เรื่องนี้เพิ่งจะผ่านไปเมื่อวาน เรายังงงๆว่า มันเกิดอะไรขึ้น ถึงได้วุ่นวายขนาดนี้
เรื่องมีอยู่ว่า ผู้บังคับบัญชาเรียกเราไปคุยเกี่ยวกับโครงการที่เรารับผิดชอบอยู่ ซึ่งมีแผนว่าจะจ้างพนักงานขับรถยนต์ ว่าท่านรู้จักกับคนนึง คิดว่าจะสามารถช่วยงานเราได้ นอกจากขับรถแล้ว คือจ้างคนๆเดียว แต่ทำหน้าที่ได้หลายอย่าง เราก็ไม่มีปัญหา และตกลงตามนั้น คือจ้างในเงินเดือนที่ค่อนข้างสูง สูงกว่าลูกจ้างในโครงการทุกคน เพราะผู้บังคับบัญชาคิดว่า เขาจะสามารถทำงานได้หลายอย่าง
พอคุยกับผู้บังคับบัญชาเสร็จ เราก็โทรคุยกับเจ้าตัว และเขาก็ตอบตกลงแทบจะทันที เราเลยให้เขาเอาเอกสารเข้ามาให้ฝ่ายบริหาร และทำให้เรารู้ว่า น้องไม่มีใบขับขี่ และเพิ่งจะขับรถได้ประมาณสองปี แต่ด้วยอยากให้โอกาสก็เลยบอกให้ไปทำใบขับขี่มา และทุกอย่างก็เหมือนจะเริ่มต้นด้วยดี
เราให้เขาเริ่มงานต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก็คือวันที่2 จู่ๆเขาก็โทรมาถามเราว่า วันที่ 2 ต้องไปทำงานไหม เพราะน่าจะเป็นวันหยุด เราบอกว่าทำ และบอกว่ามันไม่ใช่วันหยุดนะ เขาก็ตอบรับตามที่เราบอก เราก็คิดนะ เรื่องแค่นี้ ทำไมไม่รู้ แต่ก็คิดว่าแค่เล็กน้อย ไม่ได้ใส่ใจ
ช่วงแรกที่น้องมาเริ่มทำงาน เราพาไปแนะนำตัวกับพนักงานขับรถที่อยู่มาก่อน เพื่อให้รู้จักกัน และให้ช่วยสอนงานให้ พี่ๆก็ช่วยเหลือดี เราก็วางใจว่าทุกอย่างน่าจะดี
วันแรกที่น้องต้องขับรถให้เรา พอเรานั่งยังไม่พ้นรั้วสำนักงาน น้องเบรคหัวทิ่ม บอกไม่คุ้นกับรถและก็เป็นแบบนี้ตลอดทาง เราก็เริ่มละ คิดว่า ถ้าไม่คุ้นกับรถ ก็น่าจะลองเบรคสักสองสามรอบ แต่นี่เหยียบเบรคลึก เอาเราหัวทิ่มไปตลอดทาง และน้องก็ดูไม่มั่นใจในการขับรถเท่าไหร่ และแล้วเรื่องก็เกิด พอเราคุยงานเสร็จ ก็จะรีบกลับ ปรากฎว่า รถสตาร์ทไม่ติดค่ะ และน้องก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แก้ไขปัญหาไม่ได้ เราก็เลยโทรหาพี่คนขับรถที่หน่วยงานให้มาช่วย และเราคิดเองว่า แบตน่าจะหมดให้เอาสายมาพ่วงแบตด้วย พี่คนขับรถมาพร้อมคนงานอีกสามสี่คน และก็ช่วยกันเข็นรถจนสตาร์ทติด เราก็ถามพี่ไปว่า มันเกิดจากอะไร พี่บอกว่าไฟหน้าขึ้นแบตอ่อน และก็แยกย้าย เราก็นั่งรถคันเดิมกลับ ทั้งๆที่พี่คนขับไม่อยากให้เรานั่งกลับกับน้อง ระหว่างทาง เราก็เลยถามน้องไปว่า ก่อนจะสตาร์ทรถ ไม่ได้สังเกตเหรอว่า ไฟแบตขึ้น น้องบอกว่าเห็น แต่ไม่คิดว่าแบตจะหมด เราก็หงุดหงิดเล็กน้อย ก็เลยบอกไปว่า คราวหน้าถ้ารถมีปัญหาต้องแจ้ง เพราะเกิดออกพื้นที่ต่างจังหวัดที่ไกลๆ เกิดแบตหมดแบบนี้จะทำยังไง และแล้วเรื่องก็ถึงหูผู้บังคับบัญชา เพราะพี่คนขับไปแจ้งท่าน ผลคือ ท่านไม่ให้น้องขับรถประมาณหนึ่งอาทิตย์ เราก็ให้ช่วยทำงานอย่างอื่น
