Massimiliano Allegri JUVENTUS F.C. AUG 11 2017
มัสซีมีเลียโน อัลเลกรี สโมสรยูเวนตุส 11 สิงหาคม 2017
ตอนที่ผมเห็นมาริโอ มานด์ซูคิช ส่งบอลข้ามผู้รักษาประตูรีลมาดริด ผมคิดในใจว่า “ว้าว ..ไม่แน่เหมือนกันนะ”
จากนั้นเมื่อบอลเข้าไปตุงตาข่าย ผมเริ่มคิดว่า “โอเค บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสของเรา”
มันเป็นการเข้าทำที่ยอดเยี่ยมและเปี่ยมไปด้วยเทคนิคของผู้เล่นเรา จากนั้นก็เป็นการจบสกอร์สุดสวยของมานด์ซูคิช ประตู้นี้ไม่มีทางจะทำซ้ำได้อีก มันแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างได้ว่าทำไมถึงเป็นสโมสรที่ได้มาเล่นในรอบชิงชนะเลิศแชมป์เปี้ยนลีค คุณจะแค่ยิ่งใหญ่ไม่ได้ คุณจะต้องมีความพิเศษด้วย
พวกเรามีผู้เล่นที่มีความพิเศษหลายคน แต่โชคร้ายนะครับ มาดริดมีมากกว่า ในช่วงครึ่งหลัง ผมตระหนักรู้แล้วว่า พวกเรายังขาดเครื่องมือรึชิ้นส่วนที่ต้องการ เรามีผู้เล่น 2 คนในสนามที่แทบจะยืนไม่ไหว และมาดริดก็เล่นได้อย่างชาญฉลาด พวกเขาดูผ่อนคลาย และปราศจากความกังวล
การที่จะไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้ คุณต้องการพรสวรรค์และโชค การที่จะชนะในรอบชิงชนะเลิศได้คุณแค่ต้องเป็นทีมที่ดีกว่า มันอาจจะฟังดูแปลกไปสักหน่อย แต่คืนนั้นผมเดินออกจากสนามด้วยใจที่สงบมาก เพราะผมรู้อยู่แล้วว่าพวกเราไม่ใช่ทีมที่ดีกว่า มันก็แค่นั้นล่ะครับ
ผมพร้อมกับทีมออกจากคาร์ดิฟ์และกลับมายังอิตาลี ในบ่ายวันถัดมา ผมก็ได้กลับมาถึงบ้าน ผมตั้งคำถามกับตัวเอง นี่เรามาสุดทางแล้วใช่ไหม ? นี่คือดีที่สุดแล้วที่ผมจะนำทีมนี้ไปได้แล้วใช่ไม๊?

ผมเริ่มสงสัยว่า นี่อาจจะเป็นบทสุดท้ายของเรื่องราวของผมในยูเวนตุส ส่วนนึงในตัวผมคิดถึงการเดินเข้าไปในเช้าวันจันทร์ จากนั้นก็ลาออก
จากนั้นผมก็เริ่มคิดว่า ทำไมผมถึงเลือกอาชีพผู้จัดการทีมตั้งแต่แรก ?
เราต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนที่ผมอายุ 14 ปี นั่นเป็นตอนที่ทุกอย่างเริ่มจะยุ่งยาก ตอนที่ผมเป็นแค่เด็กชายตัวเล็กๆ ผมจำได้ถึงชีวิตที่แสนจะเรียบง่ายธรรมดา ผมเป็นเด็กเงียบๆ มีความสุข ความทรงจำที่ดีที่สุดของผมคือคุณตาพาผมไปขี่ม้ากับท่านในลืเวอร์โน่ นั่นคือทุกอย่างที่ผมจำได้ ขี่ม้า ฟุตบอล ทานอาหารเย็นกับคุณแม่ ผมไม่ชอบไปโรงเรียน แต่ตอนนั้นโรงเรียนก็ยังไม่ได้แย่มากนัก
จนเมื่อผมอายุ 14 ทุกอย่างก็เริ่มแย่
“มัซซี่ เธอห้ามโดดเรียนนะ !! เธอต้องทำข้อสอบอันนี้! เธอต้องนั่งนิ่งๆและเรียนเรื่องนโปเลียนนะ!
