ประสบการณ์ผลข้างเคียงจากยา (side effect) ที่ไม่น่าจดจำ -_-

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชั่งใจอยู่นาน ว่าผมควรจะมาตั้งกระทู้บอกเล่าเป็นประสบการณ์ให้คนทั่วไปดีหรือป่าว เพราะเป็นเรื่องที่ต้องลงรายละเอีดยทางการแพทย์ลึกพอสมควร และคิดว่าผมคงต้องเสียเวลาลงข้อมูลประกอบการสนทนาเยอะด้วย (สรุปง่ายๆ ว่าเป็นความขี้เกียจส่วนตัว ที่จะลง link และหาข้อมูลประกอบการสนทนาล่ะครับ เหอๆ -_-)

             แต่พอมาคิดอีกที ผมก็ไม่อยากให้มีคนอื่นต้องมาเจอความทรมานเหมือนผม ในเรื่องที่ป้องกันได้ และเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเรา และทุกๆ คนมีโอกาสพลาดได้เหมือนๆ กัน ผมเลยขอยกเอาประสบการณ์ตรงของผมเองที่เจอมากับตัวมาเล่าสู่กันฟังครับ

             ขอเกริ่นก่อนเลยละกันครับ ตัวผมเองทำงานเป็นแพทย์ ประจำโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ประสบการณ์ทำงานก็ประมาณ 10+ ปี แล้วล่ะครับ ถ้ารวมเวลาที่เรียน และทำงานด้วย ก็เห็นอะไรผ่านหูผ่านตามาพอสมควรเกี่ยวกับวงการแพทย์ สิ่งหนึ่งที่เห็นประจำ และกำลังมากขึ้นเรื่อยๆ ก็คือเรื่องการใช้ยาฆ่าเชื้อที่ไม่จำเป็น ซึ่งเกิดจากทั้งแพทย์ และตัวคนไข้ บางครั้งคนไข้ที่มา รพ. ยิ่งใน รพ. เอกชน high end ก็มีความคาดหวังที่จะได้ยาตัวแรงๆ กินทีเดียวหาย รวมทั้งแพทย์เอง ก็ชอบสั่งยาที่ใช้ง่าย วันละครั้ง มีผลครอบคลุมเชื้อหลายๆ ชนิด ซึ่งผลที่ตามมา ที่เลี่ยงไม่ได้ ก็คือ การเกิด เชื้อดื้อยา ตัวใหม่ๆ ทำให้ต้องใช้ยาที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนั้นยังมียาอีกหลายชนิด ที่มีผลข้างเคียงร้ายแรงถึงชีวิต ที่สามารถซื้อได้ตามร้านขายยา โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์ และสิ่งที่ตามมา ก็คือเรื่อง ผลข้างเคียงจากยา (side effect) และอาการแพ้ยา (drug allergy) อย่างรุนแรง

              **ตรงนี้ผมขอขยายความนิดนึงนะครับ เรื่อง ผลข้างเคียงจากยา (side effect) และอาการแพ้ยา (drug allergy), เนื่องจากจุดนี้เป็นเรื่องที่คนไข้ยังสับสนกันมากเวลาให้ข้อมูลกับแพทย์ผู้รักษา เพราะเวลาแพทย์ถามว่าผู้ป่วยแพ้ยาอะไรบ้าง คนไข้ชอบบอกอาการที่เป็น side effect เช่น การกินยาแก้ปวด แล้วมีไตวาย หรือเวียนหัว หรือคลื่นไส้อาเจียน ซึ่งจะต่างจาก drug allergy ซึ่งเป็นเรื่องของปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกัน (immune process) ที่ตอบสนองต่อยาที่เข้าสู่ร่างกายของคนที่มีอาการแพ้ต่อยาตัวนั้นๆ