และแล้วก็เกิดเรื่องอีก เราต้องไปต่างจังหวัด ผู้บังคับบัญชาให้น้องลองขับรถให้เรา น้องก็บอกไม่รู้ทาง เราก็ไม่อะไร บอกไม่รู้ก็ถามทางเอา แต่ก็บอกให้น้องหาข้อมูลเส้นทางไว้ล่วงหน้า ขาไปถึงจะหลงทางบ้างก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ขากลับ ระหว่างทาง จู่ๆน้องก็ถามเราว่า พี่จะต้องเติมน้ำมันไหม? เราได้ยิน ยอมรับตกใจ เพราะสองข้างทางมีแต่ป่า ก็หงุดหงิด และบอกไปว่า พี่ไม่ได้ขับรถ ไม่ได้ดูเลขไมล์กับเกน้ำมัน พี่จะรู้ไหมว่าต้องเติมรึเปล่า แล้วเราก็เงียบ คำพูดเราแบบนี้แหละ ที่น้องไปเล่าให้คนอื่นฟังว่า ถูกเราด่า แค่เขาขับรถและถามตอนน้ำมันใกล้จะหมด
พอถึงหน่วยงาน เราไปคุยกับหัวหน้าแผนกเกี่ยวกับรถว่า รถที่เอาไปเข็มน้ำมันไม่ดี ให้เปลี่ยนด้วย เพราะเราไม่อยากกังวลใจเรื่องไม่เป็นเรื่อง พี่เขาบอกว่า ก่อนออกไป บอกน้องไว้แล้วว่า พี่เขาเติมน้ำมันให้เต็มถัง ถ้าวิ่งใกล้ 400 กิโลเมตร ให้เติมน้ำมัน เพราะเข็มน้ำมันไม่ค่อยดี เราก็เข้าใจเหตุการณ์ แต่เราก็ยืนยันให้เปลี่ยน ถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยคุ้มที่จะซ่อมเท่าไหร่ เอาที่เราสบายใจ และเรื่องก็ถึงหูผู้บังคับบัญชาอีก พี่ที่เป็นหัวหน้านำเรื่องไปรายงาน และผู้บังคับบัญชาก็ไม่ให้ขับรถไปไหนไกลๆ หรือถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ให้ขับ และให้ทำงานอย่างอื่นแทน เพื่อรอเวลาที่เราจะออกภาคสนาม ซึ่งท่านคิดว่าน้องคนนี้น่าจะทำหน้าที่ได้ดี
มาถึงจุดแตกหัก จุดพีคก็มาถึง พอไม่ได้ขับรถ เราก็ให้ทำหน้าที่อื่น เราให้น้องโทรประสานงานผู้ที่จะเข้าร่วมกิจกรรมกับเรา เราส่งรายชื่อคนที่จะให้น้องโทร เป็นสำเนารายชื่อส่งจดหมาย บอกว่า น้องโทรไปหาคนที่เราส่งจดหมายไปเชิญเขามาร่วม ถามเขาว่าได้รับเอกสารหรือยัง และขอให้ส่งแบบตอบรับภายในวันจันทร์คือ เมื่อวาน แต่คือ ใบรายชื่อส่งจดหมายกับเบอร์โทรศัพท์จะแยกกันอยู่ เบอร์โทรศัพท์น้องต้องไปเอาในบัญชีรายชื่อทั้งหมด ซึ่งเราก็ติคไว้แล้วว่ามีใครบ้างที่เราเลือกเชิญ และทุกครั้งที่เราสั่งงาน เราจะให้น้องเอากระดาษมาจดทุกครั้ง และถามว่าสงสัยอะไรไหม น้องก็ตอบรับดีเช่นเคย ผ่านไปสองวัน เราก็เลยถามตามงานว่ายังโทรไม่เสร็จ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า จนมารู้ว่า น้องโทรไปหาคนในบัญชีทั้งหมด แต่ยังไม่ได้โทรหาคนที่เราส่งจดหมายไปเชิญ เราลมแทบจับ เลยถามไปว่า เธอไม่เอะใจอะไรเลยเหรอว่า โทรไปหาเขาทั้งๆที่เราไม่ได้ส่งจดหมายไปให้ เราเลยเอาโทรศัพท์ของตัวเองให้น้องเร่งโทร เพราะเกรงใจที่ใช้โทรศัพท์สำนักงานมาสองสามวันแล้ว แต่มันก็เย็นวันพฤหัสบดีแล้ว และน้องก็ขอลาในวันศุกร์ ทั้งๆที่งานยังคาอยู่ และคือ วันศุกร์เราออกพื้นที่ เราจึงถามว่า ที่ยังไม่ได้โทรจะทำยังไง เพราะเหลือเวลาแค่วันศุกร์วันเดียว เสาร์ อาทิตย์ หน่วยงานราชการก็จะติดต่อไม่ได้ น้องก็เลยรับปากว่า จะเอารายชื่อเอาเบอร์ไปโทรให้ เราก็นะ โล่งใจ ก็ไปทำงานตัวเอง พอกลับถึงหน่วยงานในวันเสาร์ เราเห็นรายชื่อยังวางอยู่บนโต๊ะ เลยโทรถามน้องว่า ไม่ได้ลาเหรอ เห็นเบอร์โทรยังวางอยู่ น้องบอกว่าลา แต่ไม่ได้เอาเบอร์ไปโทรให้
พอได้ยิน เราปรี๊ดแตกทันที บอกว่า เธอรับปากทำไม รับปากแล้วทำไม่ได้ แล้วน้องก็โมโหกลบเกลื่อนมาว่า เราเกลียดเขาไม่ไหม เขาก็เกลียดเรา และพูดข่มขู่เราสารพัด พี่ไม่กลัว ผมจะร้องเรียนเหรอ ผมเป็นคนโหดร้ายมากนะ อะไรประมาณนี้ เราก็ฟังๆ และก็บอกว่า เราจะไปคุยกับผู้บังคับบัญชา เราคงให้เขาทำงานตำแหน่งนี้ไม่ได้ และเราก็เดินลงไปคุยกับผู้บังคับบัญชาที่บ้านพัก ว่า เราทำงานกับน้องไม่ได้ น้องดูแลรถไม่ได้ ขับรถก็ทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัย แต่เราก็ยังไม่ได้เล่าเหตุการณ์ล่าสุดนะ เพราะเราก็ยังไม่คิดว่า น้องต้องลาออกเลย
ระหว่างทางกลับบ้าน เราก็คิดทบทวนนะ นี่ขนาดเรา น้องยังกล้าขู่ แล้วคนอื่นล่ะ น้องก็คงทำแบบเดียวกัน คือ น้องเขาจบคณะที่จะไปสอบปลัด อบต ปลัดเทศบาลได้อ่ะค่ะ แต่น้องบอกไม่ชอบทำงานเกี่ยวกับหนังสือ น้องว่ามาแบบนี้นะคะ พอถึงบ้าน เราก็ให้พี่ชายขับรถไปสถานีตำรวจเพื่อลงบันทึกประจำวัน ร้อยเวรโทรหาน้อง น้องก็เล่าแบบน่าสงสารว่า ถูกเราด่า แค่ขับรถน้ำมันใกล้จะหมดก็ด่า ร้อยเวรก็มาคุยกับเรา เราก็ว่าคำด่าของเรา ก็ตามนั้นล่ะค่ะ พี่ไม่ได้ขับรถ ไม่ได้ดูเกน้ำมัน ไม่เห็นเลขไมล์ พี่จะรู้ไหมว่าต้องเติมน้ำมันไหม แต่คือตอนนั้นทั้งตกใจ ทั้งเครียด เพราะข้างทางมีแต่ป่า ยังคิดอยู่เลยว่าต้องโทรหา 191 ตอนรถน้ำมันหมด ร้อยเวรก็ยังพยายามไกล่เกลี่ยว่า ถ้าน้ำมันหมดก็แค่เรียก 191 แต่พอเราเล่าเรื่องงานที่ให้น้องโทรประสานงานล่าสุดให้ฟัง พี่ร้อยเวรบอกว่า อยากลงบันทึกประจำวันก็ลงไปเถอะ ตามใจ คือ พี่แกไม่มีเหตุผลมาแก้ต่างให้ สรุปเราก็ลงบันทึกประจำวันไปว่า ถูกข่มขู่
พอเรากลับถึงบ้าน น้องก็โทรหาเรา และเราก็รับ น้องบอกว่า พี่ไปแจ้งความอะไรผม ตำรวจโทรหา ทำให้ประวัติผมเสีย ผมจะแจ้งความกลับพี่ เราก็พูดกลับไปว่า เธออยากทำอะไรก็ตามใจเลย พี่จะออกไปทำธุระข้างนอก แล้วน้องก็ตัดสายไป