ผมเกลียดโรงเรียน โคตรเกลียดเลย
ผมจำได้ว่า วันนึงผมนั่งอยู่ในชั้นเรียน คุณครูกำลังโกรธมากด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ผมตระหนักรู้ได้ทันที ตอนนั้นผมได้บอกกับตัวว่า ผมไม่มีทางจะเป็นนักเรียนที่ดีได้แน่นอน แต่ผมน่าจะเป็นครูใหญ่ที่ดีได้
บางทีฝันของผู้จัดการทีมฟุตบอลทุกคนคืออยากเป็นครูใหญ่ อิลเพรซซิเด้

แม้กระทั่งตอนที่ผมเป็นวัยรุ่นและเล่นฟุตบอลอยู่ ผมก็ยังอยากจะเป็นครู ผมเคยถกประเด็นบางอย่างกับโค้ชของผม แต่ไม่ใช่เรื่องอยากลงเล่นให้มากขึ้นรึอะไรทำนองนั้นนะครับ มันเป็นเพราะว่าแม้กระทั่งในตอนนั้น ผมก็อยากให้ทีมเล่นในแบบของผม จนเมื่อผมแขวนสตั๊ด และแสดงเจตจำนงว่าสนใจในการคุมทีม ผู้คนจำนวนมากก็คิดว่ามันคงจะไม่ประสบความสำเร็จ
แม้กระทั่งงานแรกในอาชีพผู้จัดการทีมของผม เมื่อ20ปีที่แล้ว ผมได้บอกปัดข้อเสนองานจากปิตโตเซ่ไปเพียงเพราะว่าผมไม่อยากไปนังในชั้นเรียน... เพื่อที่จะได้ใบอนุญาตการเป็นผู้จัดการทีม มันมีกฏอยู่ว่าผมต้องไปโรงเรียนเป็นเวลา 1 เดือนและอยู่ในชั้นเรียน 5 ชั่วโมงต่อวัน ผมนึกย้อนไปในวัยเด็กอีกครั้ง นี่มันฝันร้ายชัดๆ แต่ถ้าผมเลือกไปที่โคเวียร์ชาโน ผมจะได้ใบอนุญาตภายใน 15 วัน โดยแลกกับการเข้าชั้นเรียนเพียง 2 ชั่วโมงต่อวัน และเวลาที่เหลือใช้ไปกับการฝึกสอนภาคสนาม
บางทีอาจจะดูว่าผมหัวแข็งไปสักหน่อย โดยเฉพาะตอนนี้ที่เกมฟุตบอลได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก พวกสื่อมวลชนทั้งหลาย พวกเขามักจะพูดถึงเกี่ยวกับแผนการเล่น พวกเขามักจะพูดถึงเกี่ยวกับตัวเลข
3-5-2.
5-4-1.
4-2-3-1.
“คุณอัลเกรี่ครับ คุณจะเลือกแผนการเล่นแบบไหน พวกเราต้องการทราบนะครับ”
ตอนอยู่ในสนาม มันจะซับซ้อนกว่านั้นเยอะนะครับ 3-5-2 มันจะเป็น 3-5-2 ตอนที่เรามีบอล แต่ตอนที่เราไม่มีบอล มันก็อาจจะกลายเป็น 5-4-1 หรือไม่ก็กลายเป็นแบบอื่นๆ
สิ่งที่สำคัญคือ รูปทรง ระเบียบวินัย และสัญชาตญาณ ผมคิดว่าสัญชาตญาณเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ตอนที่ผมไม่เชื่อสัญชาตญาณของตัวเอง รึตอนที่ผมสงสัยในตัวเอง นั่นจะเป็นเวลาที่ผมจะทำผิดพลาด ในการเป็นผู้จัดการทีม ส่วนใหญ่คุณจะได้เรียนรู้จากความผิดพลาด ฉนั้นแล้วเมื่อมาคิดถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในสายอาชีพของผม มันไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับสคูเด็ตโต้ รึ แชมป์เปี้ยนลีคเลย
มันคือวันที่ผมถูกไล่ออกจากมิลาน มันไม่มีอะไรน่าแปลกใจหรอกนะครับ ผมรู้ว่ายังไงผมก็จะถูกปลด พวกเขาทำอย่างให้เกียรติ พวกเขาบอกผมตัวต่อตัวว่าผมจะไม่ได้เป็นผู้จัดการทีมแล้วนะ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความผิดหวังของผมลดลงไปหรอกนะครับ ผมรู้อยู่ในหัวเสมอมาว่าการถูกไล่ออกเป็นส่วนนึงในชีวิตอาชีพผู้จัดการทีม ข้อเท็จจริงยังไงก็ห้ามความรู้สึกในหัวใจของผมไม่ได้ว่าผมล้มเหลว
ตอนที่ผมเดินออกมาจากมิลาน ผมมองว่านั่นคือความล้มเหลวในอาชีพของผม

