การได้เสิร์ฟในร้านอาหารไทยที่ต่างประเทศ คนที่ทำได้ต้องมีพื้นฐานภาษาอังกฤษดีพอสมควร และต้องเข้าใจในตัวอาหาร บางครั้งอาจเจอความกดดันจากลูกค้าและคนในครัวบ้าง
แต่มีข้อดีหลายอย่างคือ งานไม่หนักมากเมื่อเทียบกับงานครัว มีรายได้ดีจากเงินทิป มีอาหารกลับบ้าน ได้ฝึกการแก้ปัญหา เช่นลูกค้าบ่นเรื่อง รสชาติ ลูกค้าได้อาหารไปผิด เดลิเวอรี่ไปถึงช้า ที่หนักหน่อยคือลูกค้าบอกว่าแพ้อะไร แต่ร้านก็ยังใส่ลงไป เรียกว่ามีสารพัดปัญหาให้แก้
สิ่งที่ผมชอบอีกอย่างสำหรับงานเสิร์ฟคือได้เจอคนหลากหลาย ได้คุย ได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พร้อมทั้งฝึกภาษาไปในตัว
มีลูกค้ากลุ่มนึงซึ่งทั้งชีวิตไม่เคยทานอาหารไทยเลย โดยฝรั่งจะเรียกกันเองว่า “ไทยเวอร์จิ้น” การมาร้านไทยส่วนใหญ่เกิดจากเพื่อน ที่กึ่งชวนกึ่งบังคับมาให้กิน คนที่ไม่อยากลองส่วนหนึ่งเพราะกลัวเผ็ด หรือ อาจมีคนบอกว่าว่าอาหารไทยไม่ได้อร่อยมาก กรณีหลังผมว่าร้านไทยส่วนหนึ่งไม่ใช่ไทยแท้ แต่เกิดจากการก๊อปโดย จีน เวียด หรือ แขก ซึ่งส่งผลต่อชื่อเสียงของอาหารไทยมาก

เมื่อไม่นานมานี้ ผมเจอลูกค้าที่เป็น ไทยเวอร์จิ้น “แมรี่”หญิงผิวขาววัยหกสิบกว่า แต่รูปร่างของป้าถือว่าดีมาก ดูแกเป็นคนรักษาสุขภาพ ครั้งแรกที่ผมเจอ แกมาคนเดียว โดยป้าบอกผมว่านี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ทานอาหารไทย ผมถามว่านึกยังไงถึงอยากจะลอง
ป้าบอกว่ามีเพื่อนซึ่งเป็นลูกค้าประจำของที่ร้าน แนะนำให้มาทานแกงเขียวหวานเพราะมันอร่อยมาก
วันนี้ป้าเลยตั้งใจจะมาลองแกงเขียวหวานสักหน่อย แต่พอป้าเริ่มตักอาหารเข้าปากคำแรก แกเริ่มบ่นทันที ว่าทำไมมันเผ็ดอย่างนี้ โดยปกติแกงเขียวถือว่าเผ็ดน้อยมากเมื่อเทียบกับ ผัดกระเพรา ผัดเผ็ด หรือแกงป่า ผมเลยเสนอว่าจะทำอย่างอื่นให้แทน เช่นผัดไทย ไก่กระเทียม หรือ ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ในขณะที่แกบ่นไป มือแกก็ตักอาหารเข้าปากอย่างต่อเนื่อง
