สิ่งที่ผมพิมพ์ต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่คุรุภายในของผม ส่งสารมาให้ผม รวมถึงต้องการให้ทุกๆคนได้รับรู้ ไม่ใช่ความรู้วิชาการจากไหน โปรดใช้วิญจารณญาณในการอ่าน รวมถึงสิ่งที่คุรุในตัวผมกำลังจะส่งสารให้คุณได้รับรู้นั้น อยากให้พวกคุณแยกเอาคำว่า
"ศาสนา" ออกก่อน เพราะเรื่องจิตวิญญาณนั้น ไม่มีการแบ่งแยกใดๆทั้งสิ้น
ส่วนใครที่จะมาใช้ความคิด หรือตรรกะใดๆ ในการโต้ตอบล่ะก็ ผ่านไปได้เลย เพราะกระทู้นี้เราคุยถึงเรื่องจิตวิญญาณกันอย่างเดียว
เสียงจากภายในตัวเราคืออะไร
เสียงภายในตัวเรา บางคนก็เรียกว่าเสียงจากหัวใจบ้าง จิตใต้สำนึกบ้าง จิตเหนือสำนึกบ้าง หรือคำที่คนไทยคุ้นเคยกันดีก็คือ เซ้นส์หรือซิกเซ้นส์ หรือประสาทสัมผัสที่ 6 ในตัวเรา ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็ตาม ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งเดียวจากภายในตัวเราทั้งสิ้น
ทำไมเราต้องฟังเสียงภายในตัวเรา
ที่ต้องฟังเสียงจากภายในตัวเรานั้น เพราะเราจะได้รู้ว่า เราเป็นใคร เราเกิดมาทำไมบนโลกใบนี้ มีคนมากมายบนโลกใบนี้ ที่ยังยึดติดกับความคิด ยึดติดกับอัตตา หรือที่เรียกว่า ประสาทสัมผัสทั้ง 5 คนเหล่านี้ยังอยู่ในสภาวะที่หลับไหลจากภายในอยู่ ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ทำให้คนเหล่านี้จำนวนมากในยุคปัจจุบัน เป็นโรคซึมเศร้ากันมากขึ้น เพราะคนเหล่านี้ถูกปลูกฝังให้ใช้ความคิด เหตุผล รวมถึงถูกปลูกฝังใช้เชื่อในสิ่งที่คนอื่นบอกต่อๆกันมา จากโรงเรียน สภาพแวดล้อม และคนรอบข้าง และการที่โลกของเรามีการแข่งขันที่สูงขึ้นทุกวันนี้ เราทุกคนจำเป็นที่จะต้องกลับเข้ามาที่ภายในตัวของเรา ใช้คุรุ หรือผู้รู้ในตัวเราเป็นคนนำทางให้กับเรา เพื่อให้เราสามารถดำเนินบนโลกใบนี้ได้อย่างมีสติ และกลับเข้าสู่ภายในบ้านของเรา ที่เป็นบ้านแห่งจิตวิญญาณภายในตัวของเรา
จะฟังเสียงจากภายในได้อย่างไร
การที่เราจะฟังเสียงจากภายในได้นั้น สิ่งแรกที่เราต้องทำก็คือ การกลับเข้ามาสำรวจภายในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความคิด อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆที่อยู่ในสภาวะจิตของเรา เมื่อเราสำรวจภายในตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว (ตามรู้ตามดูอารมณ์ ความคิด ที่อยู่ภายในตัวเราตลอดเวลา รวมถึงการทำความเข้าใจกับสภาวะอารมณ์ ความคิดนั้นๆ) ก็ขอให้เรานั้นส่งคำถามกับตัวเราที่อยู่ภายในบ่อยๆว่า ใครคือผู้รู้ ถ้าครั้งแรกยังไม่ได้เสียงคำตอบจากในใจของเรา หรือได้ยินแบบติดๆขัดๆ ล่ะก็ ยังไม่เป็นไร อย่าพึ่งรีบร้อน เพราะตัวเรานั้นถูกสอนให้ชินกับการใช้ความคิด หรือเหตุผลอยู่ ยังมีความสงสัย เป็นเรื่องธรรมดา ขอให้เราฝึกไปแบบนี้เรื่อยๆ เราจะได้ยินเสียงจากภายในโดยที่ไม่ต้องไปคิด ไปเพ่ง กด เกร็งมัน เสียงที่ออกมานั้น จะเป็นเสียงที่ราบรื่น และเบาสบาย