บางครั้งผมดูเหมือนจะไม่ทุกข์ร้อนอนาทรใดๆ แต่ในความเป็นจริงนั่นก็เป็นส่วนนึงของตัวผม ในการเป็นผู้จัดการทีม คุณต้องปล่อยวางอะไรบางอย่างเพื่อที่จะสามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้ ผมรักฟุตบอล และผมก็มีความสุขกับงานของผม นั่นคือสาเหตุที่ผมจะกลับไปทำงานนี้ในทุกๆเช้า แต่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตตลอด 24 ชม.ของผม ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในแต่ละวันของผมก็คือ 9 โมงเช้า
เอ่อ จะว่าไป ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของผม ในแต่ละวันน่าจะเป็น 7 โมงเช้าต่างหากละครับ มันคือตอนที่ผมได้อยู่กับเอสเพรซโซ่แก้วโปรดของผม แต่ช่วงเวลาที่สำคัญลำดับที่ 2 ก็คือ 9โมงเช้านั่นละครับ เป็นเวลาที่ผมพาเจ้าลูกชายคนเล็ก จอร์จิโอ้ ไปส่งที่โรงเรียน บางทีอาจจะแตกต่างจากคนอื่นนะครับ แต่ผมจะไม่มีวันเป็นผู้จัดการทีมแบบกึ่งสำเร็จรูป ผมไม่มีวันจะเป็นอะไรที่ไม่ใช่ตัวผมได้แน่ ผมเป็นได้แต่ตัวของตัวเองเท่านั้น
ตอนที่ผมมาถึงยูเวนตุสเมื่อ 3 ปีก่อน ตอนแรก ผมไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนักเพราะ สโมสรแห่งนี้เพิ่งจะประสบความสำเร็จมามากมายภายใต้การคุมทีมของคุณคอนเต้ แต่เมื่อมีผู้เล่นเข้ามา ผมค่อยๆเปลี่ยนแปลงทีมไปในแนวทางที่ผมเห็นสมควรอย่างช้าๆ พื้นที่ตรงไหนที่เราจะให้ผู้เล่นประสานงานกัน ? ทำอย่างไรเราถึงจะมีเกมรุกที่ดีขึ้น? ทำอย่างไรเราถึงจะมีความยืดหยุ่นทางเทคติค ?
และเมื่อถึงฤดูกาลที่พวกเรามาถึงนัดชิงชนะเลิศแชมป์เปี้ยนลีค ความรู้สึกมันราวกับค่ำคืนที่ ลา สกาล่า ทุกสิ่งทุกอย่างมาบรรจบเข้าด้วยกัน ผู้คนมากมายกำลังเฝ้าชม บรรยากาศ อารมณ์ ความคาดหวัง มันแทบจะหาอะไรมาเทียบไม่ได้นอกจะนิยามว่ามันราวกับการแสดงโอเปร่า
เพียงแค่ ถ้ามันไม่ได้จบโดยการที่เราแพ้แก่ บาร์เซโลน่า ผมรู้สึกผิดหวังมากก็จริง แต่ผมก็รู้นะ ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากความพ่ายแพ้ครั้งนี้

เมื่อเรามาถึงรอบชิงชนะเลิศแชมป์เปี้ยนลีคกับรีลมาดริด อีกครั้งในฤดูกาลนี้ (2017) ผมคิดจริงๆนะครับ ว่าผมเตรียมการไว้พร้อมแล้ว อะไรที่เราขาด อะไรที่เราต้องทำ ทั้งในทางเทคนิค และเทคติค
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ ผมเห็นมาริโอ ทำประตูสุดสวยลูกนั้น ผมเริ่มคิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นเวลาของเรา
สุดท้ายก็อย่างที่ทราบกัน ประจักษ์ชัดว่า ยังไม่ใช่ในคราวนี้
เมื่อตอนที่ผมกลับบ้านหลังจากความพ่ายแพ้ ผมเริ่มคิดว่า ผมจะทำยังไงต่อไป ? ทำไมผมถึงเลือกอาชีพผู้จัดการทีมตั้งแต่แรก ? ผมยังคิดถึงคุณตาของผม ท่านเป็นช่างก่อหินที่ขยันและทำงานหนัก เมื่อตอนผมยังเด็ก คุณตาจะมาดูตอนผมลงเล่นทุกนัด โดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเราแพ้รึชนะ คุณตาแทบไม่ได้สนใจอะไรเกี่ยวกับฟุตบอลเลย
“Bel gioco, Massi. Ora vuoi andare a vedere i cavalli?”