เมื่อวานค่ะ เราต้องไล่โทรหาทุกคนที่เชิญมา ถึงรู้ว่าน้องหมกปัญหาไว้เยอะมาก บางคนยังไม่ได้รับเอกสาร แจ้งให้น้องส่งไปให้ใหม่ แต่น้องก็ยังไม่ได้ส่งให้ บางคนเดินทางไกลขอเข้าพัก น้องบอกเข้าพักไม่ได้ เล่นเอาเราแทบสลบเหมือดเลยกว่าจะเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อย
และ ผู้บังคับบัญชาก็เรียกเราไปคุย บอกว่า วันเสาร์ น้องโทรไปหาท่าน บอกถูกเราไปแจ้งความว่า น้องข่มขู่เรา เราก็ตกใจนะ เพราะเรากะจะไม่บอกท่าน เรายังคิดว่า เขาไม่ทำงานภายใต้เรา ก็ยังมีโอกาสทำงานอย่างอื่น แต่จุดประสงค์ที่น้องโทรหาท่าน ก็เพื่อให้เราถอนการลงบันทึกประจำวัน เพราะเราไม่กลัวคำขู่ของน้องที่ว่าจะฟ้องกลับ เลยพึ่งผู้บังคับบัญชา แต่เรารู้จักท่านดี ท่านไม่เข้าข้างอะไรที่ผิดอยู่แล้ว เราเลยจำเป็นเล่าทุกอย่างให้ฟัง และผลคือ ท่านบอกเอาไว้ไม่ได้ ให้เราหาคนใหม่มาแทน
ไม่น่าเชื่อว่านี่มันเกิดกับชีวิตเราด้วย 555 แต่อย่างที่เล่า เราไม่ได้อยากให้เขาลาออก แค่เปลี่ยนตำแหน่ง และลดเงินเดือนให้เหมาะสมกับความสามารถของเขา จึงไม่ได้บอกผู้บังคับบัญชาเรื่อง ตำรวจ แต่น้องกลับเป็นคนบอกท่านซะเอง ทุกอย่างก็เลยจบ
เหตุการณ์ครั้งนี้ เราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง หนึ่งล่ะ การเป็นผู้หญิง และมีลูกน้องผู้ชายอยู่ใต้บังคับบัญชา ซึ่งอายุไม่ห่างกันมาก แน่นอนล่ะ การแสดงอารมณ์เป็นสิ่งที่เรายังควบคุมได้ไม่ดี ทำให้เขาไม่มีความสุขในการทำงาน และยิ่งน้องเคยรับราชการทหารมาก่อน เขาคิดว่าเกียรติเขาสำคัญกว่าสิ่งใด และเขาก็คิดว่าเขายอมเรามากเกินไป แต่ความจริง เราก็มีลูกน้องผู้ชายมาเยอะนะ หัวสองสีก็มี แต่ที่ไม่มีเรื่อง เพราะเขาทำหน้าที่ของเขาไม่บกพร่อง และยอมรับสถานะที่ต่างกันได้
สุดท้าย เราอยากจะฝากไว้ สำหรับบางคนที่คิดว่า ตัวเองรู้มากกว่าคนอื่น แล้วใช้ความรู้ที่ตัวเองเรียนมา ข่มขู่เพื่อจะให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตัวเองต้องการ ให้คิดให้ดีๆและด้วยความรอบคอบ เราฟังแล้วเราคิดนะ ถ้าหัวหน้าของน้องเป็นป้าแก่ๆ ขี้กลัว ถูกน้องขู่จะร้องเรียน จะอะไรแบบนี้ หรือ ชาวบ้านตาสีตาสาที่รู้น้อยกว่า ก็คงยอมเหมือนกัน แต่สำหรับเราแล้ว เราไม่ใช่ ถ้าเราไม่มีชนักติดหลัง ใครก็มาขู่เขาไม่ได้ เราถึงตอบแบบใจเย็นตอนที่น้องโทรมาว่าจะฟ้องกลับว่า อยากทำอะไรก็ตามใจ เราไม่ว่า
คนที่จะไปสอบปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่คิดได้แค่นี้ เราสงสารชาวบ้าน สงสารประเทศชาติมาก ทำไมเขาถึงไม่มองและพิจารณาตัวเองก่อนที่จะไปโทษคนอื่น ก็ขอให้น้องเขาได้ทำงานที่เขามีความสุข และไม่อยากให้น้องทำแบบนี้กับใครอีก เพราะถ้าเจอตอ น้องนั่นแหละจะเจ็บ