เธอเคยได้ยินไหมว่า ทำไมบางคน พอนึกถึงคนๆที่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน แล้วเค้าติดต่อมาเลย หรือบางคนมองดูรูปสถานที่ท่องเที่ยว แล้วมีความรู้สึกราวกับว่า จะได้ไปเร็วๆนี้ แล้วปรากฎว่าได้ไปจริงๆตามที่เค้ารู้สึก หรือบางคนที่มีอะไรบางอย่างมาสะกิตให้เค้าไปที่นั่น พอเค้าไปที่นั่น เค้าก็ได้เจอกับสิ่งดีๆ หรือโอกาสที่ดีที่เกิดขึ้นกับตัวเค้า สิ่งเหล่านี้เช่นเดียวกันที่พวกเธอต้องหมั่นสังเกตุมันบ่อยๆ จากนั้นก็ให้เธอฝึกจิตของเธอตามแนวทางของเธอ เมื่อเธอฝึกไปได้มากขึ้น เธอจะสามารถติดต่อสื่อสารภายในจิตของเธอได้โดยตรง โดยที่ไม่ต้องรอให้เค้ามาสะกิตเธอเลย
หรืออีกกรณีก็คือ ในกรณีที่เธอไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามที่ต่างๆ แล้วเธอเกิดความรู้สึกที่ผูกพันขึ้นมา เช่น พระพิฆเนศ พระแม่ลักษมี พระแม่อุมาเทวี พระศิวะ ฯลฯ นั่นเป็นเพราะสายสัมพันธ์ภายในตัวเธอที่มีต่อองค์ครูบาอาจารย์นั้น (คุรุ หรือ ผู้รู้ภายในตัวเรา) ได้มีการเชื่อต่อ หรือการจัดเตรียม ดลบันดาลให้เธอมาในที่นั้นแล้ว ถึงเธอจะเกิดมาในชาตินี้ แล้วจดจำอะไรไม่ได้ แต่จิตใต้สำนึกของเธอนั้น ได้ทำการบันทึก และจดจำในสิ่งที่เธอเคยปราวนา และสัญญาไว้กับท่านในชาติก่อนๆมาได้ ไม่ใช่แค่ชาติก่อนๆชาติเดียว ยังมีอีกหลายภพหลายชาติ และอีกหลายภพภูมิที่เธอเคยเกิดมา สิ่งที่เธอจะทำได้ก็คือ การน้อมนำเหล่าคุรุทั้งหลายเหล่านี้ มาเป็นแนวทาง และคำแนะนำในการดำเนินชีวิตของเรา รวมถึงการฝึกจิต เพื่อให้พลังของเรา เชื่อต่อกับพลังของท่านได้มากขึ้น และสื่อสารกับท่านที่อยู่ในตัวเราได้ง่ายขึ้น (หรือที่เรียกว่า การจูนจิต)
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราอยากจะบอกพวกเธอว่า พวกเธอไม่ใช่ผู้เดือดร้อน แต่พวกเธอเลือกที่จะลืมเลือนมัน เพื่อที่จะให้ได้ลงมาเล่นบทละครสนุกๆบนโลกใบนี้ แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเธอรู้สึกว่า ไม่สนุกกับมัน อยากเปลี่ยนบทใหม่ที่ดีกว่า จงจำไว้ว่า ให้เรียกเรียกร้องเหล่าคุรุในตัวเธอทั้งหลาย ช่วยเหลือ นำทางตัวเธอให้ไปสู่เส้นทางตามจิตวิญญาณของเธอ เพื่อให้เธอได้กลับบ้าน ที่เป็นบ้านของจิตวิญญาณตัวเอง เหล่าคุรุทั้งหลายนั้น เค้ายินดีที่จะช่วยเหลือเธอ และพาเธอกลับบ้านหรือในที่ๆเธอเคยมาอย่างแน่นอน ถ้าเธอเกิดมาบนโลกใบนี้แล้วเธอจดจำ รวมถึงรู้ถึงเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ เธอจะรู้สึกไม่สนุกกับมัน รู้สึกเบื่อมัน และอยากที่จะกลับไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า หรือที่เรียกว่า ดินแดนสูญญาตา ซึ่งคนที่จะทำสิ่งนี้ได้ ต้องเป็นคนที่ได้รับประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่สูงที่สุด เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเยซู พระแม่มารี ฯลฯ และผู้รู้อีกหลายๆคนที่ได้รับประสบการณ์สูงสุดบนโลกใบนี้อีกมากมาย