คุณตาพูดว่า “มัซซี่ เป็นเกมที่ดีนะ แต่ตอนนี้เราไปดูม้ากันไม๊?”
คุณตาไม่เคยถามผมเกี่ยวกับฟุตบอลด้วยซ้ำ ท่านสนแค่ว่าผมสนุกรึเปล่า และท่านมาเพียงเพื่อจะดูผมเท่านั้น
นี่คือสิ่งที่มีค่าที่อยู่ในตัวของผม เป็นเรื่องธรรมดานะครับที่มีความกดดันอย่างสูงมากในฟุตบอลระดับนี้ แต่ผมจะพยายามเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ทำไมผมถึงทำสิ่งนี้ ? ผมจะไม่คิดว่าตัวเองเป็นผู้จัดการทีม ผมจะคิดว่าตัวผมเป็น ผู้ฝึกสอนเยาวชน
ผมคิดแบบนี้เพราะว่าผมรักในการสอน มันคือความสุขสุดยอดในชีวิตของผมเลยล่ะ ผมชอบที่จะทำให้ผู้เล่นเป็นผู้เล่นที่ดีขึ้นและฉลาดขึ้น
เมื่อผมคิดถึงทีมยูเวนตุสในตอนนี้ การตัดสินใจของผมก็จะออกไปในทางส่วนตัวสักหน่อย ผมว่าผมยังมีอะไรอีกเยอะให้พิสูจน์ตัวเอง และผมรู้ว่าผมยังมีอะไรอีกเยอะที่จะสอน
ก่อนจะเข้านอนคืนนั้น ผมตัดสินใจได้แล้วว่า สโมสรแห่งนี้มาถึงตรงนี้ได้ด้วยการวางแผนของผม พวกเราจะร่วมก้าวต่อไปด้วยกัน ดังนั้นผมควรที่จะอยู่ต่อ
สมองของผมปลอดโปร่งในเช้าวันถัดมา ผมไปที่สำนักงานดื่มเอสเพรซโซ่แก้วโปรดตอน 7 โมงเช้า มันเป็นฤดูกาลใหม่ มีโอกาสใหม่ๆให้ไข่วคว้า พวกสื่อพูดถึงเราในหลายประเด็น เกี่ยวกับสโมสร เกี่ยวกับผู้เล่น เกี่ยวกับสิ่งที่เราจะทำได้รึทำไม่ได้

ผมมองไปที่ดิบาล่า เด็กแสนฉลาดที่กำลังจะเข้าเรียนปีหนึ่ง มองไปที่บุฟฟ่อน กับแชมป์โลก ที่เหมือนกับปริญญาเอกของเขา คนนึงมีเส้นทางอาชีพที่สดใสทอดอยู่เบื้องหน้า คนนึงใกล้จะจบลง คนนึงอยากแสดงให้เห็นว่าเขาทำอะไรได้บ้างเพื่อที่จะเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ในยุโรป อีกคนยิ่งใหญ่อยู่แล้ว แต่อยากปิดตำนานของตัวเองลงในระดับสูง
ผมรู้ว่าเราสามารถสลัดความเจ็บปวดจากคาร์ดิฟไปได้ ผมรู้ว่าเราจะมีฤดูกาลใหม่ที่ดี ผมรู้ว่าเราจะมีเส้นทางในแชมป์เปี้ยนลีคที่ยอดเยี่ยม
ผมรู้ว่าเช้าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร รวมไปเช้าวันถัดไปและถัดไปอีกเบื้องหน้า
ตอนนี้ผมต้องไปสานงานต่อ พวกเราจะพยายามให้มีค่ำคืนที่สกาล่าอีกครั้ง ข้อดีของโอเปร่าก็คือในทุกๆปีมันจะมีโชว์ใหม่ๆเสมอ

sources
https://www.theplayerstribune.com/en-us/articles/massimiliano-allegri-juventus-il-preside
https://www.theplayerstribune.com/en-us/articles/massimiliano-allegri-juventus-the-principal
【**♘♞ กระทู้แก้บน เรื่องเล่าของ มัสซีมีเลียโน อัลเลกรี ♘♞**】