เมื่อเจอลูกน้องหัวหมอ แต่ทำงานไร้ประสิทธิภาพ
เรื่องมีอยู่ว่า ผู้บังคับบัญชาเรียกเราไปคุยเกี่ยวกับโครงการที่เรารับผิดชอบอยู่ ซึ่งมีแผนว่าจะจ้างพนักงานขับรถยนต์ ว่าท่านรู้จักกับคนนึง คิดว่าจะสามารถช่วยงานเราได้ นอกจากขับรถแล้ว คือจ้างคนๆเดียว แต่ทำหน้าที่ได้หลายอย่าง เราก็ไม่มีปัญหา และตกลงตามนั้น คือจ้างในเงินเดือนที่ค่อนข้างสูง สูงกว่าลูกจ้างในโครงการทุกคน เพราะผู้บังคับบัญชาคิดว่า เขาจะสามารถทำงานได้หลายอย่าง
พอคุยกับผู้บังคับบัญชาเสร็จ เราก็โทรคุยกับเจ้าตัว และเขาก็ตอบตกลงแทบจะทันที เราเลยให้เขาเอาเอกสารเข้ามาให้ฝ่ายบริหาร และทำให้เรารู้ว่า น้องไม่มีใบขับขี่ และเพิ่งจะขับรถได้ประมาณสองปี แต่ด้วยอยากให้โอกาสก็เลยบอกให้ไปทำใบขับขี่มา และทุกอย่างก็เหมือนจะเริ่มต้นด้วยดี
เราให้เขาเริ่มงานต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก็คือวันที่2 จู่ๆเขาก็โทรมาถามเราว่า วันที่ 2 ต้องไปทำงานไหม เพราะน่าจะเป็นวันหยุด เราบอกว่าทำ และบอกว่ามันไม่ใช่วันหยุดนะ เขาก็ตอบรับตามที่เราบอก เราก็คิดนะ เรื่องแค่นี้ ทำไมไม่รู้ แต่ก็คิดว่าแค่เล็กน้อย ไม่ได้ใส่ใจ
ช่วงแรกที่น้องมาเริ่มทำงาน เราพาไปแนะนำตัวกับพนักงานขับรถที่อยู่มาก่อน เพื่อให้รู้จักกัน และให้ช่วยสอนงานให้ พี่ๆก็ช่วยเหลือดี เราก็วางใจว่าทุกอย่างน่าจะดี
วันแรกที่น้องต้องขับรถให้เรา พอเรานั่งยังไม่พ้นรั้วสำนักงาน น้องเบรคหัวทิ่ม บอกไม่คุ้นกับรถและก็เป็นแบบนี้ตลอดทาง เราก็เริ่มละ คิดว่า ถ้าไม่คุ้นกับรถ ก็น่าจะลองเบรคสักสองสามรอบ แต่นี่เหยียบเบรคลึก เอาเราหัวทิ่มไปตลอดทาง และน้องก็ดูไม่มั่นใจในการขับรถเท่าไหร่ และแล้วเรื่องก็เกิด พอเราคุยงานเสร็จ ก็จะรีบกลับ ปรากฎว่า รถสตาร์ทไม่ติดค่ะ และน้องก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แก้ไขปัญหาไม่ได้ เราก็เลยโทรหาพี่คนขับรถที่หน่วยงานให้มาช่วย และเราคิดเองว่า แบตน่าจะหมดให้เอาสายมาพ่วงแบตด้วย พี่คนขับรถมาพร้อมคนงานอีกสามสี่คน และก็ช่วยกันเข็นรถจนสตาร์ทติด เราก็ถามพี่ไปว่า มันเกิดจากอะไร พี่บอกว่าไฟหน้าขึ้นแบตอ่อน และก็แยกย้าย เราก็นั่งรถคันเดิมกลับ ทั้งๆที่พี่คนขับไม่อยากให้เรานั่งกลับกับน้อง ระหว่างทาง เราก็เลยถามน้องไปว่า ก่อนจะสตาร์ทรถ ไม่ได้สังเกตเหรอว่า ไฟแบตขึ้น น้องบอกว่าเห็น แต่ไม่คิดว่าแบตจะหมด เราก็หงุดหงิดเล็กน้อย ก็เลยบอกไปว่า คราวหน้าถ้ารถมีปัญหาต้องแจ้ง เพราะเกิดออกพื้นที่ต่างจังหวัดที่ไกลๆ เกิดแบตหมดแบบนี้จะทำยังไง และแล้วเรื่องก็ถึงหูผู้บังคับบัญชา เพราะพี่คนขับไปแจ้งท่าน ผลคือ ท่านไม่ให้น้องขับรถประมาณหนึ่งอาทิตย์ เราก็ให้ช่วยทำงานอย่างอื่น
