https://www.efinancethai.com/LastestNews/LatestNewsMain.aspx?ref=A&id=MEFyM1NOYnpQMnM9
นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส รองกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBAM เปิดเผยว่า มองเป้า SET ปีนี้ 2,000 จุด บน P/E 18 เท่า ชี้ตลาดยังผันผวน แต่ครึ่งปีหลังสดใส รับเลือกตั้ง - ราชาภิเษก ส่วนตปท.คาดจีนกระตุ้นศก.
- เฟดชะลอขึ้นดบ. - สงครามการค้าจบสวยช่วยหนุน พร้อมอวด AUM ล่าสุด ทะลุ 1.5 ล้านลบ. ประกาศปีนี้นำ AI มาลุยทั้งระบบ หวังดันยอดลูกค้าดิจิทัลแตะ 4 แสนราย
- แนวโน้มหุ้นไทย 12 เดือนข้างหน้า ประเมินว่าตลาดยังเป็นขาขึ้น ดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากระดับปัจุบันประมาณ 10 % โดยเป้าดัชนีสูงสุดของปีประเมินไว้ที่ 2,000 จุด PE ที่ 18 เท่า ส่วนแนวรับมองไว้ที่ 1,600 จุด หรือต่ำกว่าระดับดังกล่าวเล็กน้อย
- ตลาดหุ้นไทยยังผันผวน แต่หุ้นไทยมีจุดเด่นตรงที่เป็นตลาดเกิดใหม่ที่จะได้รับอานิสงส์จากเงินไหลเข้า จากแนวโน้มเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า อีกทั้งได้รับปัจจัยหนุนจากการเลือกตั้งในประเทศที่คาดว่าจะผ่านไปด้วยดี ส่วนประเด็นเรื่องการยุบพรรคไทยรักษาชาติเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่ได้มีผลต่อต่อตลาดแต่อย่างใด ขณะที่กลางปีจะมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญ ให้ช่วงครึ่งปีหลังเป็นปีที่ดีแห่งการลงทุน ขณะที่การลงทุนภาครัฐมีความต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคกลับมาจะทำให้เกิดการใช้จ่าย
- ปัจจัยต่างประเทศ มีประเด็นเรื่องจีนกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการปรับลดอัตราส่วนเงินฝาก
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นแรงหนุนสำคัญ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เริ่มจะผ่อนปรนนโยบายทางการเงินมากขึ้น โดยเฉพาะการชะลอขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ส่วนทางธนาคารกลางยุโรปมีการพูดถึงนโยบายอัดฉีดเงิน (LTRO) ด้านสงครามการค้าคาดการเจรจาของจีน - สหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะออกมาดี - ตลาดหุ้นไทยขณะนี้ราคาไม่ถูก และไม่แพง โดยมีPE ประมาณ 16 เท่า โดยมีโอกาสปรับขึ้นมากกว่าปรับตัวลง โดยกลุ่มอุตสาหกรรมน่าลงทุน ประกอบด้วย หุ้นกลุ่มขนส่งและท่องเที่ยว กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน "ภาพรวมการลงทุนปี 2562 ว่าตลาดจะมีความผันผวนลักษณะใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ทำให้นักลงทุนสามารถหาจังหวะทำกำไรจากตลาดหุ้นได้ โดยตั้งแต่ต้นปีนี้ตลาดหุ้นทั้งตลาดพัฒนาแล้ว และตลาดเกิดใหม่ ต่างก็ให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นไทยบวก 5% หุ้นโลกบวกกว่า 10% แตกต่างกันกับช่วงปลายปีที่แล้วที่เกือบทุกตลาดติดลบ จะมีแค่คนที่ถือเงินสดกับทองคำที่เป็นบวก สาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นโลกจากปรับตัวลง 10% กว่าในปลายปี 2561 มาเป็นบวก 10% กว่าในปี 2562 นี้เป็นเพราะประเด็นความเสี่ยงที่ตลาดเคยกังวลว่าอาจจะทำให้เศรษฐกิจชะงักลงมีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น" นางนันท์มนัส กล่าว
- ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมาด้วยความคาดหวังเหล่านี้ที่อาจจะดูสวนทางกับตัวเลขเศรษฐกิจโลกที่ทยอยออกมาไม่ดี โดยดูจากตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อภาคการผลิต (Manufacturing PMI) ที่ออกมาทั้งจากสหรัฐฯ ยุโรป และจีน ก็ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ (จีนและยุโรปต่ำกว่า 50 หมายถึงเศรษฐกิจชะลอตัว) รวมถึงการปรับผลกำไรคาดการณ์ของบริษัทจดทะเบียนลง จะส่งผลให้ตลาดมีโอกาสผันผวนได้ถ้ายังไม่เห็นสัญญาณตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้น สำหรับมูลค่าพื้นฐาน (Valuation) ตลาดส่วนใหญ่กลับมาที่จุดระดับค่าเฉลี่ยไม่ได้ถูกไม่ได้แพงจนเกินไป จะมีเพียงตลาดจีน และไทยที่เห็นว่ามีความน่าสนใจเนื่องจากซื้อขายที่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PE 15.5 เท่า และจีนเองก็มีมาตการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล ในขณะที่ไทยจะมีความชัดเจนจากการเลือกตั้ง - นักลงทุนที่จัดพอร์ตเองอยู่แล้ว บลจ.ไทยพาณิชย์ แนะนำควรวางกลยุทธ์การลงทุนด้วยการจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับเป้าหมายของผู้ลงทุน และอยู่ในระดับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนยอมรับได้ เนื่องจากเป็นการยากที่จะคาดเดาว่าสินทรัพย์ประเภทใดที่ให้ผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องไปตลอด ดังนั้นการจัดพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสม และการให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งที่เน้นหนักสำหรับกลยุทธ์การลงทุนในระยะกลางถึงยาว - ปัจจุบัน บลจ.ไทยพาณิชย์ มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การจัดการ (AUM) ณ วันที่ 31 ม.ค.62 รวม 1,502,695.16 ล้านบาท มาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรม ถึง 20.63% โดยกองทุนส่วนบุคคล (Private fund) มี AUM ถึง 423,847.82 ล้านบาท มาร์เก็ตแชร์ถึง 42.7% ส่วนธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มี AUM ที่ 116,487.37 ล้านบาท และกองทุนรวม (Mutual Fund) มี AUM ที่ 962,359.97 ล้านบาท (รวมกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน 146,070 ล้านบาท และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 20,250 ล้านบาท )
- แผนการดำเนินงานปี 2562 บลจ.ไทยพาณิชย์ ไม่ได้ตั้งเป้าหมาย AUM ไว้ว่าในปีนี้จะเป็นตัวเลขเท่าไหร่ แต่จะบริหารให้ AUM เติบโตไปตามตลาดทุน เนื่องจากปีนี้จะเป็นปีที่บลจ.ไทยพาณิชย์จะเน้นการบริการ และส่วนงานดิจิทัล เพื่อให้นักลงทุนไว้วางใจ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่มาอันดับแรก "เราอยากให้ AUM โตตามธรรมชาติ เพราะเราได้มาแล้ว 1.5 ล้านล้านบาท ปีนี้เราจะไปเน้นด้านบริการ และสร้างความไว้วางใจให้กับนักลงทุน เชื่อมั่นกับบลจ.เรามากกว่า แต่ที่พอจะประเมินได้ก็คือ Private fund เพราะเรามีแชร์อันดับ 1 ของตลาด ก็คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นมาประมาณ 3-5 หมื่นล้านบาท " นายณรงค์ศักดิ์ - กองทุนใหม่ที่จะมาในปีนี้ อย่างเช่นกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ในปีนี้มีหลายกองทุนที่ลูกค้าต้องการจะเพิ่มกระแสเงินสด โดยรวมมูลค่าแล้วประมาร 3-5 หมื่นล้านบาท ส่วนกองทุนอื่นๆ จะมีกองทุนต่างประเทศที่เน้นเกี่ยวกับ EST ,กองทุนคุ้มครองเงินต้น รวมถึงกองทุนประเภท Fix income ที่เน้นการลงทุนระยะสั้น แต่จะให้ AI เข้ามาดูแลและบริหารซึ่งจะช่วยลดต้นทุนได้มาก
