เราหย่ากับอดีตสามี (ขอใช้ชื่อย่อว่า เอ)ทางนิตินัยเพราะปัญหาหนี้สินที่เอก่อไว้แล้วไม่สามารถชำระได้ พ่อแม่พี่น้องเรามีฐานะดีได้ช่วยเคลียร์หนี้สินต่างๆให้เพราะเห็นแก่หลานคือลูกเราขณะนั้นอายุแค่4 ขวบและ2 ขวบ เอต้องขายบ้านเคลียร์หนี้กับเจ้าหนี้ที่เอไปยืม เงินที่ได้จากการขายบ้านนำไปใช้ให้เจ้าหนี้ ยกเว้นพี่สาวของเอที่ไม่ได้ชดใช้ เพราะทางพี่น้องเราก็เสียหายมาก น้องสาวช่วยรับซื้อตึกแถวที่เอไปจำนองกับธนาคาร มิฉะนั้นจะถูกธนาคารยึดและเคลี่ยร์หนี้สินจากเช็คที่เอออกเพราะกลัวคดีอาญา หลังจากนั้นก็มาอยู่ตึกพ่อเราให้เช่า จังหวะผู้เช่าออกแม่ส่งสารช่วยพูดให้ เราลาออกจากบริษัทฯมาเริ่มต้นกิจการช่วยกันก่อร่างสร้างตัวกันใหม่ เราเอาป้ากับแม่เอมาอยู่ช่วยดูแลลูก ป้าไม่ได้ทำงานต้องดูแลแม่และทำกับข้าวให้คนในบ้าน เราต้องทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเอง ลูกชายจะสนิทกับป้ามาก เราจะมีปัญหากับวิธีการเลี้ยงลูกชายอยู่เสมอ เพราะป้าตามใจมาก ลูกชายก็ไม่ค่อยชอบเราเพราะเราจะขัดใจ พูดจากันก็จะขัดหูกันเสมอ ยอมรับว่าเราฝากลูกชายให้ป้าเลี้ยงนอนกับป้าและย่า ส่วนเราเลี้ยงลูกสาว นอนห้องเดียวกับเรา
5 ปีผ่านไป เราเริ่มกิจการที่เราเคยเป็นเซลล์บริษัทฯฝ่ายขาย เอฝ่ายผลิต ธุรกิจดำเนินไปลืมตาอ้าปากได้ เอได้ผู้ช่วยมาช่วยทำงานแข็งขันเป็นมือขวาแล้ว เราจึงไปทำงานเปลี่ยนแนว ครอบครัวเราขอให้ช่วยกิจการด้วย แม้เงินไม่มากเราก็มีความสุขกว่า เมื่อทำงานด้วยกันก็จะขัดแย้งกับเอเสมอ
ต่อมาเมื่อ 7 ปีก่อน เอ ไปฃ่วยเพื่อนเรียกร้องเรื่องพันธบัตรกู้ชาติของจีน วาดหวังว่าจะได้เงินเป็นพันล้าน มีกลุ่มเพื่อนเดินทางไปเรียกร้อง เอวาดหวังจะได้
เงินก้อนนี้ในฐานะตัวแทน เราไม่เชื่อทะเลาะกัน เพราะเอปล่อยให้ผู้ช่วยทำงานตามลำพัง ต่อมาผู้ช่วยป่วยเป็นมะเร็ง ขาดกำลังสำคัญในกิจการ
เอผิดหวังจากพันธบัตรและโครงการต่างๆไม่ประสบความสำเร็จ ขณะนั้นลูก 2 คนของเราอยู่มัธยม เอไม่สามารถรับผิดชอบครอบครัวได้ ก่อหนี้มาให้เราช่วยเคลียร์อีกรอบ เราโชคดีได้มรดกพ่อมาต่อยอดไปลงทุนอสังหาฯจึงสามารถดูแลลูกจนจบ ป ตรีได้ เราเลิกกับเอทั้งพฤตินัยและนิตินัย แยกห้องนอนกันตั้งแต่นั้นมา