และแล้วก็เกิดเรื่องอีก เราต้องไปต่างจังหวัด ผู้บังคับบัญชาให้น้องลองขับรถให้เรา น้องก็บอกไม่รู้ทาง เราก็ไม่อะไร บอกไม่รู้ก็ถามทางเอา แต่ก็บอกให้น้องหาข้อมูลเส้นทางไว้ล่วงหน้า ขาไปถึงจะหลงทางบ้างก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ขากลับ ระหว่างทาง จู่ๆน้องก็ถามเราว่า พี่จะต้องเติมน้ำมันไหม? เราได้ยิน ยอมรับตกใจ เพราะสองข้างทางมีแต่ป่า ก็หงุดหงิด และบอกไปว่า พี่ไม่ได้ขับรถ ไม่ได้ดูเลขไมล์กับเกน้ำมัน พี่จะรู้ไหมว่าต้องเติมรึเปล่า แล้วเราก็เงียบ คำพูดเราแบบนี้แหละ ที่น้องไปเล่าให้คนอื่นฟังว่า ถูกเราด่า แค่เขาขับรถและถามตอนน้ำมันใกล้จะหมด
พอถึงหน่วยงาน เราไปคุยกับหัวหน้าแผนกเกี่ยวกับรถว่า รถที่เอาไปเข็มน้ำมันไม่ดี ให้เปลี่ยนด้วย เพราะเราไม่อยากกังวลใจเรื่องไม่เป็นเรื่อง พี่เขาบอกว่า ก่อนออกไป บอกน้องไว้แล้วว่า พี่เขาเติมน้ำมันให้เต็มถัง ถ้าวิ่งใกล้ 400 กิโลเมตร ให้เติมน้ำมัน เพราะเข็มน้ำมันไม่ค่อยดี เราก็เข้าใจเหตุการณ์ แต่เราก็ยืนยันให้เปลี่ยน ถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยคุ้มที่จะซ่อมเท่าไหร่ เอาที่เราสบายใจ และเรื่องก็ถึงหูผู้บังคับบัญชาอีก พี่ที่เป็นหัวหน้านำเรื่องไปรายงาน และผู้บังคับบัญชาก็ไม่ให้ขับรถไปไหนไกลๆ หรือถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ให้ขับ และให้ทำงานอย่างอื่นแทน เพื่อรอเวลาที่เราจะออกภาคสนาม ซึ่งท่านคิดว่าน้องคนนี้น่าจะทำหน้าที่ได้ดี
มาถึงจุดแตกหัก จุดพีคก็มาถึง พอไม่ได้ขับรถ เราก็ให้ทำหน้าที่อื่น เราให้น้องโทรประสานงานผู้ที่จะเข้าร่วมกิจกรรมกับเรา เราส่งรายชื่อคนที่จะให้น้องโทร เป็นสำเนารายชื่อส่งจดหมาย บอกว่า น้องโทรไปหาคนที่เราส่งจดหมายไปเชิญเขามาร่วม ถามเขาว่าได้รับเอกสารหรือยัง และขอให้ส่งแบบตอบรับภายในวันจันทร์คือ เมื่อวาน แต่คือ ใบรายชื่อส่งจดหมายกับเบอร์โทรศัพท์จะแยกกันอยู่ เบอร์โทรศัพท์น้องต้องไปเอาในบัญชีรายชื่อทั้งหมด ซึ่งเราก็ติคไว้แล้วว่ามีใครบ้างที่เราเลือกเชิญ และทุกครั้งที่เราสั่งงาน เราจะให้น้องเอากระดาษมาจดทุกครั้ง และถามว่าสงสัยอะไรไหม น้องก็ตอบรับดีเช่นเคย ผ่านไปสองวัน เราก็เลยถามตามงานว่ายังโทรไม่เสร็จ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า จนมารู้ว่า น้องโทรไปหาคนในบัญชีทั้งหมด แต่ยังไม่ได้โทรหาคนที่เราส่งจดหมายไปเชิญ เราลมแทบจับ เลยถามไปว่า เธอไม่เอะใจอะไรเลยเหรอว่า โทรไปหาเขาทั้งๆที่เราไม่ได้ส่งจดหมายไปให้ เราเลยเอาโทรศัพท์ของตัวเองให้น้องเร่งโทร