เกริ่นก่อนละกัน
- ก่อนอื่น ต้องขอเกริ่นก่อน ว่า จขกท.เป็นมนุษย์เงินเดือนคนธรรมดาคนหนึ่งในตอนนี้ ซึ่งระหว่างที่เราทำงานประจำไปด้วยก็หมั่นแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ในการหารายได้เสริมจากวิชาชีพตามความถนัดของเรา
- ถ้าถามว่าเรามาไกลจากจุดที่เริ่มต้นครั้งแรกมั้ย? ...เอาเข้าจริง ก็ใช่นะ จากปี 2556 เงินเดือนที่ได้เริ่มต้นแรกเลยอยู่ที่ 12,000 บาทถ้วน มาถึงตอนนี้ ปี 2562 เงินเดือนประจำเรารวมรายได้อื่นๆ มาที่ประมาณ 7 หมื่น ถึง เฉียดๆ 1 แสนต่อเดือน ในวัย 28 ปี ซึ่งตั้งแต่เด็กไม่ได้มีต้นทุนชีวิตที่ดีอะไรมากมาย แต่อยู่ในสังคมที่คนรอบข้าง(ญาติใกล้ชิด พี่น้องของแม่)บ่มเพาะ และเป็นตัวอย่างให้เรามีความทะเยอทะยานแบบไม่รู้ตัว และมีภาพจินตนาการอยู่ในหัวเสมอว่าวันหนึ่ง เราอยากเป็นที่ยอมรับของญาติๆ และคนรอบข้างให้ได้
ช่วงวัยเด็ก
- จขกท.เป็นลูกคนเดียว ของมาม๊าซึ่งได้หย่าร้างกับปาป๊า ตั้งแต่ จขกท.อายุแค่ 3 ขวบตั้งแต่เด็กก็จะพบเจอกับบรรยากาศตลาดสดมาตลอด เพราะ เรียกได้ว่าเป็นเด็กที่โตมากับตลาดสดจริงๆ สดแบบหมูสด ผักสด น้ำพริก ปลาร้า อะไรแบบนี้เลย
- ชีวิตวัยเด็กก็ไม่ได้ดีเลิศอะไรเรามักจะมีปมด้อยในใจมาเสมอว่า "เราอยากจะมีพ่อแม่ครบพร้อมเหมือนครอบครัวเพื่อนๆ หรือญาติพี่น้อง" บวกกับฐานะทางบ้านที่ไม่ค่อยจะดี เพราะ มาม๊าต้องหาเงินคนเดียว รับผิดชอบทุกอย่างในบ้าน และต้องเลี้ยงดูเราเอง จำได้เลย เสื้อผ้าตั้งแต่จำความได้ ถึงอายุ 18 ปี น่าจะซื้อเสื้อผ้านักเรียน หรือกางเกงไปรเวท รวมกันไม่ถึง 20 ชิ้น เพราะ จขกท.ใช้ต่อจากของลูกพี่ลูกน้องตลอด ประกอบกับสังคมรอบข้างใกล้ชิดที่เราได้สัมผัส คือ ญาติพี่น้องใกล้ชิด ที่เจอกันทุกสัปดาห์ จะมีครอบครัวที่อบอุ่น มีฐานะธุรกิจใหญ่โต การเงินที่ดี ได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือต่างประเทศทุกปี ซึ่งลูกๆในวัยเดียวกันของญาติๆ(ลูกพี่ลูกน้อง) ซึ่งวัยใกล้เคียงกับ จขกท. มีพี่น้องแท้ๆหมด เลยทำให้ จขกท.ค่อนข้างแปลกแยกแตกต่างในวัยเด็กพอสมควร และถูกแกล้งตามประสาเด็กๆเป็นประจำ 5555 (เหมือนจะเริ่มดราม่า แต่นี่ชีวิตจริงนะ) แต่พอโตขึ้นมา ทุกอย่างมันก็เรื่องสนุกๆของเด็กๆแหละน่ะ 555
