บทกำหนดโทษ เมื่อนายจ้างไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่นเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ไม่จ่ายค่าจ้าง(เงินเดือนและค่าจ้าง) ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ฯลฯ
เมื่อปรากฏว่ามีการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ผู้ที่กระทำการฝ่าฝืนจะต้องถูกลงโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (1) การเปรียบเทียบปรับโดยคณะกรรมการเปรียบเทียบ ในกรณีที่ได้มีการพิจารณาและปรากฏหลักฐานโดยแน่ชัดแล้วว่าได้มีการกระทำที่ฝ่าฝืนจากบทบัญญัติที่กฎหมายได้กำหนดไว้ คณะกรรมการเปรียบเทียบซึ่งประกอบด้วยอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน อธิบดีกรรมตำรวจหรือผู้แทนและอัยการสูงสุดหรือผู้แทน มีสิทธิที่จะดำเนินการเปรียบเทียบปรับได้ ตามแต่จะพิจารณาเห็นสมควรแต่ไม่เกินไปกว่าอัตราโทษตามที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายดังกล่าวมาแล้ว อำนาจของเจ้าหน้าที่ตามขอบเขตของกฎหมาย ในกฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รักษาการตามกฎหมาย ในปัจจุบันนี้คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม และยังได้กำหนดให้อำนาจแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายดังนี้คือ อำนาจในการตรวจสอบ และเรียนพยานหลักฐาน พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ทำงานเพื่อตรวจตราสอบถามข้อเท็จจริง และมีอำนาจเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง รวมทั้งให้ส่งหลักฐานหรือเอกสารต่าง ๆ ได้ ผู้ใดขัดขืนถือว่าเป็นความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานหรือฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานแล้วแต่กรณี อำนาจในการให้คำเตือน เมื่อปรากฏว่านายจ้างได้มีการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติให้เป็นตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงาน พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจที่จะให้คำเตือนแก่นายจ้างเพื่อให้นายจ้างได้ปฏิบัติการให้ถูกต้องตามคำเตือนได้ให้ว่า โดยกำหนดระยะเวลาที่จะให้นายจ้างปฏิบัติตามคำเตือนนั้น ๆ ก่อนที่จะดำเนินการลงโทษให้เป็นไปตามกฎหมายก็ได้ เป็นทนายความดำเนินคดีให้ลูกจ้าง ในกรณีที่ลูกจ้างยากจนและคดีมีมูล กฎหมายกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งมีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางนิติศาสตร์ มีอำนาจกระทำการเป็นทนายความดำเนินคดีให้ลูกจ้างซึ่งมีข้อพิพาทแรงงานกับนายจ้างได้ เมื่อแจ้งให้ศาลทราบแล้วจะมีอำนาจอำเนินคดีได้ตลอดถึงศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา การดำเนินการบังคับให้ปฏิบัติตามกฎหมาย เมื่อนายจ้างไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่นเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ไม่จ่ายค่าจ้าง(เงินเดือนและค่าจ้าง) ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ฯลฯ สามารถดำเนินการบังคับให้ปฏิบัติตามกฎหมายได้โดย เจ้าหน้าที่พบการกระทำความผิดเอง หรือลูกจ้างยื่นคำร้องต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ผู้พบการกระทำความผิดจะให้คำเตือน ให้นายจ้างปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายในเรื่องดังกล่าว ถ้านายจ้างไม่ปฏิบัติตามภายในกำหนด จึงจะดำเนินคดีอาญากับนายจ้าง โดยส่งเรื่องให้นิติกรดำเนินการเรียกนายจ้างมาพบและแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบ ถ้านายจ้างยอมรับสภาพความผิดและยินยอมให้เปรียบเทียบ (พร้อมทั้งนัดชำระเงินด้วยในกรณีที่มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินต่าง ๆ ตามกฎหมาย นิติกรจะได้นำเรื่องเข้าคณะกรรมการเปรียบเทียบซึ่งประกอบด้วยอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กรมแรงงาน) เปรียบเทียบ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ คณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ จึงมีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้ไม่เกินสองหมื่นบาทในความผิดแต่ละข้อหา และถ้านายจ้างเป็นนิติบุคคล คณะกรรมการจะทำการเปรียบเทียบปรับทั้งแก่นิติบุคคลผู้มีอำนาจกระทำการแทน ตลอดจนผู้ได้รับมอบหมายจากผู้มีอำนาจกระทำการแทนเรียงตัวเป็นแต่ละบุคคล เมื่อคณะกรรมการมีมติให้เปรียบเทียบปรับนายจ้าง และนายจ้างชำระค่าปรับแล้วคดีอาญาเป็นอันยุติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 37 แต่ถ้านายจ้างไม่ยินยอมให้เปรียบเทียบหรือยินยอมให้เปรียบเทียบ แต่ไม่นำค่าปรับมาชำระภายในกำหนด นิติกรจะดำเนินคดีอาญาต่อนายจ้างทางพนักงานสอบสวนต่อไปซึ่งพนักงานสอบสวนจะได้ดำเนินการสอบสวน ซึ่งพนักงานสอบสวนจะต้องส่งเรื่องกลับมาให้คณะกรรมการเปรียบเทียบทำการเปรียบเทียบปรับ พนักงานสอบสวนจะทำการเปรียบเทียบปรับเองไม่ได้ เว้นแต่ในกรณีที่มีการออกหมายจับไปแล้ว พนักงานสอบสวนจึงจะดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาต่อไป โดยไม่ต้องส่งเรื่องกลับมายังคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ แต่ถ้าเป็นการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นในส่วนภูมิภาค ลูกจ้างยื่นคำร้องต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดนั้น ๆ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้พบการกระทำผิดประจำสำนักงานนั้น ๆ จะให้คำเตือนให้นายจ้างปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย ถ้านายจ้างไม่ปฏิบัติภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ พนักงานเจ้าหน้าที่จึงจะดำเนินคดีอาญาต่อนายจ้าง โดยเป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหาต่อนายจ้าง หากนายจ้างยินยอมรับสารภาพในข้อที่กล่าวหา และยินยอมให้เปรียบเทียบ พนักงานเจ้าหน้าที่ก็จะส่งเรื่องให้กองงนิติการ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน นำเสนอคณะกรรมการทำการเปรียบเทียบพร้อมเรื่องเดิมคืนไปยังสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดนั้น ๆ เพื่อแจ้งให้นายจ้างนำค่าปรับมาชำระภายในกำหนดต่อไป ถ้านายจ้างนำค่าปรับมาชำระคดีอาญาก็เป็นอันเลิกกัน แต่ถ้านายจ้างไม่ยินยอมให้เปรียบเทียบหรือไม่ชำระค่าปรับภายในกำหนด พนักงานเจ้าของเรื่องจะเป็นผู้ไปดำเนินคดีอาญาในชั้นพนักงานสอบสวนต่อไป แต่ถ้าลูกจ้านายจ้างหรือบุคคลอื่นได้ไปร้องทุกข์หรือกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนว่ามีการกระทำความผิดตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน พนักงานสอบสวนจะต้องแจ้งเรื่องไปยังกองนิติการ สำหรับส่วนกลาง หรือสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสำหรับส่วนภูมิภาคเพื่อดำเนินการในชั้นเปรียบเทียบก่อนโดยให้ผู้ร้องทุกข์หรือกล่าวโทษเป็นผู้ถือหนังสือแจ้งนั้นไป การยื่นฟ้องศาลแรงงาน ถ้านายจ้างไม่ประสงค์ที่จะร้องเรียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ลูกจ้างก็มีสิทธิที่จะดำเนินการร้องเรียน หรือยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานได้ เมื่อปรากฏว่านายจ้างไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน โดยจะยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางซึ่งตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร หรือยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดที่โจทก์หรือจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่โดยตรงเลยก็ได้ ซึ่งศาลจังหวัดจะรับฟ้องไว้แล้วแจ้งให้ศาลแรงงานกลางออกไปนั่งพิจารณาพิพากษาคดี ณ ศาลจังหวัดนั้น ๆ เอง การดำเนินคดีในศาลแรงงานนี้ไม่จำเป็นต้องมีทนายความและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิน แต่การใช้สิทธิร้องเรียนต่อศาลแรงงานโดยตรง แทนการร้องเรียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานนั้น กระทำได้ในเรื่องอื่น ๆ เว้นแต่การใช้สิทธิเรื่องเงินทดแทนจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนที่กฎหมายที่กฎหมายกำหนดเอาไว้เสียก่อนจึงจะไป ใช้สิทธิทางศาลแรงงานได้ มิฉะนั้นศาลจะไม่รับฟ้อง