เสียงจากภายในตัวเราคืออะไร ทำไมเราต้องฟังเสียงจากภายในตัวของเรา
ส่วนใครที่จะมาใช้ความคิด หรือตรรกะใดๆ ในการโต้ตอบล่ะก็ ผ่านไปได้เลย เพราะกระทู้นี้เราคุยถึงเรื่องจิตวิญญาณกันอย่างเดียว
เสียงจากภายในตัวเราคืออะไร
เสียงภายในตัวเรา บางคนก็เรียกว่าเสียงจากหัวใจบ้าง จิตใต้สำนึกบ้าง จิตเหนือสำนึกบ้าง หรือคำที่คนไทยคุ้นเคยกันดีก็คือ เซ้นส์หรือซิกเซ้นส์ หรือประสาทสัมผัสที่ 6 ในตัวเรา ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็ตาม ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งเดียวจากภายในตัวเราทั้งสิ้น
ทำไมเราต้องฟังเสียงภายในตัวเรา
ที่ต้องฟังเสียงจากภายในตัวเรานั้น เพราะเราจะได้รู้ว่า เราเป็นใคร เราเกิดมาทำไมบนโลกใบนี้ มีคนมากมายบนโลกใบนี้ ที่ยังยึดติดกับความคิด ยึดติดกับอัตตา หรือที่เรียกว่า ประสาทสัมผัสทั้ง 5 คนเหล่านี้ยังอยู่ในสภาวะที่หลับไหลจากภายในอยู่ ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ทำให้คนเหล่านี้จำนวนมากในยุคปัจจุบัน เป็นโรคซึมเศร้ากันมากขึ้น เพราะคนเหล่านี้ถูกปลูกฝังให้ใช้ความคิด เหตุผล รวมถึงถูกปลูกฝังใช้เชื่อในสิ่งที่คนอื่นบอกต่อๆกันมา จากโรงเรียน สภาพแวดล้อม และคนรอบข้าง และการที่โลกของเรามีการแข่งขันที่สูงขึ้นทุกวันนี้ เราทุกคนจำเป็นที่จะต้องกลับเข้ามาที่ภายในตัวของเรา ใช้คุรุ หรือผู้รู้ในตัวเราเป็นคนนำทางให้กับเรา เพื่อให้เราสามารถดำเนินบนโลกใบนี้ได้อย่างมีสติ และกลับเข้าสู่ภายในบ้านของเรา ที่เป็นบ้านแห่งจิตวิญญาณภายในตัวของเรา
จะฟังเสียงจากภายในได้อย่างไร
การที่เราจะฟังเสียงจากภายในได้นั้น สิ่งแรกที่เราต้องทำก็คือ การกลับเข้ามาสำรวจภายในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความคิด อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆที่อยู่ในสภาวะจิตของเรา เมื่อเราสำรวจภายในตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว (ตามรู้ตามดูอารมณ์ ความคิด ที่อยู่ภายในตัวเราตลอดเวลา รวมถึงการทำความเข้าใจกับสภาวะอารมณ์ ความคิดนั้นๆ) ก็ขอให้เรานั้นส่งคำถามกับตัวเราที่อยู่ภายในบ่อยๆว่า ใครคือผู้รู้ ถ้าครั้งแรกยังไม่ได้เสียงคำตอบจากในใจของเรา หรือได้ยินแบบติดๆขัดๆ ล่ะก็ ยังไม่เป็นไร อย่าพึ่งรีบร้อน เพราะตัวเรานั้นถูกสอนให้ชินกับการใช้ความคิด หรือเหตุผลอยู่ ยังมีความสงสัย เป็นเรื่องธรรมดา ขอให้เราฝึกไปแบบนี้เรื่อยๆ เราจะได้ยินเสียงจากภายในโดยที่ไม่ต้องไปคิด ไปเพ่ง กด เกร็งมัน เสียงที่ออกมานั้น จะเป็นเสียงที่ราบรื่น และเบาสบาย