- ชีวิตวัยเด็กก็มักมีดื้อๆซนๆบ้างตามประสา แต่โชคดีที่มาม๊าจขกท. อากง และอาม่า คอยเคี่ยวเข็นเราให้อยู่ในกรอบที่ควรจะเป็น ผิดบ้าง ดื้อบ้าง โดนด่ากลางตลาดเลย 555
- ด้วยความที่เราตั้งแต่เล็กจนโตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มักจะขาด และไม่ครบพร้อมอยู่เสมอ แต่ภาพที่เรามองเห็นจากคนรอบข้าง คือ ความสุขสบายความพร้อมในเกือบๆทุกด้านของชีวิต เราก็เลย !!! ทำยังไงให้มาม๊าเราเดินเชิดหน้าชูตาได้อย่างอกผายไหล่ผึ่ง จะได้มีความภาคภูมิใจในลูกคนนี้ มันก็เลยทำให้เรามีความทะเยอทะยานมาเสมอตั้งแต่วัยเด็ก ว่าวันนึงเราก็อยากจะครบพร้อมเหมือนภาพที่เราเห็นบ้างมาสิบกว่าปี มันเหมือนพลังแฝง ที่ค่อยๆบ่มอยู่ในจิตใจ และความคิดของเราตลอดเวลา
ช่วงประถม-มัธยมต้น-มัธยมปลาย
- เป็นโอกาสที่ดี และโชคดีอย่างนึง ที่ช่วงสมัยเรียนหนังสือ มาม๊า จขกท.ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกขาดความอบอุ่น จนหันไปพึ่งสิ่งที่ไม่ดี แต่กลับกลายเป็นความมุมานะ ที่จะผลักดันตัวเองให้เป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้างได้โดยไม่รู้ตัว
- จขกท. เรียกได้ว่าเป็นเด็กกิจกรรมคนนึง ทำกิจกรรมหลายอย่าง ทั้งนักฟุตบอลโรงเรียน มักจะถูกเลือกจากเพื่อนๆให้เป็น หัวหน้าห้อง หรือได้รับโอกาสในการเป็นประธานสภานักเรียน ได้ทำกิจกรรม หรือเป็นตัวแทนในงานสำคัญๆของโรงเรียนหลายกิจกรรม เช่น การเป็นพิธีกร ประธานจัดงาน หรือตัวแทนเข้าร่วม กิจกรรมที่ดีๆในโรงเรียนบ่อยครั้ง สิ่งนี้เลยปลูกฝังให้เรามีประสบการณ์ในหลายด้านของทักษะการเข้าสังคม การทำงานร่วมกับผู้อื่น และอยู่ในจุดที่ควรรักษามาตรฐานความรับผิดชอบที่ดีเอาไว้ให้ได้
-
คำถาม แล้วเรื่องการเรียนหละ ?