เมื่อลูกจบทำงานแล้ว ตึกพ่อเราก็เอเราอยู่และทำกิจการครบสัญญาเช่า ที่เอและป้า (คุณย่าเสียเมื่อ2 ปีก่อน)อยู่มา20กว่าปี เราเตือนเอเสมอเรื่องตึกจะหมดสัญญา เอก็ไม่กระตือรือล้นว่าจะหาบ้าน เราใช้เงินเราเองซื้อบ้านขนาดเล็ก กะอยู่กับลูก 2 คน ป้าโกรธที่เราไม่ชวนมาอยู่ ลุกชายก็พลอยโกรธจนหลุดคำพูด
ที่เราไม่คิดว่าทางครอบครัวเอเข้าใจว่าหนี้สินเมื่อเอล้มครั้งแรก ครอบครัวเรายึดตึกยึดทรัพย์สินไป เพราะเอไม่ได้อธิบาย ป้ากับย่าจึงนำความคิดนี้ไปฝัง
หัวลูกชายตลอดมา ป้าก็เครียดเพราะเอไม่ทำงาน เที่ยวไปพุดว่าเราในทางลบจนมาเข้าหูเรา ผุ้ช่วยเรามาเล่าให้ฟังเราก็บอกว่าป้าเครียดที่ไม่ทราบว่าจะ
จัดการกับชีวิตอย่างไรด้วย เพราะพี่น้องเอก็ไม่มีใครรับไปอยู่ ลูกเราทั้งคู่ก็เพิ่งจบทำงาน ป้าขอให้ลูกเราผ่อนบ้านให้พ่อและป้าอยุ่ เราก็ไม่ว่าอะไรแล้วแต่ลูกเพราะเราถือว่าหมดหน้าที่เราแล้ว
ช่วงย้ายบ้าน เอกสารเรื่องการเคลียร์หนี้กับธนาคาร ที่พ่อแม่พี่น้องเราไปค้ำประกันยังมีอยู่ รวมทั้งหนี้ครั้งที่สอง เราจึงนำเอกสารที่เราขอแยกให้ลูกทั้งคู่ดู
ลูกสาวเราพอเข้าใจ แต่ลูกชายถูกฝังหัวเข้าใจผิดๆมานานขออยู่กับป้าและพ่อ เราก็ไม่ว่าอะไร ลูกชายโกรธหาว่าเราทิ้งพ่อและป้า ม่องว่าเรามีเงินต้องช่วย
ลูกชายค้าขายออนไลน์ งานไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ส่วนลูกสาวเราตกลงใจจะซื้อบ้านและผ่อนให้พวกเขาอยุ่ เราช่วยอ้อมๆโดยที่ลูกสาวมาอยู่กับเราไม่ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายอะไร แล้วแต่ลูก ลูกสาวเพิ่งจบโททำงานบริษัทมั่นคงก็แอบบ่นว่าต้องเจอหนี้บ้านอีกยาวนาน
เราเกิดความคิดเรื่องที่คาใจกับพี่สาว เอ ที่เอไปยืมเงินแล้วไม่ได้รับการชำระจากเอ เราเข้าใจว่า พี่สาวเอก็คงคิดเหมือนกันว่าครอบครัวเรายึดตึกไป
แต่เวลาผ่านมา 20 กว่าปีแล้ว พี่สาวเอคงทำใจได้ แต่อาจจะไม่เคลียร์เรื่องหนี้สินครั้งนั้น เราเองก็ไม่มีโอกาสได้ชี้แจงเพราะเจอกันทักกันเมื่อผ่านไป
หลายปี เพราะ เอและป้าใช้บ้านพ่อเป็นศุนย์กลางในการประกอบพิธีไหว้เจ้าตรุษจีนต่างๆ เราเองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกพี่สาวเอ ไม่อยากให้มีเรื่อง
ค้างคาใจ ไหนๆ เราก็แยกบ้านมาแล้ว เราควรจะเคลียร์ปมคาใจกับพี่สาวเอในเรื่องที่ผ่านมา 20 กว่าปีหรือไม่ หรือปล่อยผ่านไป
