การทำอาหารเป็นศิลปะ
ก่อนหน้านี้ผมไม่ค่อยเข้าใจนักจนได้มาดู Burnt อีกรอบ

Burnt หนังที่พูดถึง เชฟ ที่ต้องการคืนสู่วงการจากความผิดพลาดในอดีต เพื่อกลับมาคว้าดาวที่สามของมิชลิน
เนื้อเรื่องหลาย ๆ คนคงเคยได้ดูหรือ อ่านบทวิจารณ์กันมาบ้างแล้วเพราะเป็นหนังที่เข้าฉายตั้งแต่ปี 2015
ขอมองในมุมศิลปะการทำอาหารสักนิด ทำไมถึงเป็นศิลปะ ไม่จำเป็นต้องเป็นภัตรคารหรู อาหารข้างทางก็เป็นศิลปะ เพราะกว่าจะมาเป็น 1 เมนูนั้นสิ่งที่ผู้รังสรรค์ต้องรู้ คือวัตถุดิบชนิดใดเข้ากันได้ ส่งเสริมเติมเต็มให้กัน ระยะเวลาในการปรุง เครื่องเคียงที่มาพร้อมกัน ปริมาณในการลิ้มลอง และการจัดวางนั้นถูกคิดมาหมดแล้ว
นอกจากศิลปะ เชฟ ยังต้องมีความสามารถในการจัดการ การมองเห็นความต้องการของผู้ชิม และความทะยานอยากที่จะได้คิดค้น รสชาติ ใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา อย่างที่ตัวละครเอกพูดถึง
"การปรุงต้องมีความคงที่ แต่รสชาติต้องดีกว่าเดิม"
หนังนำเสนอ ความเป็นพ่อครัว หรือเชฟ ในมุมมองของความดุดัน ก้าวร้าว การจัดการในพื้นที่ของเชฟ ทั้งในครัวและบนโต๊ะ การจัดจาน ความพิถีพิถัน แต่ละจานก่อนที่จะถูกส่งต่อ เพื่อสิ่งที่ดีขึ้นไปอีก
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือความโอหังจากอดีตที่ทำให้พระเอกของเราต้องยอมรับว่านั้นไม่ใช่ทางเดียวที่ถูกต้องในการประสบความสำเร็จ ไม่จำเป็นต้องโดดเดี่ยว การได้รับความช่วยเหลือ ความอ่อนโยนจากข้างในก็ทำให้เราเดินไปถึงเป้าได้เหมือนกัน
ชีวิตเราก็เหมือนการเป็นเชฟ ต้องรู้จักวัตถุดิบที่อยู่ในมือ การทำให้ผู้คนที่อยู่รอบตัวจัดการกับเนื้องานที่ทำอยู่ เหมือนการทำให้คนทำงานในครัวรู้จักการใช้วัตถุดิบ และไม่ใช่เราคนเดียวที่จะทำทุกอย่างสำเร็จ การทำร่วมกันต่างหากที่ทำให้เราไปสู่ความสำเร็จ มีอยู่ไม่กี่อาชีพหรอกที่ทำได้ด้วยตัวคนเดียว โดยส่วนใหญ่ก็ต้องมีคนทำงานร่วมกัน
ฉะนั้นความโดดเดี่ยวก็ไม่ได้ช่วยอะไรนัก การแบกอะไรไว้คนเดียวแล้วมองว่าเราเป็นเหตุหรือเป็นผู้นำ บางทีก็เหมือนมองตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลทั้งที่ บางทีเราก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น
Brunt เชพกลับใจ เมื่อไม่จำเป็นต้องโอหัง
ก่อนหน้านี้ผมไม่ค่อยเข้าใจนักจนได้มาดู Burnt อีกรอบ
Burnt หนังที่พูดถึง เชฟ ที่ต้องการคืนสู่วงการจากความผิดพลาดในอดีต เพื่อกลับมาคว้าดาวที่สามของมิชลิน
เนื้อเรื่องหลาย ๆ คนคงเคยได้ดูหรือ อ่านบทวิจารณ์กันมาบ้างแล้วเพราะเป็นหนังที่เข้าฉายตั้งแต่ปี 2015
ขอมองในมุมศิลปะการทำอาหารสักนิด ทำไมถึงเป็นศิลปะ ไม่จำเป็นต้องเป็นภัตรคารหรู อาหารข้างทางก็เป็นศิลปะ เพราะกว่าจะมาเป็น 1 เมนูนั้นสิ่งที่ผู้รังสรรค์ต้องรู้ คือวัตถุดิบชนิดใดเข้ากันได้ ส่งเสริมเติมเต็มให้กัน ระยะเวลาในการปรุง เครื่องเคียงที่มาพร้อมกัน ปริมาณในการลิ้มลอง และการจัดวางนั้นถูกคิดมาหมดแล้ว
นอกจากศิลปะ เชฟ ยังต้องมีความสามารถในการจัดการ การมองเห็นความต้องการของผู้ชิม และความทะยานอยากที่จะได้คิดค้น รสชาติ ใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา อย่างที่ตัวละครเอกพูดถึง
"การปรุงต้องมีความคงที่ แต่รสชาติต้องดีกว่าเดิม"
หนังนำเสนอ ความเป็นพ่อครัว หรือเชฟ ในมุมมองของความดุดัน ก้าวร้าว การจัดการในพื้นที่ของเชฟ ทั้งในครัวและบนโต๊ะ การจัดจาน ความพิถีพิถัน แต่ละจานก่อนที่จะถูกส่งต่อ เพื่อสิ่งที่ดีขึ้นไปอีก
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือความโอหังจากอดีตที่ทำให้พระเอกของเราต้องยอมรับว่านั้นไม่ใช่ทางเดียวที่ถูกต้องในการประสบความสำเร็จ ไม่จำเป็นต้องโดดเดี่ยว การได้รับความช่วยเหลือ ความอ่อนโยนจากข้างในก็ทำให้เราเดินไปถึงเป้าได้เหมือนกัน
ชีวิตเราก็เหมือนการเป็นเชฟ ต้องรู้จักวัตถุดิบที่อยู่ในมือ การทำให้ผู้คนที่อยู่รอบตัวจัดการกับเนื้องานที่ทำอยู่ เหมือนการทำให้คนทำงานในครัวรู้จักการใช้วัตถุดิบ และไม่ใช่เราคนเดียวที่จะทำทุกอย่างสำเร็จ การทำร่วมกันต่างหากที่ทำให้เราไปสู่ความสำเร็จ มีอยู่ไม่กี่อาชีพหรอกที่ทำได้ด้วยตัวคนเดียว โดยส่วนใหญ่ก็ต้องมีคนทำงานร่วมกัน
ฉะนั้นความโดดเดี่ยวก็ไม่ได้ช่วยอะไรนัก การแบกอะไรไว้คนเดียวแล้วมองว่าเราเป็นเหตุหรือเป็นผู้นำ บางทีก็เหมือนมองตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลทั้งที่ บางทีเราก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น