เสมือนว่าไม่เคยทานอะไรที่อร่อยอย่างนี้มาก่อน(แกชมในรสชาติ และบ่นเรื่องเผ็ดในเวลาเดียวกัน) ผมยืนกรานที่จะเปลี่ยนเป็นอาหารจานอื่นให้แทน แต่ป้าไม่ยอม จับจานไว้แน่น ภาพที่เห็น ดูเหมือนว่าป้าวัยหกสิบ ได้กลับไปเป็นสาววัยสิบหกอีกครั้ง การเสียความบริสุทธิ์ครั้งนี้ ทำเอาป้าหน้าแดง เหงื่อไหลไปทั่วใบหน้าและย้อยลงมาที่คอ แกส่งเสียงซี้ตเบาๆเพราะความเผ็ด เหมือนกับว่าความแสบร้อน และอารมณ์สุขสันต์มันเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน กายป้าอยากจะหยุด แต่ใจป้าสั่งให้ไปต่อ สุดท้ายป้าทานแกงเขียวหวานจานนั้นจนหมดเกลี้ยง
ตัวผมไม่แน่ใจว่าป้าจะกลับมาเหยียบร้านนี้อีกหรือเปล่า เลยถามแกว่า คุณโอเคไหม แกบอกกับผมว่าอาหารอร่อยมาก ผมเลยเสนอว่า คราวหน้าถ้ามาอีกจะทำแกง ให้เผ็ตน้อยลงกว่านี้ ป้ารีบบอกว่า “แซ่บอย่างนี้ดีแล้ว...ป้าชอบ” หลังจากนั้นแกก็กลายเป็นลูกค้าประจำของร้าน

จอร์จลูกค้าประจำนิสัยดี เขาจะมาทานอาหารเที่ยงอย่างน้อยสัปดาห์ละสามวัน จอร์จไปเมืองไทยมาแล้วสามครั้งแต่ละครั้งจะอยู่ราวๆสองเดือน เหตุผลหลักที่ไปไทยก็เพื่อฝึกมวยไทย เขาชอบมวยไทยเป็นชีวิตจิตใจ นักมวยในตำนานอย่าง ดีเซลน้อย นำขบวน แซมวั่น สามารถ ฯลฯ จอร์จศึกษา และรู้จักเป็นอย่างดี
ผมกับจอร์จอายุอานามใกล้เคียงกัน ชอบมวยเหมือนกัน แต่เขามีรูปร่างที่หนา เป็นทรงนักมวย ซึ่งต่างจากผมที่ไม่ค่อยมีกล้ามเนื้อและเริ่มจะลงพุง เวลาผ่านไปปีกว่า เราสนิทกันมากขึ้น ผมเลยมีคำถามที่อยากจะถาม แต่ไม่เคยสบโอกาส และแล้ววันนึงผมนึกขึ้นมาได้ เลยถามจอร์จไปว่า “คุณทำงานอะไรเหรอ” จอร์จมองผมและนิ่งไปพักนึง แล้วถามกลับมาว่า “นายอยากรู้จริงๆเหรอ” เอาแล้วซิ หรือเขาทำงานกรมสรรพากร ไม่น่าจะใช่ จอร์จย้ำอีกครั้ง ว่าอยากรู้จริงๆอ่ะ พร้อมกับยิ้มมุมปาก ใจผมคิดว่าเขาต้องเป็นสายลับให้รัฐบาลเหมือนกะในหนัง เอาแล้วเว้ย คงจะเจ๋งน่าดู
สุดท้าย จอร์จ เฉลยว่า เขาเป็น คนตรวจสุขอนามัยร้านอาหาร (Health Inspector) หรือ ภาษาทีพูดกันเล่นๆว่า ตำรวจร้านอาหาร(Restaurant Police)นาทีนั้นใจผมหล่นไปที่ตาตุ่ม
ต้องเข้าใจนะครับว่าเจ้าของร้าน หรือคนทำงานร้านอาหาร ไม่มีใครที่จะถูกชะตา หรือ อยากเป็นเพื่อนกับ “ตำรวจร้านอาหาร” จอร์จคุณหลอกดาว!! เพราะอาชีพที่ทำ กับพฤติกรรมที่อยู่ไทย โดยกินของข้างทางทั้งแมลง ส้มตำปลาร้า กุ้งเต้น แถมเย็นๆนั่งกินเหล้าขาวกับนักมวยในค่าย เป็นอะไรที่ขัดแย้งกับอาชีพ “ตำรวจร้านอาหาร”จริงๆ