เพราะเกรงใจที่ใช้โทรศัพท์สำนักงานมาสองสามวันแล้ว แต่มันก็เย็นวันพฤหัสบดีแล้ว และน้องก็ขอลาในวันศุกร์ ทั้งๆที่งานยังคาอยู่ และคือ วันศุกร์เราออกพื้นที่ เราจึงถามว่า ที่ยังไม่ได้โทรจะทำยังไง เพราะเหลือเวลาแค่วันศุกร์วันเดียว เสาร์ อาทิตย์ หน่วยงานราชการก็จะติดต่อไม่ได้ น้องก็เลยรับปากว่า จะเอารายชื่อเอาเบอร์ไปโทรให้ เราก็นะ โล่งใจ ก็ไปทำงานตัวเอง พอกลับถึงหน่วยงานในวันเสาร์ เราเห็นรายชื่อยังวางอยู่บนโต๊ะ เลยโทรถามน้องว่า ไม่ได้ลาเหรอ เห็นเบอร์โทรยังวางอยู่ น้องบอกว่าลา แต่ไม่ได้เอาเบอร์ไปโทรให้
พอได้ยิน เราปรี๊ดแตกทันที บอกว่า เธอรับปากทำไม รับปากแล้วทำไม่ได้ แล้วน้องก็โมโหกลบเกลื่อนมาว่า เราเกลียดเขาไม่ไหม เขาก็เกลียดเรา และพูดข่มขู่เราสารพัด พี่ไม่กลัว ผมจะร้องเรียนเหรอ ผมเป็นคนโหดร้ายมากนะ อะไรประมาณนี้ เราก็ฟังๆ และก็บอกว่า เราจะไปคุยกับผู้บังคับบัญชา เราคงให้เขาทำงานตำแหน่งนี้ไม่ได้ และเราก็เดินลงไปคุยกับผู้บังคับบัญชาที่บ้านพัก ว่า เราทำงานกับน้องไม่ได้ น้องดูแลรถไม่ได้ ขับรถก็ทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัย แต่เราก็ยังไม่ได้เล่าเหตุการณ์ล่าสุดนะ เพราะเราก็ยังไม่คิดว่า น้องต้องลาออกเลย
ระหว่างทางกลับบ้าน เราก็คิดทบทวนนะ นี่ขนาดเรา น้องยังกล้าขู่ แล้วคนอื่นล่ะ น้องก็คงทำแบบเดียวกัน คือ น้องเขาจบคณะที่จะไปสอบปลัด อบต ปลัดเทศบาลได้อ่ะค่ะ แต่น้องบอกไม่ชอบทำงานเกี่ยวกับหนังสือ น้องว่ามาแบบนี้นะคะ พอถึงบ้าน เราก็ให้พี่ชายขับรถไปสถานีตำรวจเพื่อลงบันทึกประจำวัน ร้อยเวรโทรหาน้อง น้องก็เล่าแบบน่าสงสารว่า ถูกเราด่า แค่ขับรถน้ำมันใกล้จะหมดก็ด่า ร้อยเวรก็มาคุยกับเรา เราก็ว่าคำด่าของเรา ก็ตามนั้นล่ะค่ะ พี่ไม่ได้ขับรถ ไม่ได้ดูเกน้ำมัน ไม่เห็นเลขไมล์ พี่จะรู้ไหมว่าต้องเติมน้ำมันไหม แต่คือตอนนั้นทั้งตกใจ ทั้งเครียด เพราะข้างทางมีแต่ป่า ยังคิดอยู่เลยว่าต้องโทรหา 191 ตอนรถน้ำมันหมด ร้อยเวรก็ยังพยายามไกล่เกลี่ยว่า ถ้าน้ำมันหมดก็แค่เรียก 191 แต่พอเราเล่าเรื่องงานที่ให้น้องโทรประสานงานล่าสุดให้ฟัง พี่ร้อยเวรบอกว่า อยากลงบันทึกประจำวันก็ลงไปเถอะ ตามใจ คือ พี่แกไม่มีเหตุผลมาแก้ต่างให้ สรุปเราก็ลงบันทึกประจำวันไปว่า ถูกข่มขู่
พอเรากลับถึงบ้าน น้องก็โทรหาเรา และเราก็รับ น้องบอกว่า พี่ไปแจ้งความอะไรผม ตำรวจโทรหา ทำให้ประวัติผมเสีย ผมจะแจ้งความกลับพี่ เราก็พูดกลับไปว่า เธออยากทำอะไรก็ตามใจเลย พี่จะออกไปทำธุระข้างนอก แล้วน้องก็ตัดสายไป