มัสซีมีเลียโน อัลเลกรี สโมสรยูเวนตุส 11 สิงหาคม 2017
ตอนที่ผมเห็นมาริโอ มานด์ซูคิช ส่งบอลข้ามผู้รักษาประตูรีลมาดริด ผมคิดในใจว่า “ว้าว ..ไม่แน่เหมือนกันนะ”
จากนั้นเมื่อบอลเข้าไปตุงตาข่าย ผมเริ่มคิดว่า “โอเค บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสของเรา”
มันเป็นการเข้าทำที่ยอดเยี่ยมและเปี่ยมไปด้วยเทคนิคของผู้เล่นเรา จากนั้นก็เป็นการจบสกอร์สุดสวยของมานด์ซูคิช ประตู้นี้ไม่มีทางจะทำซ้ำได้อีก มันแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างได้ว่าทำไมถึงเป็นสโมสรที่ได้มาเล่นในรอบชิงชนะเลิศแชมป์เปี้ยนลีค คุณจะแค่ยิ่งใหญ่ไม่ได้ คุณจะต้องมีความพิเศษด้วย
พวกเรามีผู้เล่นที่มีความพิเศษหลายคน แต่โชคร้ายนะครับ มาดริดมีมากกว่า ในช่วงครึ่งหลัง ผมตระหนักรู้แล้วว่า พวกเรายังขาดเครื่องมือรึชิ้นส่วนที่ต้องการ เรามีผู้เล่น 2 คนในสนามที่แทบจะยืนไม่ไหว และมาดริดก็เล่นได้อย่างชาญฉลาด พวกเขาดูผ่อนคลาย และปราศจากความกังวล
การที่จะไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้ คุณต้องการพรสวรรค์และโชค การที่จะชนะในรอบชิงชนะเลิศได้คุณแค่ต้องเป็นทีมที่ดีกว่า มันอาจจะฟังดูแปลกไปสักหน่อย แต่คืนนั้นผมเดินออกจากสนามด้วยใจที่สงบมาก เพราะผมรู้อยู่แล้วว่าพวกเราไม่ใช่ทีมที่ดีกว่า มันก็แค่นั้นล่ะครับ
ผมพร้อมกับทีมออกจากคาร์ดิฟ์และกลับมายังอิตาลี ในบ่ายวันถัดมา ผมก็ได้กลับมาถึงบ้าน ผมตั้งคำถามกับตัวเอง นี่เรามาสุดทางแล้วใช่ไหม ? นี่คือดีที่สุดแล้วที่ผมจะนำทีมนี้ไปได้แล้วใช่ไม๊?
ผมเริ่มสงสัยว่า นี่อาจจะเป็นบทสุดท้ายของเรื่องราวของผมในยูเวนตุส ส่วนนึงในตัวผมคิดถึงการเดินเข้าไปในเช้าวันจันทร์ จากนั้นก็ลาออก
จากนั้นผมก็เริ่มคิดว่า ทำไมผมถึงเลือกอาชีพผู้จัดการทีมตั้งแต่แรก ?
เราต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนที่ผมอายุ 14 ปี นั่นเป็นตอนที่ทุกอย่างเริ่มจะยุ่งยาก ตอนที่ผมเป็นแค่เด็กชายตัวเล็กๆ ผมจำได้ถึงชีวิตที่แสนจะเรียบง่ายธรรมดา ผมเป็นเด็กเงียบๆ มีความสุข ความทรงจำที่ดีที่สุดของผมคือคุณตาพาผมไปขี่ม้ากับท่านในลืเวอร์โน่ นั่นคือทุกอย่างที่ผมจำได้ ขี่ม้า ฟุตบอล ทานอาหารเย็นกับคุณแม่ ผมไม่ชอบไปโรงเรียน แต่ตอนนั้นโรงเรียนก็ยังไม่ได้แย่มากนัก
จนเมื่อผมอายุ 14 ทุกอย่างก็เริ่มแย่
“มัซซี่ เธอห้ามโดดเรียนนะ !! เธอต้องทำข้อสอบอันนี้! เธอต้องนั่งนิ่งๆและเรียนเรื่องนโปเลียนนะ!