พวกนี้เวลามาตรวจร้านอาหารเขาจะดูทั้งอุณหภูมิ เช็คของร้อน ของเย็น การจัดเก็บของ(ห้ามวางบนพื้น) แมลงวัน แมลงสาป หนู ถ้าเห็น ก็จะแจกใบเหลือง หรือถึงขั้นปิดร้าน จอร์จเองไม่เลือกที่จะตรวจร้านที่ผมทำงาน เพราะตัวเขาเป็นลูกค้า

แต่หลังจากเขาได้เปิดเผยตัวตน จอร์จคงจะรู้สึกผิด เลยสั่งรุ่นน้องที่จะมาตรวจว่าให้ส่งซิก ก่อนตรวจจริง ล่วงหน้าสองวัน ซึ่งโดยปกติแล้ว ตำรวจร้านอาหาร จะเข้ามาแบบไม่ให้ตั้งตัว กะว่ามาจับผิดเต็มที่ จอร์จยังมาอุดหนุนที่ร้านตามปกติ แต่สายตาที่ผมมองเขามันเปลี่ยนไปแล้ว
บทสนทนาของเรา เกี่ยวกับ “วังจั่นน้อย” ไม่มีทางเหมือนเดิมอีกต่อไป
อุ๊นักเรียนภาษา วันไหนที่ร้านไม่ยุ่ง ผมจะให้น้องมาหัดเสิร์ฟ อุ๊เรียนภาษามาเกือบปี ทุกครั้งที่ถามว่าเธอเรียนหลักสูตรอะไร เธอจะบอกว่า หลักสูตรอินเตอร์ ซึ่งก็จริงอย่างที่เธอว่า เพราะเพื่อนๆของอู๊ มีทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น ยุโรป และ อเมริกาใต้เรียกว่าอินเตอร์จริงๆ
วันนึงอุ๊ ยกอาหารไปเสิร์ฟโต๊ะที่มีแต่ชายล้วนห้าหกคน ผมเห็นอุ๊คุยกับลูกค้า สักพักทั้งโต๊ะหัวเราะกันลั่น อุ๊เดินหน้านิ่งกลับมา ผมเลยแซว “เดี๋ยวนี้เก่งแล้ว ยิงมุขใส่ลูกค้า”
“มุข อาร่ายไม่มี” อุ๊ทำหน้างง “อ้าวแล้วคุยอะไรกับลูกค้า” ผมถาม ลูกค้าถามอุ๊ว่า เธอมาเรียนอะไรที่ต่างประเทศ เธอก็บอกว่าเรียนคอร์สอินเตอร์ ผมถามย้ำว่า “แล้วอุ๊พูดเป็นภาษาอังกฤษว่ายังไง”
หนูก็พูดว่า “Intercourse”
จริงๆคำนี้มีความหมายว่า “การร่วมเพศ”
ไทยเวอร์จิ้น +18
แต่มีข้อดีหลายอย่างคือ งานไม่หนักมากเมื่อเทียบกับงานครัว มีรายได้ดีจากเงินทิป มีอาหารกลับบ้าน ได้ฝึกการแก้ปัญหา เช่นลูกค้าบ่นเรื่อง รสชาติ ลูกค้าได้อาหารไปผิด เดลิเวอรี่ไปถึงช้า ที่หนักหน่อยคือลูกค้าบอกว่าแพ้อะไร แต่ร้านก็ยังใส่ลงไป เรียกว่ามีสารพัดปัญหาให้แก้
สิ่งที่ผมชอบอีกอย่างสำหรับงานเสิร์ฟคือได้เจอคนหลากหลาย ได้คุย ได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พร้อมทั้งฝึกภาษาไปในตัว