ที่คิดไม่ตกคือ ถ้าปล่อยผ่านไปก็คาใจ ถ้าเคลียร์ด้วยเอกสารที่ยังอยู่ครบก็อาจจะกระทบทั้งป้าและเอแน่นอนที่พูดจาให้ตัวเองดูดี เอกสารโกหกไม่ได้
แน่นอน(เอกสารที่พี่น้องเราค้ำประกันให้เอ ชดใช้หนี้แทน เจรจากับทนายเจ้าหนี้ เป็นต้น) ตอนนี้เรามาอยู่บ้านใหม่มีความสุขกับลูกสาวดี ที่ผ่านมา
ถือว่าเราได้ใช้หนี้กรรมให้พวกเขา ก็พอบรรเทาเบาคลายไปได้ ยังไงเราคิดว่าเราาก็จะช่วยป้าและพ่อผ่านลูกโดยอ้อมๆ ต่อไป ซึ่งเป็นความตั้งใจของเรา
เรื่องหนี้สินที่คลุมเครือจะได้กระจ่าง ก่อนที่เราจะทำลายเอกสารทั้งหมด
ขอความเห็นเพื่อนๆ ในพันทิปค่ะ
คิดไม่ตก เรื่องผ่านมาหลายปีแล้ว ควรจะเคลียร์กับคนที่เข้าใจผิดไหม
5 ปีผ่านไป เราเริ่มกิจการที่เราเคยเป็นเซลล์บริษัทฯฝ่ายขาย เอฝ่ายผลิต ธุรกิจดำเนินไปลืมตาอ้าปากได้ เอได้ผู้ช่วยมาช่วยทำงานแข็งขันเป็นมือขวาแล้ว เราจึงไปทำงานเปลี่ยนแนว ครอบครัวเราขอให้ช่วยกิจการด้วย แม้เงินไม่มากเราก็มีความสุขกว่า เมื่อทำงานด้วยกันก็จะขัดแย้งกับเอเสมอ
ต่อมาเมื่อ 7 ปีก่อน เอ ไปฃ่วยเพื่อนเรียกร้องเรื่องพันธบัตรกู้ชาติของจีน วาดหวังว่าจะได้เงินเป็นพันล้าน มีกลุ่มเพื่อนเดินทางไปเรียกร้อง เอวาดหวังจะได้
เงินก้อนนี้ในฐานะตัวแทน เราไม่เชื่อทะเลาะกัน เพราะเอปล่อยให้ผู้ช่วยทำงานตามลำพัง ต่อมาผู้ช่วยป่วยเป็นมะเร็ง ขาดกำลังสำคัญในกิจการ
เอผิดหวังจากพันธบัตรและโครงการต่างๆไม่ประสบความสำเร็จ ขณะนั้นลูก 2 คนของเราอยู่มัธยม เอไม่สามารถรับผิดชอบครอบครัวได้ ก่อหนี้มาให้เราช่วยเคลียร์อีกรอบ เราโชคดีได้มรดกพ่อมาต่อยอดไปลงทุนอสังหาฯจึงสามารถดูแลลูกจนจบ ป ตรีได้ เราเลิกกับเอทั้งพฤตินัยและนิตินัย แยกห้องนอนกันตั้งแต่นั้นมา
เมื่อลูกจบทำงานแล้ว ตึกพ่อเราก็เอเราอยู่และทำกิจการครบสัญญาเช่า ที่เอและป้า (คุณย่าเสียเมื่อ2 ปีก่อน)อยู่มา20กว่าปี เราเตือนเอเสมอเรื่องตึกจะหมดสัญญา เอก็ไม่กระตือรือล้นว่าจะหาบ้าน เราใช้เงินเราเองซื้อบ้านขนาดเล็ก กะอยู่กับลูก 2 คน ป้าโกรธที่เราไม่ชวนมาอยู่ ลุกชายก็พลอยโกรธจนหลุดคำพูด
ที่เราไม่คิดว่าทางครอบครัวเอเข้าใจว่าหนี้สินเมื่อเอล้มครั้งแรก ครอบครัวเรายึดตึกยึดทรัพย์สินไป เพราะเอไม่ได้อธิบาย ป้ากับย่าจึงนำความคิดนี้ไปฝัง
หัวลูกชายตลอดมา ป้าก็เครียดเพราะเอไม่ทำงาน เที่ยวไปพุดว่าเราในทางลบจนมาเข้าหูเรา ผุ้ช่วยเรามาเล่าให้ฟังเราก็บอกว่าป้าเครียดที่ไม่ทราบว่าจะ