ผมเกลียดโรงเรียน โคตรเกลียดเลย
ผมจำได้ว่า วันนึงผมนั่งอยู่ในชั้นเรียน คุณครูกำลังโกรธมากด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ผมตระหนักรู้ได้ทันที ตอนนั้นผมได้บอกกับตัวว่า ผมไม่มีทางจะเป็นนักเรียนที่ดีได้แน่นอน แต่ผมน่าจะเป็นครูใหญ่ที่ดีได้
บางทีฝันของผู้จัดการทีมฟุตบอลทุกคนคืออยากเป็นครูใหญ่ อิลเพรซซิเด้
แม้กระทั่งตอนที่ผมเป็นวัยรุ่นและเล่นฟุตบอลอยู่ ผมก็ยังอยากจะเป็นครู ผมเคยถกประเด็นบางอย่างกับโค้ชของผม แต่ไม่ใช่เรื่องอยากลงเล่นให้มากขึ้นรึอะไรทำนองนั้นนะครับ มันเป็นเพราะว่าแม้กระทั่งในตอนนั้น ผมก็อยากให้ทีมเล่นในแบบของผม จนเมื่อผมแขวนสตั๊ด และแสดงเจตจำนงว่าสนใจในการคุมทีม ผู้คนจำนวนมากก็คิดว่ามันคงจะไม่ประสบความสำเร็จ
แม้กระทั่งงานแรกในอาชีพผู้จัดการทีมของผม เมื่อ20ปีที่แล้ว ผมได้บอกปัดข้อเสนองานจากปิตโตเซ่ไปเพียงเพราะว่าผมไม่อยากไปนังในชั้นเรียน... เพื่อที่จะได้ใบอนุญาตการเป็นผู้จัดการทีม มันมีกฏอยู่ว่าผมต้องไปโรงเรียนเป็นเวลา 1 เดือนและอยู่ในชั้นเรียน 5 ชั่วโมงต่อวัน ผมนึกย้อนไปในวัยเด็กอีกครั้ง นี่มันฝันร้ายชัดๆ แต่ถ้าผมเลือกไปที่โคเวียร์ชาโน ผมจะได้ใบอนุญาตภายใน 15 วัน โดยแลกกับการเข้าชั้นเรียนเพียง 2 ชั่วโมงต่อวัน และเวลาที่เหลือใช้ไปกับการฝึกสอนภาคสนาม
บางทีอาจจะดูว่าผมหัวแข็งไปสักหน่อย โดยเฉพาะตอนนี้ที่เกมฟุตบอลได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก พวกสื่อมวลชนทั้งหลาย พวกเขามักจะพูดถึงเกี่ยวกับแผนการเล่น พวกเขามักจะพูดถึงเกี่ยวกับตัวเลข
3-5-2.
5-4-1.
4-2-3-1.
“คุณอัลเกรี่ครับ คุณจะเลือกแผนการเล่นแบบไหน พวกเราต้องการทราบนะครับ”
ตอนอยู่ในสนาม มันจะซับซ้อนกว่านั้นเยอะนะครับ 3-5-2 มันจะเป็น 3-5-2 ตอนที่เรามีบอล แต่ตอนที่เราไม่มีบอล มันก็อาจจะกลายเป็น 5-4-1 หรือไม่ก็กลายเป็นแบบอื่นๆ
สิ่งที่สำคัญคือ รูปทรง ระเบียบวินัย และสัญชาตญาณ ผมคิดว่าสัญชาตญาณเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ตอนที่ผมไม่เชื่อสัญชาตญาณของตัวเอง รึตอนที่ผมสงสัยในตัวเอง นั่นจะเป็นเวลาที่ผมจะทำผิดพลาด ในการเป็นผู้จัดการทีม ส่วนใหญ่คุณจะได้เรียนรู้จากความผิดพลาด ฉนั้นแล้วเมื่อมาคิดถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในสายอาชีพของผม มันไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับสคูเด็ตโต้ รึ แชมป์เปี้ยนลีคเลย
มันคือวันที่ผมถูกไล่ออกจากมิลาน มันไม่มีอะไรน่าแปลกใจหรอกนะครับ ผมรู้ว่ายังไงผมก็จะถูกปลด พวกเขาทำอย่างให้เกียรติ พวกเขาบอกผมตัวต่อตัวว่าผมจะไม่ได้เป็นผู้จัดการทีมแล้วนะ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความผิดหวังของผมลดลงไปหรอกนะครับ ผมรู้อยู่ในหัวเสมอมาว่าการถูกไล่ออกเป็นส่วนนึงในชีวิตอาชีพผู้จัดการทีม ข้อเท็จจริงยังไงก็ห้ามความรู้สึกในหัวใจของผมไม่ได้ว่าผมล้มเหลว
ตอนที่ผมเดินออกมาจากมิลาน ผมมองว่านั่นคือความล้มเหลวในอาชีพของผม
