"สะดือกรุง" ตอนที่ 2 "การไหว้"

รวมเรื่องสั้น "สะดือกรุง"  คือเรื่องสั้นที่ทางผู้เขียนได้รวบรวมสะสมมาในช่วงเวลาหนึ่งปี  โดยทางผู้เขียนจะทยอยลงที่ละตอนเป็นรายสัปดาห์  ให้ท่านผู้อ่านได้อ่านตามวาระ  ทั้งนี้ สถานที่ และตัวละครในเนื้อเรื่อง  ล้วนสมมติขึ้นมา  หาได้มีบุคคลจริงใดเป็นตัวดำเนินเรื่อง   หากเค้าโครงหรือบทบาทตัวละครใดตรงท้องเรื่องชีวิตใคร   ขอให้ท่านผู้อ่านถือเสียว่า  เป็นเรื่องบังเอิญ

หวังว่าท่าผู้อ่านคงเพลิดเพลินกับเนื้องานชั้นเลวที่ข้าพเจ้าเขียน  และคาดว่า เหล่าตัวละครแห่งแก็งค์สะดือกรุง  จะบำเรออารมณ์ผู้อ่านให้ไหวได้บ้าง  

ด้วยรักและขอบคุณ    

ตอนที่ 1 สุ-ข-รา https://pantip.com/topic/38348590


ตอนที่ 2 “การไหว้”


“ พี่  เพื่อนผมไม่ได้ทำ  พี่เข้าใจผิดแล้ว!”  ขรรค์ตวาดตอบ
“ น้องจะดูกล้องเปล่า !? ”  เสียงตวาดสวนจากหัวหนาชุดรักษาความปลอดภัยของบาร์ก้อนอิฐ


เหตุการณ์ง่วนเข้าไปสู่ความรุนแรง   เมื่อขรรค์และพรรคพวกมากำลังเผชิญอารมณ์อันเกรี้ยวกราดของชุดรักษาความปลอดภัยในบาร์ก้อนอิฐย่านข้าวสาร   หลังการซ้อมรักบี้เป็นอันยกเลิก  และการนัดละเลงเหล้าที่ร้าน RGB  ละแวกมหาวิทยาลัยถูกเปลี่ยนมาไกลถึงย่านพระนคร

ขณะขรรค์ถูกตวาด   ก็ยิ้มนึกถึงการ  ”ไหว้”  ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล   นัยยะมันช่างหลากหลาย   ทั้งทักทาย  สวัสดี  เคารพ  บูชา  ขอร้อง  ขอโทษ   ฯลฯ   ตามแต่บริบทและสถานการณ์ชีวิตจะพาไป  และคงไม่มีที่ไหนใช้ภาษากายนี้สื่อความหมายได้เปลืองเท่านี้อีกแล้ว  ”    ยิ่งเป็นภาษากายที่ใช้ในชีวิตประจำวันด้วยแล้ว    คงไม่มีใครใส่ใจจำว่าเคยไหว้ไปกี่ครั้งในช่วงชีวิตเป็นแน่   ขรรค์คิด

แต่ครั้งนี้คงเป็นภาพจำที่ขรรค์คงไม่มีวันลืม  วันที่มันจะยกมือทาบอกประนบก้มไหว้คนอื่น  และเป็นการไหว้ที่สวยที่สุดของชีวิตขรรค์มัน  

หลังช่วงเย็นที่ต่างคนต่างหมดภาระในการส่งงานเรียนของชั้นปี  วิษณุ ขรรค์และใจ  ที่ตั้งตาซ้อมรักบี้ต้องผิดหวัง  เมื่อเจ้าหน้าที่มหาลัยโทรมาแจ้งการปิดใช้สนาม  เนื่องจากการซ่อมบำรุง  ทั้งสามจึงได้แต่นั่งเสวนากันที่หน้าร้านจิวอย่างไม่มีแก่นสาร      ทันใด “ทองเหลือง” ชายผิวขาวนวล  กายสันทัด  ผู้มีสายตาถทึง บนใบหน้าเข้ารูปมน  ก็ เดินจากจากลิฟท์ฝั่งตะวันตก มาทางร้านจิว  

“เฮ้ย  กัปตัน  วันนี้กูซ้อมรักบี้ไม่ไหวนะ ” ทองเหลืองกล่าวต่อวิษณุด้วยไปหน้าอิดโรย  
“ถึงไหวก็ไม่ได้ซ้อม  สนามมันปิด”  วิษณุพูดด้วยเสียงยิ้มเยาะ

