายไปจริงๆ มา 2 รอบแล้ว
--- ครั้งแรกเมื่ออายุ 23-24 ปี ต่อสู้เรื่องการศึกษาทั้งที่ไม่มีสิทธิ์จนอาจบ้าได้ และกำลังเข้าสู่ทางตันกดดันยิ่งเรียนจบอาจจะไม่ได้รับปริญญา. จึงเข้าวัดปฏิบัติธรรมจนสละชีวิตไปจริงๆ และตายไปจริงๆ แต่กลับเกิดขึ้นมาใหม่
--- ครั้งที่สองเมื่ออายุจะ 52 ปีเต็ม หลังจากออกจากห้องไอชียู คืนแรก. ก็ด้วยเห็นว่าสังขารนี้บอบบางมากจะเป็นอำมพฤตหรืออัมพาตถาวรหรือจะตายไปเลยก็เพียงนิดเดียว จึงปฏิบัติธรรมอย่างปรานีตระเอียดยิ่ง ทั้งแต่เริ่มเข้าห้องไอชียูวันแรก จนยิ่งยวดแล้วตายไปจากจิต จากชีวิตจริงๆ ยิ่งกว่าตอนน็อกหมดสติที่ไขมันหรือลิ้มเลือดอุดตันในเส้นเลือดสมองอย่างเฉียบพลันเสียอีก คือสิ้นไปจากจิตจากชีวิตไปจริงๆ แล้วเกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง.
เป็นการสละชีวิตได้เมื่อ เป็นทุกข์ยิ่ง จนมีปัญญา 1.เห็นทุกข์ และ 2.เห็นเหตุแห่งทุกข์ อย่างยิ่งยวด นั้นเอง.
บางครั้งความตายไม่เป็นเรื่องสำคัญ สำหรับคนที่ผ่านการเฉียดตายมาแล้ว แต่ความทุกข์อย่างไรๆ ก็เป็นเรื่องสำคัญ
การ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนเป็นทุกข์
แต่สำหรับผู้ที่เฉียดตาย มาแล้ว มากกว่า 1 ครั้ง ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ความตายจึงเป็นเรื่องไม่สำคัญมาก แต่อย่างไรๆ ก็ตามความทุกข์ในชีวิตก็ยังเป็นเรื่องสำคัญ จึงยังต้องดำรงณ์ชีวิตที่ให้มีทุกข์น้อยที่สุดอยู่เป็นธรรมดา.
แม้แม่ผมอายุ 95 ปีแล้ว ติดแตียงแม่ก็ เบื่อ เหนื่อย เพลีย ก็พูดว่าตายไปก็ดี แต่ดำรงณ์อยู่ได้ด้ายการดูแล แต่ท่านจะทำให้ตัวเองตายท่านก็ไม่ทำ นี้เป็นเรื่องธรรดาอย่างหนึ่ง และถ้าเกิดให้ท่านไปอยู่ที่การดูแลด้อยกว่านี้ แม่ก็กลัวความทุกข์ ที่อาจจะเพิ่มจากเดิม ซึ่งก็คือกลัวความทุกข์มากกว่านั้นเอง.
ดังนั้นการฆ่าตัวเองตาย จึงเป็นเรื่องน่ากลัวอยู่ เพราะอาจจะทุกข์ยิ่งกว่าเดิมได้ นั้นเอง
สำหรับผมเฉียดตายมา 2 ครั้งแล้ว และอายุก็ 60 ปีแล้ว ความตายจึงไม่เป็นเรื่องสำคัญเท่าไหรแล้ว เพราะปฏิบัตธรรมจนตายไปจริงๆ เมื่อเกิดวิกฤตยิ่งในชีวิตมา 2 รอบแล้ว
เฉียดตายมาแล้ว 2 ครั้ง
--- ครั้งแรกเมื่ออายุ 6 ปี ที่คนทั่วไปเห็นก็คิดว่าตายไปแล้ว เพราะติดอยู่ในน้ำใต้ท้องเรือนาน ไม่หายใจตัวเขียวและชีดหมดแล้ว
--- ครั้งที่ 2 เมื่ออายุจะ 52 ปีเต็ม ไขมันหรือลิ้มเลือดอุดตันในสมองอย่างเฉียบพลัน น็อกหมดสติขณะเดิน อยู่ในมุมที่ไม่มีคนเห็น จนเข้าห้องไอชียู.
ปฏิบัติธรรมในช่วงมีวิกฤตอย่างหนักยิ่ง จนตายไปจริงๆ มา 2 รอบแล้ว
--- ครั้งแรกเมื่ออายุ 23-24 ปี ต่อสู้เรื่องการศึกษาทั้งที่ไม่มีสิทธิ์จนอาจบ้าได้ และกำลังเข้าสู่ทางตันกดดันยิ่งเรียนจบอาจจะไม่ได้รับปริญญา. จึงเข้าวัดปฏิบัติธรรมจนสละชีวิตไปจริงๆ และตายไปจริงๆ แต่กลับเกิดขึ้นมาใหม่
--- ครั้งที่สองเมื่ออายุจะ 52 ปีเต็ม หลังจากออกจากห้องไอชียู คืนแรก. ก็ด้วยเห็นว่าสังขารนี้บอบบางมากจะเป็นอำมพฤตหรืออัมพาตถาวรหรือจะตายไปเลยก็เพียงนิดเดียว จึงปฏิบัติธรรมอย่างปรานีตระเอียดยิ่ง ทั้งแต่เริ่มเข้าห้องไอชียูวันแรก จนยิ่งยวดแล้วตายไปจากจิต จากชีวิตจริงๆ ยิ่งกว่าตอนน็อกหมดสติที่ไขมันหรือลิ้มเลือดอุดตันในเส้นเลือดสมองอย่างเฉียบพลันเสียอีก คือสิ้นไปจากจิตจากชีวิตไปจริงๆ แล้วเกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง.
เป็นการสละชีวิตได้เมื่อ เป็นทุกข์ยิ่ง จนมีปัญญา 1.เห็นทุกข์ และ 2.เห็นเหตุแห่งทุกข์ อย่างยิ่งยวด นั้นเอง.