เธอเคยได้ยินไหมว่า ทำไมบางคน พอนึกถึงคนๆที่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน แล้วเค้าติดต่อมาเลย หรือบางคนมองดูรูปสถานที่ท่องเที่ยว แล้วมีความรู้สึกราวกับว่า จะได้ไปเร็วๆนี้ แล้วปรากฎว่าได้ไปจริงๆตามที่เค้ารู้สึก หรือบางคนที่มีอะไรบางอย่างมาสะกิตให้เค้าไปที่นั่น พอเค้าไปที่นั่น เค้าก็ได้เจอกับสิ่งดีๆ หรือโอกาสที่ดีที่เกิดขึ้นกับตัวเค้า สิ่งเหล่านี้เช่นเดียวกันที่พวกเธอต้องหมั่นสังเกตุมันบ่อยๆ จากนั้นก็ให้เธอฝึกจิตของเธอตามแนวทางของเธอ เมื่อเธอฝึกไปได้มากขึ้น เธอจะสามารถติดต่อสื่อสารภายในจิตของเธอได้โดยตรง โดยที่ไม่ต้องรอให้เค้ามาสะกิตเธอเลย
หรืออีกกรณีก็คือ ในกรณีที่เธอไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามที่ต่างๆ แล้วเธอเกิดความรู้สึกที่ผูกพันขึ้นมา เช่น พระพิฆเนศ พระแม่ลักษมี พระแม่อุมาเทวี พระศิวะ ฯลฯ นั่นเป็นเพราะสายสัมพันธ์ภายในตัวเธอที่มีต่อองค์ครูบาอาจารย์นั้น (คุรุ หรือ ผู้รู้ภายในตัวเรา) ได้มีการเชื่อต่อ หรือการจัดเตรียม ดลบันดาลให้เธอมาในที่นั้นแล้ว ถึงเธอจะเกิดมาในชาตินี้ แล้วจดจำอะไรไม่ได้ แต่จิตใต้สำนึกของเธอนั้น ได้ทำการบันทึก และจดจำในสิ่งที่เธอเคยปราวนา และสัญญาไว้กับท่านในชาติก่อนๆมาได้ ไม่ใช่แค่ชาติก่อนๆชาติเดียว ยังมีอีกหลายภพหลายชาติ และอีกหลายภพภูมิที่เธอเคยเกิดมา สิ่งที่เธอจะทำได้ก็คือ การน้อมนำเหล่าคุรุทั้งหลายเหล่านี้ มาเป็นแนวทาง และคำแนะนำในการดำเนินชีวิตของเรา รวมถึงการฝึกจิต เพื่อให้พลังของเรา เชื่อต่อกับพลังของท่านได้มากขึ้น และสื่อสารกับท่านที่อยู่ในตัวเราได้ง่ายขึ้น (หรือที่เรียกว่า การจูนจิต)
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราอยากจะบอกพวกเธอว่า พวกเธอไม่ใช่ผู้เดือดร้อน แต่พวกเธอเลือกที่จะลืมเลือนมัน เพื่อที่จะให้ได้ลงมาเล่นบทละครสนุกๆบนโลกใบนี้ แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเธอรู้สึกว่า ไม่สนุกกับมัน อยากเปลี่ยนบทใหม่ที่ดีกว่า จงจำไว้ว่า ให้เรียกเรียกร้องเหล่าคุรุในตัวเธอทั้งหลาย ช่วยเหลือ นำทางตัวเธอให้ไปสู่เส้นทางตามจิตวิญญาณของเธอ เพื่อให้เธอได้กลับบ้าน ที่เป็นบ้านของจิตวิญญาณตัวเอง เหล่าคุรุทั้งหลายนั้น เค้ายินดีที่จะช่วยเหลือเธอ และพาเธอกลับบ้านหรือในที่ๆเธอเคยมาอย่างแน่นอน ถ้าเธอเกิดมาบนโลกใบนี้แล้วเธอจดจำ รวมถึงรู้ถึงเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ เธอจะรู้สึกไม่สนุกกับมัน รู้สึกเบื่อมัน และอยากที่จะกลับไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า หรือที่เรียกว่า ดินแดนสูญญาตา ซึ่งคนที่จะทำสิ่งนี้ได้ ต้องเป็นคนที่ได้รับประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่สูงที่สุด เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเยซู พระแม่มารี ฯลฯ และผู้รู้อีกหลายๆคนที่ได้รับประสบการณ์สูงสุดบนโลกใบนี้อีกมากมาย