จัดการกับชีวิตอย่างไรด้วย เพราะพี่น้องเอก็ไม่มีใครรับไปอยู่ ลูกเราทั้งคู่ก็เพิ่งจบทำงาน ป้าขอให้ลูกเราผ่อนบ้านให้พ่อและป้าอยุ่ เราก็ไม่ว่าอะไรแล้วแต่ลูกเพราะเราถือว่าหมดหน้าที่เราแล้ว
ช่วงย้ายบ้าน เอกสารเรื่องการเคลียร์หนี้กับธนาคาร ที่พ่อแม่พี่น้องเราไปค้ำประกันยังมีอยู่ รวมทั้งหนี้ครั้งที่สอง เราจึงนำเอกสารที่เราขอแยกให้ลูกทั้งคู่ดู
ลูกสาวเราพอเข้าใจ แต่ลูกชายถูกฝังหัวเข้าใจผิดๆมานานขออยู่กับป้าและพ่อ เราก็ไม่ว่าอะไร ลูกชายโกรธหาว่าเราทิ้งพ่อและป้า ม่องว่าเรามีเงินต้องช่วย
ลูกชายค้าขายออนไลน์ งานไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ส่วนลูกสาวเราตกลงใจจะซื้อบ้านและผ่อนให้พวกเขาอยุ่ เราช่วยอ้อมๆโดยที่ลูกสาวมาอยู่กับเราไม่ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายอะไร แล้วแต่ลูก ลูกสาวเพิ่งจบโททำงานบริษัทมั่นคงก็แอบบ่นว่าต้องเจอหนี้บ้านอีกยาวนาน
เราเกิดความคิดเรื่องที่คาใจกับพี่สาว เอ ที่เอไปยืมเงินแล้วไม่ได้รับการชำระจากเอ เราเข้าใจว่า พี่สาวเอก็คงคิดเหมือนกันว่าครอบครัวเรายึดตึกไป
แต่เวลาผ่านมา 20 กว่าปีแล้ว พี่สาวเอคงทำใจได้ แต่อาจจะไม่เคลียร์เรื่องหนี้สินครั้งนั้น เราเองก็ไม่มีโอกาสได้ชี้แจงเพราะเจอกันทักกันเมื่อผ่านไป
หลายปี เพราะ เอและป้าใช้บ้านพ่อเป็นศุนย์กลางในการประกอบพิธีไหว้เจ้าตรุษจีนต่างๆ เราเองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกพี่สาวเอ ไม่อยากให้มีเรื่อง
ค้างคาใจ ไหนๆ เราก็แยกบ้านมาแล้ว เราควรจะเคลียร์ปมคาใจกับพี่สาวเอในเรื่องที่ผ่านมา 20 กว่าปีหรือไม่ หรือปล่อยผ่านไป
ที่คิดไม่ตกคือ ถ้าปล่อยผ่านไปก็คาใจ ถ้าเคลียร์ด้วยเอกสารที่ยังอยู่ครบก็อาจจะกระทบทั้งป้าและเอแน่นอนที่พูดจาให้ตัวเองดูดี เอกสารโกหกไม่ได้
แน่นอน(เอกสารที่พี่น้องเราค้ำประกันให้เอ ชดใช้หนี้แทน เจรจากับทนายเจ้าหนี้ เป็นต้น) ตอนนี้เรามาอยู่บ้านใหม่มีความสุขกับลูกสาวดี ที่ผ่านมา
ถือว่าเราได้ใช้หนี้กรรมให้พวกเขา ก็พอบรรเทาเบาคลายไปได้ ยังไงเราคิดว่าเราาก็จะช่วยป้าและพ่อผ่านลูกโดยอ้อมๆ ต่อไป ซึ่งเป็นความตั้งใจของเรา
เรื่องหนี้สินที่คลุมเครือจะได้กระจ่าง ก่อนที่เราจะทำลายเอกสารทั้งหมด
ขอความเห็นเพื่อนๆ ในพันทิปค่ะ