บางครั้งผมดูเหมือนจะไม่ทุกข์ร้อนอนาทรใดๆ แต่ในความเป็นจริงนั่นก็เป็นส่วนนึงของตัวผม ในการเป็นผู้จัดการทีม คุณต้องปล่อยวางอะไรบางอย่างเพื่อที่จะสามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้ ผมรักฟุตบอล และผมก็มีความสุขกับงานของผม นั่นคือสาเหตุที่ผมจะกลับไปทำงานนี้ในทุกๆเช้า แต่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตตลอด 24 ชม.ของผม ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในแต่ละวันของผมก็คือ 9 โมงเช้า
เอ่อ จะว่าไป ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของผม ในแต่ละวันน่าจะเป็น 7 โมงเช้าต่างหากละครับ มันคือตอนที่ผมได้อยู่กับเอสเพรซโซ่แก้วโปรดของผม แต่ช่วงเวลาที่สำคัญลำดับที่ 2 ก็คือ 9โมงเช้านั่นละครับ เป็นเวลาที่ผมพาเจ้าลูกชายคนเล็ก จอร์จิโอ้ ไปส่งที่โรงเรียน บางทีอาจจะแตกต่างจากคนอื่นนะครับ แต่ผมจะไม่มีวันเป็นผู้จัดการทีมแบบกึ่งสำเร็จรูป ผมไม่มีวันจะเป็นอะไรที่ไม่ใช่ตัวผมได้แน่ ผมเป็นได้แต่ตัวของตัวเองเท่านั้น
ตอนที่ผมมาถึงยูเวนตุสเมื่อ 3 ปีก่อน ตอนแรก ผมไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนักเพราะ สโมสรแห่งนี้เพิ่งจะประสบความสำเร็จมามากมายภายใต้การคุมทีมของคุณคอนเต้ แต่เมื่อมีผู้เล่นเข้ามา ผมค่อยๆเปลี่ยนแปลงทีมไปในแนวทางที่ผมเห็นสมควรอย่างช้าๆ พื้นที่ตรงไหนที่เราจะให้ผู้เล่นประสานงานกัน ? ทำอย่างไรเราถึงจะมีเกมรุกที่ดีขึ้น? ทำอย่างไรเราถึงจะมีความยืดหยุ่นทางเทคติค ?
และเมื่อถึงฤดูกาลที่พวกเรามาถึงนัดชิงชนะเลิศแชมป์เปี้ยนลีค ความรู้สึกมันราวกับค่ำคืนที่ ลา สกาล่า ทุกสิ่งทุกอย่างมาบรรจบเข้าด้วยกัน ผู้คนมากมายกำลังเฝ้าชม บรรยากาศ อารมณ์ ความคาดหวัง มันแทบจะหาอะไรมาเทียบไม่ได้นอกจะนิยามว่ามันราวกับการแสดงโอเปร่า
เพียงแค่ ถ้ามันไม่ได้จบโดยการที่เราแพ้แก่ บาร์เซโลน่า ผมรู้สึกผิดหวังมากก็จริง แต่ผมก็รู้นะ ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากความพ่ายแพ้ครั้งนี้
เมื่อเรามาถึงรอบชิงชนะเลิศแชมป์เปี้ยนลีคกับรีลมาดริด อีกครั้งในฤดูกาลนี้ (2017) ผมคิดจริงๆนะครับ ว่าผมเตรียมการไว้พร้อมแล้ว อะไรที่เราขาด อะไรที่เราต้องทำ ทั้งในทางเทคนิค และเทคติค
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ ผมเห็นมาริโอ ทำประตูสุดสวยลูกนั้น ผมเริ่มคิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นเวลาของเรา
สุดท้ายก็อย่างที่ทราบกัน ประจักษ์ชัดว่า ยังไม่ใช่ในคราวนี้
เมื่อตอนที่ผมกลับบ้านหลังจากความพ่ายแพ้ ผมเริ่มคิดว่า ผมจะทำยังไงต่อไป ? ทำไมผมถึงเลือกอาชีพผู้จัดการทีมตั้งแต่แรก ? ผมยังคิดถึงคุณตาของผม ท่านเป็นช่างก่อหินที่ขยันและทำงานหนัก เมื่อตอนผมยังเด็ก คุณตาจะมาดูตอนผมลงเล่นทุกนัด โดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเราแพ้รึชนะ คุณตาแทบไม่ได้สนใจอะไรเกี่ยวกับฟุตบอลเลย
“Bel gioco, Massi. Ora vuoi andare a vedere i cavalli?”