คดีอาญา อะไรบ้าง เมื่อนายจ้างฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้
เมื่อปรากฏว่ามีการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ผู้ที่กระทำการฝ่าฝืนจะต้องถูกลงโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (1) การเปรียบเทียบปรับโดยคณะกรรมการเปรียบเทียบ ในกรณีที่ได้มีการพิจารณาและปรากฏหลักฐานโดยแน่ชัดแล้วว่าได้มีการกระทำที่ฝ่าฝืนจากบทบัญญัติที่กฎหมายได้กำหนดไว้ คณะกรรมการเปรียบเทียบซึ่งประกอบด้วยอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน อธิบดีกรรมตำรวจหรือผู้แทนและอัยการสูงสุดหรือผู้แทน มีสิทธิที่จะดำเนินการเปรียบเทียบปรับได้ ตามแต่จะพิจารณาเห็นสมควรแต่ไม่เกินไปกว่าอัตราโทษตามที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายดังกล่าวมาแล้ว อำนาจของเจ้าหน้าที่ตามขอบเขตของกฎหมาย ในกฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รักษาการตามกฎหมาย ในปัจจุบันนี้คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม และยังได้กำหนดให้อำนาจแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายดังนี้คือ อำนาจในการตรวจสอบ และเรียนพยานหลักฐาน พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ทำงานเพื่อตรวจตราสอบถามข้อเท็จจริง และมีอำนาจเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง รวมทั้งให้ส่งหลักฐานหรือเอกสารต่าง ๆ ได้ ผู้ใดขัดขืนถือว่าเป็นความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานหรือฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานแล้วแต่กรณี อำนาจในการให้คำเตือน เมื่อปรากฏว่านายจ้างได้มีการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติให้เป็นตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงาน พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจที่จะให้คำเตือนแก่นายจ้างเพื่อให้นายจ้างได้ปฏิบัติการให้ถูกต้องตามคำเตือนได้ให้ว่า โดยกำหนดระยะเวลาที่จะให้นายจ้างปฏิบัติตามคำเตือนนั้น ๆ ก่อนที่จะดำเนินการลงโทษให้เป็นไปตามกฎหมายก็ได้ เป็นทนายความดำเนินคดีให้ลูกจ้าง ในกรณีที่ลูกจ้างยากจนและคดีมีมูล กฎหมายกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งมีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางนิติศาสตร์ มีอำนาจกระทำการเป็นทนายความดำเนินคดีให้ลูกจ้างซึ่งมีข้อพิพาทแรงงานกับนายจ้างได้ เมื่อแจ้งให้ศาลทราบแล้วจะมีอำนาจอำเนินคดีได้ตลอดถึงศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา การดำเนินการบังคับให้ปฏิบัติตามกฎหมาย เมื่อนายจ้างไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่นเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ไม่จ่ายค่าจ้าง(เงินเดือนและค่าจ้าง) ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ฯลฯ สามารถดำเนินการบังคับให้ปฏิบัติตามกฎหมายได้โดย เจ้าหน้าที่พบการกระทำความผิดเอง หรือลูกจ้างยื่นคำร้องต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ผู้พบการกระทำความผิดจะให้คำเตือน ให้นายจ้างปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายในเรื่องดังกล่าว ถ้านายจ้างไม่ปฏิบัติตามภายในกำหนด จึงจะดำเนินคดีอาญากับนายจ้าง โดยส่งเรื่องให้นิติกรดำเนินการเรียกนายจ้างมาพบและแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบ ถ้านายจ้างยอมรับสภาพความผิดและยินยอมให้เปรียบเทียบ (พร้อมทั้งนัดชำระเงินด้วยในกรณีที่มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินต่าง ๆ ตามกฎหมาย นิติกรจะได้นำเรื่องเข้าคณะกรรมการเปรียบเทียบซึ่งประกอบด้วยอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กรมแรงงาน) เปรียบเทียบ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ คณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ จึงมีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้ไม่เกินสองหมื่นบาทในความผิดแต่ละข้อหา