-
ตอบ จขกท.ไม่ใช่คนที่การเรียนโดดเด่น แต่อยู่ในระดับที่ยังอยู่ในห้องคิงของสายวิทย์ คณิตได้ แต่ก็อย่างว่าแหละ การเรียนเราไม่โดดเด่น แต่กิจกรรมนี่โคตรโดดเด่น มันก็มีบ้างที่จะถูกคนรอบข้างวิจารณ์ หรือทำให้เสียความรู้สึกบ้าง
**มีเหตุการณ์นึงนี่คือจุดพีคเลย**
สมัยที่กำลังจะเข้าสู่ช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทุกคนก็ขมักเขม่นกับการที่ต้องอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย
แต่เชื่อมั้ย ?! ไม่รู้มันเป็นโชคดีอะไรของ จขกท. เราสามารถผ่านการคัดเลือกโครงการ "นักเรียนเรียนดี" ซึ่งเป็นโครงการของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ก่อนเพื่อนๆคนอื่น โดยการยื่นเกรด และผลการสอบความรู้เฉพาะด้านวิศวฯ แต่เอาเข้าจริง คือการเรียน ตอน ม.6 จขกท. ไม่ได้ดีเลย แทบจะห่วยที่สุดในห้องด้วยซ้ำ ขนาดยื่นสอบโควต้าไป หาญกล้าเลือก ทันต กับ บริหาร ยังไม่รู้จะมีโอกาสมั้ย เจอคำดูถูกสารพัดครับ จากเพื่อนๆ และคุณครูก็โดน ละคือที่โดน โดนหลังจากที่ผ่านการคัดเลือกโครงการเรียนดี ของคณะวิศวกรรมโยธา ของ มช.แล้วด้วยนะ
"กุว่าเดี๋ยวเอ็งก็ซิ่ว ไปเรียนบริหารเชื่อดิ คณะวิศวฯ เอ็งเรียนไม่ไหวหรอก"
"ถ้านาย...ไม่ติดโครงการเรียนดีอันนี้นะ ครูว่าก็คงไม่ติดคณะวิศวฯ มช.หรอก"
และอื่นๆอีกบลาๆๆๆ
อู้วหูววว!! คือ เก็บกดมากตอนนั้น เถียงอะไรไม่ออก ได้แต่ยิ้ม แล้วก็บอกตัวเองว่า จะต้องพิสูจน์ให้ได้ ให้ทุกคนที่ดูถูกเราเห็นให้ได้
ไว้จะมาต่อ ใน Part ของชีวิตเรียนมหาวิทยาลัย และก็ต่อด้วยการเริ่มต้นของการทำงานนะครับ
ยาวมากๆๆ ยังไงก็ฝากทุกท่าน ช่วยติดตามกันหน่อยนะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์
ขอบคุณมาก ที่เสียสละเวลาเพื่อมาอ่านเรื่องราวของชีวิตผมในครั้งนี้ครับ
[Story] แชร์ประสบการณ์ Entaneer ลูกช้างรั้วสีม่วง วิศวกรโยธา สู่ตำแหน่งผู้บริหารองค์กรพัฒนาอสังหาฯ ในวัย 28 ปี
เกริ่นก่อนละกัน
- ก่อนอื่น ต้องขอเกริ่นก่อน ว่า จขกท.เป็นมนุษย์เงินเดือนคนธรรมดาคนหนึ่งในตอนนี้ ซึ่งระหว่างที่เราทำงานประจำไปด้วยก็หมั่นแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ในการหารายได้เสริมจากวิชาชีพตามความถนัดของเรา
- ถ้าถามว่าเรามาไกลจากจุดที่เริ่มต้นครั้งแรกมั้ย? ...เอาเข้าจริง ก็ใช่นะ จากปี 2556 เงินเดือนที่ได้เริ่มต้นแรกเลยอยู่ที่ 12,000 บาทถ้วน มาถึงตอนนี้ ปี 2562 เงินเดือนประจำเรารวมรายได้อื่นๆ มาที่ประมาณ 7 หมื่น ถึง เฉียดๆ 1 แสนต่อเดือน ในวัย 28 ปี ซึ่งตั้งแต่เด็กไม่ได้มีต้นทุนชีวิตที่ดีอะไรมากมาย แต่อยู่ในสังคมที่คนรอบข้าง(ญาติใกล้ชิด พี่น้องของแม่)บ่มเพาะ และเป็นตัวอย่างให้เรามีความทะเยอทะยานแบบไม่รู้ตัว และมีภาพจินตนาการอยู่ในหัวเสมอว่าวันหนึ่ง เราอยากเป็นที่ยอมรับของญาติๆ และคนรอบข้างให้ได้
ช่วงวัยเด็ก