เมื่อวานค่ะ เราต้องไล่โทรหาทุกคนที่เชิญมา ถึงรู้ว่าน้องหมกปัญหาไว้เยอะมาก บางคนยังไม่ได้รับเอกสาร แจ้งให้น้องส่งไปให้ใหม่ แต่น้องก็ยังไม่ได้ส่งให้ บางคนเดินทางไกลขอเข้าพัก น้องบอกเข้าพักไม่ได้ เล่นเอาเราแทบสลบเหมือดเลยกว่าจะเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อย
และ ผู้บังคับบัญชาก็เรียกเราไปคุย บอกว่า วันเสาร์ น้องโทรไปหาท่าน บอกถูกเราไปแจ้งความว่า น้องข่มขู่เรา เราก็ตกใจนะ เพราะเรากะจะไม่บอกท่าน เรายังคิดว่า เขาไม่ทำงานภายใต้เรา ก็ยังมีโอกาสทำงานอย่างอื่น แต่จุดประสงค์ที่น้องโทรหาท่าน ก็เพื่อให้เราถอนการลงบันทึกประจำวัน เพราะเราไม่กลัวคำขู่ของน้องที่ว่าจะฟ้องกลับ เลยพึ่งผู้บังคับบัญชา แต่เรารู้จักท่านดี ท่านไม่เข้าข้างอะไรที่ผิดอยู่แล้ว เราเลยจำเป็นเล่าทุกอย่างให้ฟัง และผลคือ ท่านบอกเอาไว้ไม่ได้ ให้เราหาคนใหม่มาแทน
ไม่น่าเชื่อว่านี่มันเกิดกับชีวิตเราด้วย 555 แต่อย่างที่เล่า เราไม่ได้อยากให้เขาลาออก แค่เปลี่ยนตำแหน่ง และลดเงินเดือนให้เหมาะสมกับความสามารถของเขา จึงไม่ได้บอกผู้บังคับบัญชาเรื่อง ตำรวจ แต่น้องกลับเป็นคนบอกท่านซะเอง ทุกอย่างก็เลยจบ
เหตุการณ์ครั้งนี้ เราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง หนึ่งล่ะ การเป็นผู้หญิง และมีลูกน้องผู้ชายอยู่ใต้บังคับบัญชา ซึ่งอายุไม่ห่างกันมาก แน่นอนล่ะ การแสดงอารมณ์เป็นสิ่งที่เรายังควบคุมได้ไม่ดี ทำให้เขาไม่มีความสุขในการทำงาน และยิ่งน้องเคยรับราชการทหารมาก่อน เขาคิดว่าเกียรติเขาสำคัญกว่าสิ่งใด และเขาก็คิดว่าเขายอมเรามากเกินไป แต่ความจริง เราก็มีลูกน้องผู้ชายมาเยอะนะ หัวสองสีก็มี แต่ที่ไม่มีเรื่อง เพราะเขาทำหน้าที่ของเขาไม่บกพร่อง และยอมรับสถานะที่ต่างกันได้
สุดท้าย เราอยากจะฝากไว้ สำหรับบางคนที่คิดว่า ตัวเองรู้มากกว่าคนอื่น แล้วใช้ความรู้ที่ตัวเองเรียนมา ข่มขู่เพื่อจะให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตัวเองต้องการ ให้คิดให้ดีๆและด้วยความรอบคอบ เราฟังแล้วเราคิดนะ ถ้าหัวหน้าของน้องเป็นป้าแก่ๆ ขี้กลัว ถูกน้องขู่จะร้องเรียน จะอะไรแบบนี้ หรือ ชาวบ้านตาสีตาสาที่รู้น้อยกว่า ก็คงยอมเหมือนกัน แต่สำหรับเราแล้ว เราไม่ใช่ ถ้าเราไม่มีชนักติดหลัง ใครก็มาขู่เขาไม่ได้ เราถึงตอบแบบใจเย็นตอนที่น้องโทรมาว่าจะฟ้องกลับว่า อยากทำอะไรก็ตามใจ เราไม่ว่า
คนที่จะไปสอบปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่คิดได้แค่นี้ เราสงสารชาวบ้าน สงสารประเทศชาติมาก ทำไมเขาถึงไม่มองและพิจารณาตัวเองก่อนที่จะไปโทษคนอื่น ก็ขอให้น้องเขาได้ทำงานที่เขามีความสุข และไม่อยากให้น้องทำแบบนี้กับใครอีก เพราะถ้าเจอตอ น้องนั่นแหละจะเจ็บ