             Side effect -> จะเป็นสิ่งที่เขียนอยู่ในใบกำกับยา และจุดนี้ในปัจจุบันเราสามารถหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น เช่น ทาง internet โดยการพิมพ์ชื่อยาและใช้คำว่า ผลข้างเคียงจากยา (side effect); ตรงจุดนี้ผมไม่ขอลงตัวอย่างผลข้างเคียงนะครับ เพราะยาแต่ละตัวก็มีผลข้างเคียง และกลไกการเกิดไม่เหมือนกัน ถ้าอยากรู้รายละเอียดยาตัวไหน ผมแนะนำให้ดูจากเอกสารกำกับยา หรือหาใน internet ดูได้ครับ
             Drug allergy -> ผลที่เกิดจากปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกันในร่างกาย ต่อยาที่มีอาการแพ้ ซึ่งก็เหมือนกับที่เจอได้ในคนที่แพ้สิ่งต่างๆ เช่น การแพ้อาหาร เช่น อาหารทะเล ที่มีตั้งแต่อาการน้อย เช่น เป็นผื่นคัน หรือเป็นรุนแรง จนระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตได้, อาการแพ้ยาส่วนใหญ่จะเกิดภายใน 1-2 ชั่วโมง หลังได้รับสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ หรืออาจเป็นวันถึงสัปดาห์ได้ในกรณีที่เป็นลักษณะการแพ้ยาที่หายาก (rare symptom)
; อาการต่อไปนี้ คือตัวอย่างของ
              1. อาการแพ้ยาทั่วไป (common symptom) : Skin rash, Hives, Itching, Fever, Swelling, Shortness of breath, Wheezing, Runny nose, Itchy + watery eyes
              2. อาการแพ้ยารุนแรง : Anaphylaxis (เป็น rare symptom แบบหนึ่งครับ) ที่เป็นภาวะที่มีอาการแพ้ยาทั่วไปร่วมกับอวัยวะภายในหลายๆ อย่างหยุดทำงานที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ และต้องได้รับการรักษาทันที่ครับ
อาการของ Anaphylaxis มีดังนี้ครับ :- Tightening of the airways and throat, causing trouble breathing, Nausea or abdominal cramps, Vomiting or diarrhea, Dizziness or lightheadedness, Weak and rapid pulse, Drop in blood pressure, Seizure, Loss of consciousness
              3. rare symptom แบบอื่นๆ คือ อาการแพ้ยารูปแบบที่พบไม่บ่อย อาจเกิดตามหลังการได้ยาเป็นวัน หรือเป็นสัปดาห์ครับ เช่น
              - Serum sickness - which may cause fever, joint pain, rash, swelling and nausea (เป็นปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกันที่ยาที่แพ้ไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันทำร้ายร่างกายตนเอง)
              - Drug-induced anemia (การแพ้ยากระตุ้นให้เม็ดเลือดแดงแตก) - a reduction in red blood cells, which can cause fatigue, irregular heartbeats, shortness of breath and other symptoms
              - Drug rash with eosinophilia and systemic symptoms (DRESS) (ยากระตุ้นให้เกิดผิวหนังอักเสบเฉียบพลัน; ถ้าเป็นรุนแรงมาก ก็อาจจะเห็นที่เป็นเหมือนในข่าว คือ Stevens–Johnson syndrome (SJS) หรือ toxic epidermal necrolysis (TEN) ที่เป็นอาการอักเสบของผิวหนังอย่างรุนแรงทำให้เป็นแผลเหมือนน้ำร้อนลวกทั้งตัว หรือตาบอดได้ตามที่เราเคยได้ยินข่าวครับ) - which results in rash, high white blood cell count, general swelling, swollen lymph nodes and recurrence of dormant hepatitis infection
              - Inflammation in the kidneys (nephritis) (ยากระตุ้นให้เกิดเนื้อไตอักเสบเฉียบพลัน) - which can cause fever, blood in the urine, general swelling, confusion and other symptoms

            ; ตัวอย่างยาที่ทำให้เกิดภาวะแพ้ยาได้ทั่วๆ ไป มีดังนี้ครับ
              1. กลุ่มยาฆ่าเชื้อ เช่น Penicillin
              2. กลุ่มยาแก้ปวด เช่น Aspirin, Ibuprofen and Naproxen sodium
              3. ยารักษามะเร็ง
              4. ยารักษาโรคทางภูมิคุ้มกัน เช่น ยารักษาอาการข้ออักเสบรูมาตอยด์
              5. ยาแก้ปวดที่เป็นอนุพันธ์จากฝิ่น
              6. สีที่ใช้ในการตรวจทางเอ็กซเรย์ (มีส่วนประกอบของไอโอดีนที่เป็สาเหตุหนึ่งของคนที่แพ้อาหารทะเลครับ)

; https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/drug-allergy/symptoms-causes/syc-20371835, อันนี้เป็น link ข้อมูลหลักที่ผมเอามาอธิบายเรื่องการแพ้ยาคร่าวๆ จากของ Mayo clinic ครับ ถ้าใครสนใจหาความรู้เพิ่มเติมก็เข้าไปอ่านได้ครับ หรือถ้าใครมีข้อสงสัย ก็ถามมาใน post ได้ครับ

              เรื่องที่ผมจะเล่าสู่กันฟังเอง ก็เป็นประสบการณ์ตรงที่ผมเจอด้วยตนเอง จนแทบจะเอาตัวไม่รอด ซึ่งเป็นเรื่องของผลข้างเคียงจากยา (side effect) แต่ไม่ใช่การแพ้ยา (Drug allergy) นะครับ