- จขกท.เป็นลูกคนเดียว ของมาม๊าซึ่งได้หย่าร้างกับปาป๊า ตั้งแต่ จขกท.อายุแค่ 3 ขวบตั้งแต่เด็กก็จะพบเจอกับบรรยากาศตลาดสดมาตลอด เพราะ เรียกได้ว่าเป็นเด็กที่โตมากับตลาดสดจริงๆ สดแบบหมูสด ผักสด น้ำพริก ปลาร้า อะไรแบบนี้เลย
- ชีวิตวัยเด็กก็ไม่ได้ดีเลิศอะไรเรามักจะมีปมด้อยในใจมาเสมอว่า "เราอยากจะมีพ่อแม่ครบพร้อมเหมือนครอบครัวเพื่อนๆ หรือญาติพี่น้อง" บวกกับฐานะทางบ้านที่ไม่ค่อยจะดี เพราะ มาม๊าต้องหาเงินคนเดียว รับผิดชอบทุกอย่างในบ้าน และต้องเลี้ยงดูเราเอง จำได้เลย เสื้อผ้าตั้งแต่จำความได้ ถึงอายุ 18 ปี น่าจะซื้อเสื้อผ้านักเรียน หรือกางเกงไปรเวท รวมกันไม่ถึง 20 ชิ้น เพราะ จขกท.ใช้ต่อจากของลูกพี่ลูกน้องตลอด ประกอบกับสังคมรอบข้างใกล้ชิดที่เราได้สัมผัส คือ ญาติพี่น้องใกล้ชิด ที่เจอกันทุกสัปดาห์ จะมีครอบครัวที่อบอุ่น มีฐานะธุรกิจใหญ่โต การเงินที่ดี ได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือต่างประเทศทุกปี ซึ่งลูกๆในวัยเดียวกันของญาติๆ(ลูกพี่ลูกน้อง) ซึ่งวัยใกล้เคียงกับ จขกท. มีพี่น้องแท้ๆหมด เลยทำให้ จขกท.ค่อนข้างแปลกแยกแตกต่างในวัยเด็กพอสมควร และถูกแกล้งตามประสาเด็กๆเป็นประจำ 5555 (เหมือนจะเริ่มดราม่า แต่นี่ชีวิตจริงนะ) แต่พอโตขึ้นมา ทุกอย่างมันก็เรื่องสนุกๆของเด็กๆแหละน่ะ 555
- ชีวิตวัยเด็กก็มักมีดื้อๆซนๆบ้างตามประสา แต่โชคดีที่มาม๊าจขกท. อากง และอาม่า คอยเคี่ยวเข็นเราให้อยู่ในกรอบที่ควรจะเป็น ผิดบ้าง ดื้อบ้าง โดนด่ากลางตลาดเลย 555
- ด้วยความที่เราตั้งแต่เล็กจนโตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มักจะขาด และไม่ครบพร้อมอยู่เสมอ แต่ภาพที่เรามองเห็นจากคนรอบข้าง คือ ความสุขสบายความพร้อมในเกือบๆทุกด้านของชีวิต เราก็เลย !!! ทำยังไงให้มาม๊าเราเดินเชิดหน้าชูตาได้อย่างอกผายไหล่ผึ่ง จะได้มีความภาคภูมิใจในลูกคนนี้ มันก็เลยทำให้เรามีความทะเยอทะยานมาเสมอตั้งแต่วัยเด็ก ว่าวันนึงเราก็อยากจะครบพร้อมเหมือนภาพที่เราเห็นบ้างมาสิบกว่าปี มันเหมือนพลังแฝง ที่ค่อยๆบ่มอยู่ในจิตใจ และความคิดของเราตลอดเวลา
ช่วงประถม-มัธยมต้น-มัธยมปลาย
- เป็นโอกาสที่ดี และโชคดีอย่างนึง ที่ช่วงสมัยเรียนหนังสือ มาม๊า จขกท.ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกขาดความอบอุ่น จนหันไปพึ่งสิ่งที่ไม่ดี แต่กลับกลายเป็นความมุมานะ ที่จะผลักดันตัวเองให้เป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้างได้โดยไม่รู้ตัว
- จขกท. เรียกได้ว่าเป็นเด็กกิจกรรมคนนึง ทำกิจกรรมหลายอย่าง ทั้งนักฟุตบอลโรงเรียน มักจะถูกเลือกจากเพื่อนๆให้เป็น หัวหน้าห้อง หรือได้รับโอกาสในการเป็นประธานสภานักเรียน ได้ทำกิจกรรม หรือเป็นตัวแทนในงานสำคัญๆของโรงเรียนหลายกิจกรรม เช่น การเป็นพิธีกร ประธานจัดงาน หรือตัวแทนเข้าร่วม กิจกรรมที่ดีๆในโรงเรียนบ่อยครั้ง สิ่งนี้เลยปลูกฝังให้เรามีประสบการณ์ในหลายด้านของทักษะการเข้าสังคม การทำงานร่วมกับผู้อื่น และอยู่ในจุดที่ควรรักษามาตรฐานความรับผิดชอบที่ดีเอาไว้ให้ได้
- คำถาม แล้วเรื่องการเรียนหละ ?