- ได้นำระบบ AI มาขยายการลงทุนไปทั่วโลก ทั่งการลงทุนใน FX , ตราสารหนี้ , และการจัดสรรสินทรัพย์ รวมถึงการทำแผนการตลาด และการประมวลผลข้อมูลเพื่อพิจารณาเลือกหุ้นที่จะลงทุนได้อย่างแม่นยำ
- การขยายฐานลูกค้าขณะนี้ได้รุกตลาดโซเชียลมีเดีย โดยตั้งเป้าหมายผู้ใช้บริการผ่านทางช่องทางดิจิทัล 4 แสนรายในปีนี้
- ปัจจุบัน บริษัทฯ มีกองทุนที่บริหารจัดการครอบคลุมทุกประเภทสินทรัพย์ เน้นการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพผสานกับกระบวนการลงทุนแบบเชิงรุก (Active) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากการบริหารกองทุน ซึ่งปัจจุบันมีกองทุนภายใต้การบริหารที่ได้ Morningstar 4 - 5 ดาว กว่า 20 กองทุน ทั้งกองทุนไทยและต่างประเทศในทุกประเภทสินทรัพย์ ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และผสม นอกจากนี้กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ได้คัดเลือกกองทุนต่างประเทศที่มีคุณภาพและเกือบทุกกองทุนที่เลือกลงทุนได้รับการจัดอันดับ Morningstar ในระดับ 4 - 5 ดาวเช่นกัน โดยบริษัทฯ มีการติดตามดูแลกองทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาคุณภาพของกองทุนที่คัดเลือกมาให้ผู้ลงทุน
โบรกเกอร์ คาด SETปีนี้ 2,000จุด
นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส รองกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBAM เปิดเผยว่า มองเป้า SET ปีนี้ 2,000 จุด บน P/E 18 เท่า ชี้ตลาดยังผันผวน แต่ครึ่งปีหลังสดใส รับเลือกตั้ง - ราชาภิเษก ส่วนตปท.คาดจีนกระตุ้นศก.
- เฟดชะลอขึ้นดบ. - สงครามการค้าจบสวยช่วยหนุน พร้อมอวด AUM ล่าสุด ทะลุ 1.5 ล้านลบ. ประกาศปีนี้นำ AI มาลุยทั้งระบบ หวังดันยอดลูกค้าดิจิทัลแตะ 4 แสนราย
- แนวโน้มหุ้นไทย 12 เดือนข้างหน้า ประเมินว่าตลาดยังเป็นขาขึ้น ดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากระดับปัจุบันประมาณ 10 % โดยเป้าดัชนีสูงสุดของปีประเมินไว้ที่ 2,000 จุด PE ที่ 18 เท่า ส่วนแนวรับมองไว้ที่ 1,600 จุด หรือต่ำกว่าระดับดังกล่าวเล็กน้อย
- ตลาดหุ้นไทยยังผันผวน แต่หุ้นไทยมีจุดเด่นตรงที่เป็นตลาดเกิดใหม่ที่จะได้รับอานิสงส์จากเงินไหลเข้า จากแนวโน้มเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า อีกทั้งได้รับปัจจัยหนุนจากการเลือกตั้งในประเทศที่คาดว่าจะผ่านไปด้วยดี ส่วนประเด็นเรื่องการยุบพรรคไทยรักษาชาติเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่ได้มีผลต่อต่อตลาดแต่อย่างใด ขณะที่กลางปีจะมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญ ให้ช่วงครึ่งปีหลังเป็นปีที่ดีแห่งการลงทุน ขณะที่การลงทุนภาครัฐมีความต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคกลับมาจะทำให้เกิดการใช้จ่าย