และถ้านายจ้างเป็นนิติบุคคล คณะกรรมการจะทำการเปรียบเทียบปรับทั้งแก่นิติบุคคลผู้มีอำนาจกระทำการแทน ตลอดจนผู้ได้รับมอบหมายจากผู้มีอำนาจกระทำการแทนเรียงตัวเป็นแต่ละบุคคล เมื่อคณะกรรมการมีมติให้เปรียบเทียบปรับนายจ้าง และนายจ้างชำระค่าปรับแล้วคดีอาญาเป็นอันยุติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 37 แต่ถ้านายจ้างไม่ยินยอมให้เปรียบเทียบหรือยินยอมให้เปรียบเทียบ แต่ไม่นำค่าปรับมาชำระภายในกำหนด นิติกรจะดำเนินคดีอาญาต่อนายจ้างทางพนักงานสอบสวนต่อไปซึ่งพนักงานสอบสวนจะได้ดำเนินการสอบสวน ซึ่งพนักงานสอบสวนจะต้องส่งเรื่องกลับมาให้คณะกรรมการเปรียบเทียบทำการเปรียบเทียบปรับ พนักงานสอบสวนจะทำการเปรียบเทียบปรับเองไม่ได้ เว้นแต่ในกรณีที่มีการออกหมายจับไปแล้ว พนักงานสอบสวนจึงจะดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาต่อไป โดยไม่ต้องส่งเรื่องกลับมายังคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ แต่ถ้าเป็นการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นในส่วนภูมิภาค ลูกจ้างยื่นคำร้องต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดนั้น ๆ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้พบการกระทำผิดประจำสำนักงานนั้น ๆ จะให้คำเตือนให้นายจ้างปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย ถ้านายจ้างไม่ปฏิบัติภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ พนักงานเจ้าหน้าที่จึงจะดำเนินคดีอาญาต่อนายจ้าง โดยเป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหาต่อนายจ้าง หากนายจ้างยินยอมรับสารภาพในข้อที่กล่าวหา และยินยอมให้เปรียบเทียบ พนักงานเจ้าหน้าที่ก็จะส่งเรื่องให้กองงนิติการ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน นำเสนอคณะกรรมการทำการเปรียบเทียบพร้อมเรื่องเดิมคืนไปยังสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดนั้น ๆ เพื่อแจ้งให้นายจ้างนำค่าปรับมาชำระภายในกำหนดต่อไป ถ้านายจ้างนำค่าปรับมาชำระคดีอาญาก็เป็นอันเลิกกัน แต่ถ้านายจ้างไม่ยินยอมให้เปรียบเทียบหรือไม่ชำระค่าปรับภายในกำหนด พนักงานเจ้าของเรื่องจะเป็นผู้ไปดำเนินคดีอาญาในชั้นพนักงานสอบสวนต่อไป แต่ถ้าลูกจ้านายจ้างหรือบุคคลอื่นได้ไปร้องทุกข์หรือกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนว่ามีการกระทำความผิดตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน พนักงานสอบสวนจะต้องแจ้งเรื่องไปยังกองนิติการ สำหรับส่วนกลาง หรือสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสำหรับส่วนภูมิภาคเพื่อดำเนินการในชั้นเปรียบเทียบก่อนโดยให้ผู้ร้องทุกข์หรือกล่าวโทษเป็นผู้ถือหนังสือแจ้งนั้นไป การยื่นฟ้องศาลแรงงาน ถ้านายจ้างไม่ประสงค์ที่จะร้องเรียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ลูกจ้างก็มีสิทธิที่จะดำเนินการร้องเรียน หรือยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานได้ เมื่อปรากฏว่านายจ้างไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน โดยจะยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางซึ่งตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร หรือยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดที่โจทก์หรือจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่โดยตรงเลยก็ได้ ซึ่งศาลจังหวัดจะรับฟ้องไว้แล้วแจ้งให้ศาลแรงงานกลางออกไปนั่งพิจารณาพิพากษาคดี ณ ศาลจังหวัดนั้น ๆ เอง การดำเนินคดีในศาลแรงงานนี้ไม่จำเป็นต้องมีทนายความและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิน แต่การใช้สิทธิร้องเรียนต่อศาลแรงงานโดยตรง แทนการร้องเรียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานนั้น กระทำได้ในเรื่องอื่น ๆ เว้นแต่การใช้สิทธิเรื่องเงินทดแทนจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนที่กฎหมายที่กฎหมายกำหนดเอาไว้เสียก่อนจึงจะไป ใช้สิทธิทางศาลแรงงานได้ มิฉะนั้นศาลจะไม่รับฟ้อง