คุณตาพูดว่า “มัซซี่ เป็นเกมที่ดีนะ แต่ตอนนี้เราไปดูม้ากันไม๊?”
คุณตาไม่เคยถามผมเกี่ยวกับฟุตบอลด้วยซ้ำ ท่านสนแค่ว่าผมสนุกรึเปล่า และท่านมาเพียงเพื่อจะดูผมเท่านั้น
นี่คือสิ่งที่มีค่าที่อยู่ในตัวของผม เป็นเรื่องธรรมดานะครับที่มีความกดดันอย่างสูงมากในฟุตบอลระดับนี้ แต่ผมจะพยายามเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ทำไมผมถึงทำสิ่งนี้ ? ผมจะไม่คิดว่าตัวเองเป็นผู้จัดการทีม ผมจะคิดว่าตัวผมเป็น ผู้ฝึกสอนเยาวชน
ผมคิดแบบนี้เพราะว่าผมรักในการสอน มันคือความสุขสุดยอดในชีวิตของผมเลยล่ะ ผมชอบที่จะทำให้ผู้เล่นเป็นผู้เล่นที่ดีขึ้นและฉลาดขึ้น
เมื่อผมคิดถึงทีมยูเวนตุสในตอนนี้ การตัดสินใจของผมก็จะออกไปในทางส่วนตัวสักหน่อย ผมว่าผมยังมีอะไรอีกเยอะให้พิสูจน์ตัวเอง และผมรู้ว่าผมยังมีอะไรอีกเยอะที่จะสอน
ก่อนจะเข้านอนคืนนั้น ผมตัดสินใจได้แล้วว่า สโมสรแห่งนี้มาถึงตรงนี้ได้ด้วยการวางแผนของผม พวกเราจะร่วมก้าวต่อไปด้วยกัน ดังนั้นผมควรที่จะอยู่ต่อ
สมองของผมปลอดโปร่งในเช้าวันถัดมา ผมไปที่สำนักงานดื่มเอสเพรซโซ่แก้วโปรดตอน 7 โมงเช้า มันเป็นฤดูกาลใหม่ มีโอกาสใหม่ๆให้ไข่วคว้า พวกสื่อพูดถึงเราในหลายประเด็น เกี่ยวกับสโมสร เกี่ยวกับผู้เล่น เกี่ยวกับสิ่งที่เราจะทำได้รึทำไม่ได้
ผมมองไปที่ดิบาล่า เด็กแสนฉลาดที่กำลังจะเข้าเรียนปีหนึ่ง มองไปที่บุฟฟ่อน กับแชมป์โลก ที่เหมือนกับปริญญาเอกของเขา คนนึงมีเส้นทางอาชีพที่สดใสทอดอยู่เบื้องหน้า คนนึงใกล้จะจบลง คนนึงอยากแสดงให้เห็นว่าเขาทำอะไรได้บ้างเพื่อที่จะเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ในยุโรป อีกคนยิ่งใหญ่อยู่แล้ว แต่อยากปิดตำนานของตัวเองลงในระดับสูง
ผมรู้ว่าเราสามารถสลัดความเจ็บปวดจากคาร์ดิฟไปได้ ผมรู้ว่าเราจะมีฤดูกาลใหม่ที่ดี ผมรู้ว่าเราจะมีเส้นทางในแชมป์เปี้ยนลีคที่ยอดเยี่ยม
ผมรู้ว่าเช้าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร รวมไปเช้าวันถัดไปและถัดไปอีกเบื้องหน้า
ตอนนี้ผมต้องไปสานงานต่อ พวกเราจะพยายามให้มีค่ำคืนที่สกาล่าอีกครั้ง ข้อดีของโอเปร่าก็คือในทุกๆปีมันจะมีโชว์ใหม่ๆเสมอ
sources
https://www.theplayerstribune.com/en-us/articles/massimiliano-allegri-juventus-il-preside
https://www.theplayerstribune.com/en-us/articles/massimiliano-allegri-juventus-the-principal