- ปัจจัยต่างประเทศ มีประเด็นเรื่องจีนกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการปรับลดอัตราส่วนเงินฝาก
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นแรงหนุนสำคัญ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เริ่มจะผ่อนปรนนโยบายทางการเงินมากขึ้น โดยเฉพาะการชะลอขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ส่วนทางธนาคารกลางยุโรปมีการพูดถึงนโยบายอัดฉีดเงิน (LTRO) ด้านสงครามการค้าคาดการเจรจาของจีน - สหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะออกมาดี - ตลาดหุ้นไทยขณะนี้ราคาไม่ถูก และไม่แพง โดยมีPE ประมาณ 16 เท่า โดยมีโอกาสปรับขึ้นมากกว่าปรับตัวลง โดยกลุ่มอุตสาหกรรมน่าลงทุน ประกอบด้วย หุ้นกลุ่มขนส่งและท่องเที่ยว กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน "ภาพรวมการลงทุนปี 2562 ว่าตลาดจะมีความผันผวนลักษณะใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ทำให้นักลงทุนสามารถหาจังหวะทำกำไรจากตลาดหุ้นได้ โดยตั้งแต่ต้นปีนี้ตลาดหุ้นทั้งตลาดพัฒนาแล้ว และตลาดเกิดใหม่ ต่างก็ให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นไทยบวก 5% หุ้นโลกบวกกว่า 10% แตกต่างกันกับช่วงปลายปีที่แล้วที่เกือบทุกตลาดติดลบ จะมีแค่คนที่ถือเงินสดกับทองคำที่เป็นบวก สาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นโลกจากปรับตัวลง 10% กว่าในปลายปี 2561 มาเป็นบวก 10% กว่าในปี 2562 นี้เป็นเพราะประเด็นความเสี่ยงที่ตลาดเคยกังวลว่าอาจจะทำให้เศรษฐกิจชะงักลงมีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น" นางนันท์มนัส กล่าว
- ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมาด้วยความคาดหวังเหล่านี้ที่อาจจะดูสวนทางกับตัวเลขเศรษฐกิจโลกที่ทยอยออกมาไม่ดี โดยดูจากตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อภาคการผลิต (Manufacturing PMI) ที่ออกมาทั้งจากสหรัฐฯ ยุโรป และจีน ก็ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ (จีนและยุโรปต่ำกว่า 50 หมายถึงเศรษฐกิจชะลอตัว) รวมถึงการปรับผลกำไรคาดการณ์ของบริษัทจดทะเบียนลง จะส่งผลให้ตลาดมีโอกาสผันผวนได้ถ้ายังไม่เห็นสัญญาณตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้น สำหรับมูลค่าพื้นฐาน (Valuation) ตลาดส่วนใหญ่กลับมาที่จุดระดับค่าเฉลี่ยไม่ได้ถูกไม่ได้แพงจนเกินไป จะมีเพียงตลาดจีน และไทยที่เห็นว่ามีความน่าสนใจเนื่องจากซื้อขายที่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PE 15.5 เท่า และจีนเองก็มีมาตการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล ในขณะที่ไทยจะมีความชัดเจนจากการเลือกตั้ง - นักลงทุนที่จัดพอร์ตเองอยู่แล้ว บลจ.ไทยพาณิชย์ แนะนำควรวางกลยุทธ์การลงทุนด้วยการจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับเป้าหมายของผู้ลงทุน และอยู่ในระดับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนยอมรับได้ เนื่องจากเป็นการยากที่จะคาดเดาว่าสินทรัพย์ประเภทใดที่ให้ผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องไปตลอด ดังนั้นการจัดพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสม และการให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งที่เน้นหนักสำหรับกลยุทธ์การลงทุนในระยะกลางถึงยาว - ปัจจุบัน บลจ.