              ที่ผมต้องเกริ่นซะยาว ก็เพราะผมเห็นข่าวที่ลงว่ามีดาราแพ้ยา แต่อาการเป็นหลายเดือนหลังได้รับยาฆ่าเชื้อ แล้วยังไม่หาย และหนังสือพิมพ์ลงว่า เป็นอาการจากการแพ้ยา ซึ่งตรงจุดนี้ผมมีความเห็นต่าง จากประสบการณ์ทางการแพทย์ ของผมเอง และประสบการณ์ตรงที่ผมได้รับจากผลข้างเคียงของยา เนื่องจากผมไม่รู้อาการ และชนิดของยาที่ดาราท่านนั้นได้รับ จึงไม่สามารถบอกได้ว่าอาการที่เป็นเกิดจากการแพ้ยา หรือผลข้างเคียงของยา แต่ถ้าเป็นต่อเนื่องหลายเดือน ส่วนใหญ่จะเป็น สิ่งที่เกิดจาก Side effect มากกว่า Drug allergy ซึ่งก็ต้องขึ้นกับชนิดของยาที่ได้รับในตอนแรกครับ

              ผมจึงอยากเล่าเรื่องที่ผมเจอด้วยตนเองเพื่อให้เป็นข้อคิดกับคนทั่วไป และเพื่อนแพทย์เพื่อช่วยในการตัดสินใจในการใช้ยาต่างๆ โดยเฉพาะยากลุ่มยาฆ่าเชื้อในอนาคต และเป็นข้อคิดในการสังเกตอาการของตัวเอง ถ้าใครมีอาการเหมือนที่ผมเป็น เพื่อจะได้ไม่ต้องเจออาการไม่พึงประสงค์จากยาเหมือนผมครับ ขอเริ่มเรื่องของผมเลยละกันครับ

              ปีนี้ผมอายุ 38 ย่าง 39 แต่ก็จัดว่าอยู่ในกลุ่มที่ดูแลสุขภาพค่อนข้างดี ไม่มีโรคประจำตัว ไม่มีกินยาอะไรเป็นประจำ แต่ก็มีกินยาฆ่าเชื้อ เช่น ยาแก้ท้องเสียบ้าง 1-2 เดือนต่อครั้ง เพราะเป็นคนอย่างที่ชาวบ้านเรียกว่าคนธาตุเบา กินอะไรนิดหน่อยก็ท้องเสีย รวมทั้งไม่เคยกินยาบำรุงหรือสมุนไพรอะไร มีออกกำลังกาย 2-4 ครั้ง/สัปดาห์ ทั้งแบบ cardio และ weight training (ตามความขี้เกียจล่ะครับ เหอๆ -_-), บุหรี่ไม่สูบ แต่มีดื่มเหล้าบ้างนานๆ ครั้ง ไม่เคยต้องเข้า รพ. มาก่อน ยกเว้นตอนเด็กๆ ครั้งเดียวจากการเล่นบอลหนักๆ ตั้งแต่สมัยประถมครับ

              แล้วอยู่ๆ วันหนึ่งประมาณ 5 ปีที่แล้วผมนอนหลับ แล้วตื่นขึ้นมาก็มีอาการบวมที่บริเวณข้อนิ้วเท้า ในจุดที่เคยเกิดอุบัติเหตุรถชนตั้งแต่สมัยมัธยม ผมก็ทนอยู่ 2-3 วัน คิดว่าอาจเป็นจากการออกกำลังกายหนัก ที่ผมวิ่ง หรือปั่นจักรยาน แล้วเกิดอาการเคล็ด แต่นิ้วก็ยังบวมไม่ยุบลง จึงไปพบหมอ
กระดูก ก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเส้นเอ็นฉีกบางส่วน บริเวณใต้นิ้วเท้า หมอก็สั่งให้ทำ การพันนิ้วเท้าไม่ให้ขยับประมาณ 1-2 สัปดาห์ อาการก็ดีขึ้น แล้วไม่เคยมีอาการอีก เหตุการณ์ครั้งนี้ผมก็ไม่ติดใจอะไร คิดแค่ว่าเป็นจากการออกกำลังกายหนักเกินไป แต่ก็เก็บความสงสัยไว้เล็กน้อย ว่าผมจำได้ว่าวันนั้นผมไม่ได้วิ่ง หรือปั่นจักรยานหนัก ก่อนที่จะเข้านอน แล้วก็ไม่มีอาการเจ็บก่อนนอนด้วย ซึ่งจุดนี้เองเป็นสัญญาณเตือนแรกก่อนที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ผมต้องจำฝังใจไปจนตายในเวลาต่อมา -_-

              ; ส่วนที่เหลือ ขอค่อยๆ ทยอยมาลงต่อทีหลังละกันครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่