มีลูกค้ากลุ่มนึงซึ่งทั้งชีวิตไม่เคยทานอาหารไทยเลย โดยฝรั่งจะเรียกกันเองว่า “ไทยเวอร์จิ้น” การมาร้านไทยส่วนใหญ่เกิดจากเพื่อน ที่กึ่งชวนกึ่งบังคับมาให้กิน คนที่ไม่อยากลองส่วนหนึ่งเพราะกลัวเผ็ด หรือ อาจมีคนบอกว่าว่าอาหารไทยไม่ได้อร่อยมาก กรณีหลังผมว่าร้านไทยส่วนหนึ่งไม่ใช่ไทยแท้ แต่เกิดจากการก๊อปโดย จีน เวียด หรือ แขก ซึ่งส่งผลต่อชื่อเสียงของอาหารไทยมาก
ป้าบอกว่ามีเพื่อนซึ่งเป็นลูกค้าประจำของที่ร้าน แนะนำให้มาทานแกงเขียวหวานเพราะมันอร่อยมาก
วันนี้ป้าเลยตั้งใจจะมาลองแกงเขียวหวานสักหน่อย แต่พอป้าเริ่มตักอาหารเข้าปากคำแรก แกเริ่มบ่นทันที ว่าทำไมมันเผ็ดอย่างนี้ โดยปกติแกงเขียวถือว่าเผ็ดน้อยมากเมื่อเทียบกับ ผัดกระเพรา ผัดเผ็ด หรือแกงป่า ผมเลยเสนอว่าจะทำอย่างอื่นให้แทน เช่นผัดไทย ไก่กระเทียม หรือ ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ในขณะที่แกบ่นไป มือแกก็ตักอาหารเข้าปากอย่างต่อเนื่อง
เสมือนว่าไม่เคยทานอะไรที่อร่อยอย่างนี้มาก่อน(แกชมในรสชาติ และบ่นเรื่องเผ็ดในเวลาเดียวกัน) ผมยืนกรานที่จะเปลี่ยนเป็นอาหารจานอื่นให้แทน แต่ป้าไม่ยอม จับจานไว้แน่น ภาพที่เห็น ดูเหมือนว่าป้าวัยหกสิบ ได้กลับไปเป็นสาววัยสิบหกอีกครั้ง การเสียความบริสุทธิ์ครั้งนี้ ทำเอาป้าหน้าแดง เหงื่อไหลไปทั่วใบหน้าและย้อยลงมาที่คอ แกส่งเสียงซี้ตเบาๆเพราะความเผ็ด เหมือนกับว่าความแสบร้อน และอารมณ์สุขสันต์มันเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน กายป้าอยากจะหยุด แต่ใจป้าสั่งให้ไปต่อ สุดท้ายป้าทานแกงเขียวหวานจานนั้นจนหมดเกลี้ยง
ตัวผมไม่แน่ใจว่าป้าจะกลับมาเหยียบร้านนี้อีกหรือเปล่า เลยถามแกว่า คุณโอเคไหม แกบอกกับผมว่าอาหารอร่อยมาก ผมเลยเสนอว่า คราวหน้าถ้ามาอีกจะทำแกง ให้เผ็ตน้อยลงกว่านี้ ป้ารีบบอกว่า “แซ่บอย่างนี้ดีแล้ว...ป้าชอบ” หลังจากนั้นแกก็กลายเป็นลูกค้าประจำของร้าน