“ว่าแต่  สภาพนี่ดูไม่จืดเลย  อดนอนมาสิท่า “  วิษณุถามอย่างรู้คำตอบ
“นับตอนนี้  ก็เกินสองวันแล้ว  ”  ทองเหลืองตอบขณะหน้าคว่ำลงไปงีบกับโต๊ะ  

“แล้วทำไมไม่ง่วงวะขรรค์?   วันนี้ภาควิชาพวกมีส่งงานกันนี่?  หรือไม่ได้อดนอน? ”  ใจถามด้วยความสงสัย  
“มันเสร็จงานตั้งแต่เมื่อวานแล้ว  แถมวันนี้ส่งก่อนตั้งแต่เมื่อเช้า”  ทองเหลืองตอบขณะยังก้มหน้างีบ  
“มิน่า เห็นมันนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่นี่ตั้งแต่บ่าย” กังวานเสียงวิษณุ เผยความคลายสงสัย

แต่ไม่มีคำตอบใดออกมาจากปากขรรค์  นอกจากควันบุหรี่ที่พวยพุ่งออกมา  
“เฮ้ย  - เหล้าข้าวสารกัน  !”  ชิง  ชลธี  และศิลปะเดินมาพร้อมกันจากฝั่งบันได  พร้อมเสียงสดใสเปื้อนหน้าอิดโรย
“ งั้นกูไปกับชิงมันนะ ” ขรรค์กล่าวต่อวิษณุ
“ตามใจ”  วิษณุกล่าวเสียงเรียบ  

ก่อนทั้งสองกลุ่มจะแยกย้ายไปตามทางสายสุรา   ชิงก็พลันมีข้อสงสัย

“ไอ้แล้วไอ้นี่มันยังไงเนี่ย?  ปล่อยมันหลับที่นี่เหรอ?”   ชิงกล่าว
“ลากมันไปด้วย” ขรรค์ตอบ
“เออ ดี” ชิงสบทบ


แม้นต่างอิดโรยจากการอดหลับอดนอนกันหลายวัน   จากการกรำงานส่งชั้นเรียน   แต่ทุกคนต่างกระเหี้ยนกระหือจะออกไปหาสุราและความสำราญกันก่อนนอน     คืนนั้นเหล่าสหายสะดือกรุงปลงใจไปร่ำเมรัยในเขตพระนคร   บนถนนที่คราคร่ำด้วยฝรั่งมังค่า  สถานอันมีชื่อว่า  บาร์ก้อนอิฐ

เมื่อถึง  พวกเหล่าสะดือกรุงจำต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการเข้าร้าน   เนื่องจากคืนนี้มีการแสดงของคณะเพลง “สุโกสร”  ซึ่งมีนักร้องลูกครึ่งสุดอินดี้ที่เคยสร้างวีรกรรมเอาร้องเท้าฟาดหัวพี่โสก   โลเล  เมื่อครั้งร่วมแสดงที่มหานครนิวยอร์ค      และอีกคณะเพลงนาม “หมาสมัยใหม่”  ของพี่ปอดที่เป็นวงหลัก    แต่ค่าใช้จ่าย  ก็หาเป็นอุปสรรคในการหาความสำราญของเหล่าสะดือกรุงไม่  

เมื่อผ่านการตรวจร่างกายเข้าประตู    ศิลปะก็ไปเจรจากับบริกรร้านบาร์ก้อนอิฐ   โดยใช้เงินหนึ่งร้อยบาทเป็นตัวช่วย   ซึ่งไม่นาน  เงินจำนวนนั้นก็แสดงอำนาจของมัน   ศิลปะจึงมาเรียกเพื่อนๆที่รอข้างล่างไปสู่ที่นั่ง  โดยได้โต๊ะชั้นสองติดขอบข้างเวที  ถือเป็นทำเลที่ดีในการชมการแสดงแบบใกล้ชิดแม้จะไม่ติดตัว    

บรรยากาศดำเนินไปด้วยดี    แต่ละคนต่างถูกฤทธิ์สุราข่มสติ  และเริ่มแสดงพฤติกรรมพิเรนทร์ไปตามประสา  บนบรรยากาศอันสนุกสนานตามแต่ละบุคคล    ขณะพี่ลิตเติ้ลแห่งคณะเพลง “สุโกสร”   โชว์ลวดลายการระบำคล้ายโดนไฟช็อตบนเวที   กลับกัน  นายทองเหลือง  ก็ผละตัวไปนอนข้างลำโพงชั้นสองแบบไม่แยแสต่อมมลพิษทางเสียงที่เกิน 80 เดซิเบล     ขณะนายศิลปะกลับก็ขะมักเขม้นเดินขโมยโซดาน้ำเปล่าตามโต๊ะต่างๆ มายังโต๊ะตนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย    ส่วนขรรค์นั้นบรรจงเทเหล้าลงคอไม่ขาดเพื่อข่มสติ     ใกล้กันตรงขอบเวทีชั้นสอง   คนที่เคร่งขรึมจดจ้องมองลงเวทีคือนาย  ชิงและชลธี ผู้มาเสพเสียงเพลงด้วยความตั้งใจ