- ตอบ จขกท.ไม่ใช่คนที่การเรียนโดดเด่น แต่อยู่ในระดับที่ยังอยู่ในห้องคิงของสายวิทย์ คณิตได้ แต่ก็อย่างว่าแหละ การเรียนเราไม่โดดเด่น แต่กิจกรรมนี่โคตรโดดเด่น มันก็มีบ้างที่จะถูกคนรอบข้างวิจารณ์ หรือทำให้เสียความรู้สึกบ้าง
**มีเหตุการณ์นึงนี่คือจุดพีคเลย**
สมัยที่กำลังจะเข้าสู่ช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทุกคนก็ขมักเขม่นกับการที่ต้องอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย
แต่เชื่อมั้ย ?! ไม่รู้มันเป็นโชคดีอะไรของ จขกท. เราสามารถผ่านการคัดเลือกโครงการ "นักเรียนเรียนดี" ซึ่งเป็นโครงการของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ก่อนเพื่อนๆคนอื่น โดยการยื่นเกรด และผลการสอบความรู้เฉพาะด้านวิศวฯ แต่เอาเข้าจริง คือการเรียน ตอน ม.6 จขกท. ไม่ได้ดีเลย แทบจะห่วยที่สุดในห้องด้วยซ้ำ ขนาดยื่นสอบโควต้าไป หาญกล้าเลือก ทันต กับ บริหาร ยังไม่รู้จะมีโอกาสมั้ย เจอคำดูถูกสารพัดครับ จากเพื่อนๆ และคุณครูก็โดน ละคือที่โดน โดนหลังจากที่ผ่านการคัดเลือกโครงการเรียนดี ของคณะวิศวกรรมโยธา ของ มช.แล้วด้วยนะ
"กุว่าเดี๋ยวเอ็งก็ซิ่ว ไปเรียนบริหารเชื่อดิ คณะวิศวฯ เอ็งเรียนไม่ไหวหรอก"
"ถ้านาย...ไม่ติดโครงการเรียนดีอันนี้นะ ครูว่าก็คงไม่ติดคณะวิศวฯ มช.หรอก"
และอื่นๆอีกบลาๆๆๆ
อู้วหูววว!! คือ เก็บกดมากตอนนั้น เถียงอะไรไม่ออก ได้แต่ยิ้ม แล้วก็บอกตัวเองว่า จะต้องพิสูจน์ให้ได้ ให้ทุกคนที่ดูถูกเราเห็นให้ได้
ไว้จะมาต่อ ใน Part ของชีวิตเรียนมหาวิทยาลัย และก็ต่อด้วยการเริ่มต้นของการทำงานนะครับ
ยาวมากๆๆ ยังไงก็ฝากทุกท่าน ช่วยติดตามกันหน่อยนะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์
ขอบคุณมาก ที่เสียสละเวลาเพื่อมาอ่านเรื่องราวของชีวิตผมในครั้งนี้ครับ