ผมกับจอร์จอายุอานามใกล้เคียงกัน ชอบมวยเหมือนกัน แต่เขามีรูปร่างที่หนา เป็นทรงนักมวย ซึ่งต่างจากผมที่ไม่ค่อยมีกล้ามเนื้อและเริ่มจะลงพุง เวลาผ่านไปปีกว่า เราสนิทกันมากขึ้น ผมเลยมีคำถามที่อยากจะถาม แต่ไม่เคยสบโอกาส และแล้ววันนึงผมนึกขึ้นมาได้ เลยถามจอร์จไปว่า “คุณทำงานอะไรเหรอ” จอร์จมองผมและนิ่งไปพักนึง แล้วถามกลับมาว่า “นายอยากรู้จริงๆเหรอ” เอาแล้วซิ หรือเขาทำงานกรมสรรพากร ไม่น่าจะใช่ จอร์จย้ำอีกครั้ง ว่าอยากรู้จริงๆอ่ะ พร้อมกับยิ้มมุมปาก ใจผมคิดว่าเขาต้องเป็นสายลับให้รัฐบาลเหมือนกะในหนัง เอาแล้วเว้ย คงจะเจ๋งน่าดู
สุดท้าย จอร์จ เฉลยว่า เขาเป็น คนตรวจสุขอนามัยร้านอาหาร (Health Inspector) หรือ ภาษาทีพูดกันเล่นๆว่า ตำรวจร้านอาหาร(Restaurant Police)นาทีนั้นใจผมหล่นไปที่ตาตุ่ม
ต้องเข้าใจนะครับว่าเจ้าของร้าน หรือคนทำงานร้านอาหาร ไม่มีใครที่จะถูกชะตา หรือ อยากเป็นเพื่อนกับ “ตำรวจร้านอาหาร” จอร์จคุณหลอกดาว!! เพราะอาชีพที่ทำ กับพฤติกรรมที่อยู่ไทย โดยกินของข้างทางทั้งแมลง ส้มตำปลาร้า กุ้งเต้น แถมเย็นๆนั่งกินเหล้าขาวกับนักมวยในค่าย เป็นอะไรที่ขัดแย้งกับอาชีพ “ตำรวจร้านอาหาร”จริงๆ
พวกนี้เวลามาตรวจร้านอาหารเขาจะดูทั้งอุณหภูมิ เช็คของร้อน ของเย็น การจัดเก็บของ(ห้ามวางบนพื้น) แมลงวัน แมลงสาป หนู ถ้าเห็น ก็จะแจกใบเหลือง หรือถึงขั้นปิดร้าน จอร์จเองไม่เลือกที่จะตรวจร้านที่ผมทำงาน เพราะตัวเขาเป็นลูกค้า
บทสนทนาของเรา เกี่ยวกับ “วังจั่นน้อย” ไม่มีทางเหมือนเดิมอีกต่อไป
อุ๊นักเรียนภาษา วันไหนที่ร้านไม่ยุ่ง ผมจะให้น้องมาหัดเสิร์ฟ อุ๊เรียนภาษามาเกือบปี ทุกครั้งที่ถามว่าเธอเรียนหลักสูตรอะไร เธอจะบอกว่า หลักสูตรอินเตอร์ ซึ่งก็จริงอย่างที่เธอว่า เพราะเพื่อนๆของอู๊ มีทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น ยุโรป และ อเมริกาใต้เรียกว่าอินเตอร์จริงๆ
วันนึงอุ๊ ยกอาหารไปเสิร์ฟโต๊ะที่มีแต่ชายล้วนห้าหกคน ผมเห็นอุ๊คุยกับลูกค้า สักพักทั้งโต๊ะหัวเราะกันลั่น อุ๊เดินหน้านิ่งกลับมา ผมเลยแซว “เดี๋ยวนี้เก่งแล้ว ยิงมุขใส่ลูกค้า”
“มุข อาร่ายไม่มี” อุ๊ทำหน้างง “อ้าวแล้วคุยอะไรกับลูกค้า” ผมถาม ลูกค้าถามอุ๊ว่า เธอมาเรียนอะไรที่ต่างประเทศ เธอก็บอกว่าเรียนคอร์สอินเตอร์ ผมถามย้ำว่า “แล้วอุ๊พูดเป็นภาษาอังกฤษว่ายังไง”
หนูก็พูดว่า “Intercourse”
จริงๆคำนี้มีความหมายว่า “การร่วมเพศ”