ไทยพาณิชย์ มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การจัดการ (AUM) ณ วันที่ 31 ม.ค.62 รวม 1,502,695.16 ล้านบาท มาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรม ถึง 20.63% โดยกองทุนส่วนบุคคล (Private fund) มี AUM ถึง 423,847.82 ล้านบาท มาร์เก็ตแชร์ถึง 42.7% ส่วนธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มี AUM ที่ 116,487.37 ล้านบาท และกองทุนรวม (Mutual Fund) มี AUM ที่ 962,359.97 ล้านบาท (รวมกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน 146,070 ล้านบาท และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 20,250 ล้านบาท )
- แผนการดำเนินงานปี 2562 บลจ.ไทยพาณิชย์ ไม่ได้ตั้งเป้าหมาย AUM ไว้ว่าในปีนี้จะเป็นตัวเลขเท่าไหร่ แต่จะบริหารให้ AUM เติบโตไปตามตลาดทุน เนื่องจากปีนี้จะเป็นปีที่บลจ.ไทยพาณิชย์จะเน้นการบริการ และส่วนงานดิจิทัล เพื่อให้นักลงทุนไว้วางใจ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่มาอันดับแรก "เราอยากให้ AUM โตตามธรรมชาติ เพราะเราได้มาแล้ว 1.5 ล้านล้านบาท ปีนี้เราจะไปเน้นด้านบริการ และสร้างความไว้วางใจให้กับนักลงทุน เชื่อมั่นกับบลจ.เรามากกว่า แต่ที่พอจะประเมินได้ก็คือ Private fund เพราะเรามีแชร์อันดับ 1 ของตลาด ก็คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นมาประมาณ 3-5 หมื่นล้านบาท " นายณรงค์ศักดิ์ - กองทุนใหม่ที่จะมาในปีนี้ อย่างเช่นกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ในปีนี้มีหลายกองทุนที่ลูกค้าต้องการจะเพิ่มกระแสเงินสด โดยรวมมูลค่าแล้วประมาร 3-5 หมื่นล้านบาท ส่วนกองทุนอื่นๆ จะมีกองทุนต่างประเทศที่เน้นเกี่ยวกับ EST ,กองทุนคุ้มครองเงินต้น รวมถึงกองทุนประเภท Fix income ที่เน้นการลงทุนระยะสั้น แต่จะให้ AI เข้ามาดูแลและบริหารซึ่งจะช่วยลดต้นทุนได้มาก
- ได้นำระบบ AI มาขยายการลงทุนไปทั่วโลก ทั่งการลงทุนใน FX , ตราสารหนี้ , และการจัดสรรสินทรัพย์ รวมถึงการทำแผนการตลาด และการประมวลผลข้อมูลเพื่อพิจารณาเลือกหุ้นที่จะลงทุนได้อย่างแม่นยำ
- การขยายฐานลูกค้าขณะนี้ได้รุกตลาดโซเชียลมีเดีย โดยตั้งเป้าหมายผู้ใช้บริการผ่านทางช่องทางดิจิทัล 4 แสนรายในปีนี้
- ปัจจุบัน บริษัทฯ มีกองทุนที่บริหารจัดการครอบคลุมทุกประเภทสินทรัพย์ เน้นการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพผสานกับกระบวนการลงทุนแบบเชิงรุก (Active) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากการบริหารกองทุน ซึ่งปัจจุบันมีกองทุนภายใต้การบริหารที่ได้ Morningstar 4 - 5 ดาว กว่า 20 กองทุน ทั้งกองทุนไทยและต่างประเทศในทุกประเภทสินทรัพย์ ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และผสม นอกจากนี้กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ได้คัดเลือกกองทุนต่างประเทศที่มีคุณภาพและเกือบทุกกองทุนที่เลือกลงทุนได้รับการจัดอันดับ Morningstar ในระดับ 4 - 5 ดาวเช่นกัน โดยบริษัทฯ มีการติดตามดูแลกองทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาคุณภาพของกองทุนที่คัดเลือกมาให้ผู้ลงทุน