ขณะเพลิดเพลิน   แสดงกริยาไปตามบรรยากาศการแสดงของคณะเพลง    เวลาก็ล่วงเลยไปถึงตีสอง   คณะเพลง “หมาสมัยใหม่”  ของพี่ปอดก็ยุติการแสดง   ทางบาร์ก้อนอิฐ ก็เปิดไฟเพื่อส่งสัญญาณแห่งการเลิกรา   คนในบาร์ต่างทยอยกลับ    ทันใดนั้นเอง   หน่วยยามรักษาการณ์ทั้งร้าน   ต่างกรูกันเข้ามาที่โต๊ะของเหล่าสะดือกรุง    สติที่เลื่อนลอยจากฤทธิ์สุราของขรรค์ผู้ประจำอยู่โต๊ะถูกสลัดไปชั่วครู่    ขรรค์นับได้ 12 ตีนหรือ 6 คน ในชุดซาฟารีที่มาล้อม   ชายเหล่านั้นปราดจะเข้าไปกุมตัว  “ชิง”   และด้วยผีห่าซาตานอะไรดลใจขรรค์มันก็ไม่รู้    มันพุ่งไปขวางกลางลำระหว่างชายฉกรรจ์ 6 คน กับชิง  

“พี่มีอะไร  ใจเย็นๆ  ค่อยๆคุยกัน”   ขรรค์กล่าว
“เพื่อนน้องเขวี้ยงน้ำแข็งใส่หัวพี่ปอด!!!”   หัวหน้าชุดรักษาการณ์ตะคอกขรรค์


“เขวี้ยงเหรอชิง?”  ขรรค์หันควับไปถามเพื่อน
“กูปล่าว!!”  ชิงตอบเสียงแข็งพร้อมผายมือแบสองข้าง

แน่นอน   ขรรค์ย่อมเชื่อในตัวเพื่อน มัน   และหันมาตวาดหัวหน้าชุดรักษาการณ์บาร์ก้อนอิฐ

“ พี่  เพื่อนผมไม่ได้ทำ  พี่เข้าใจผิดแล้ว!” ขรรค์ตวาดตอบ
“ น้องจะดูกล้องเปล่า !? ”  เสียงตวาดสวนจากหัวหนาชุดรักษาความปลอดภัยของบาร์ก้อนอิฐ

ขรรค์หันกลับไปมองชิงในทันใด  
“ก็มันสนุกนี่ !!!”  ชิงแสยะยิ้มเย้ยพร้อมผายมือแบสองข้าง

อ้าว   !!  ขรรค์นึกในใจ  งามไส้ไหมล่ะ   ช่วงเวลานี้ขรรค์แทบอยากแทรกธรณีหนี   คนที่มาเสพย์สุขก็ออกไปจะหมดร้านแล้ว   เหลือกันแค่อยู่โต๊ะเดียว   แต่จะหลบไปก็ใช่เรื่อง    ทองเหลืองก็ยังหลับอยู่ข้างตู้ลำโพง    ศิลปะก็ยังยืนดวดเหล้าให้หมดขวดก่อนกลับโดยไม่สนใจอะไร      ชลธีก็ยืนทึ่งกับการกระทำและคำพูดของชิง  

หลังจากการคำนวณอันถี่ถ้วน  บนช่วงคับขัน และสติอันเลือนราง   ขรรค์ตัดสินใจ   ยกมือขึ้นอกประนบก้มไหว้    ภาษากายช่างสวยงามตามวิชาสร้างเสริมลักษณะนิสัยสมัยประถม   เป็นการไหว้ที่บรรจง  ประณีต  และอ่อนน้อมด้วยความจริงใจ    ทักษะการกล่าวโวหารตามวิชาภาษาไทยของขรรค์พุ่งขึ้นถึงขีดสุด  เพื่อขอขมาต่อการกระทำอันสนุกของชิงต่อกลุ่มชายฉกรรจ์

หลังการกระทำคำพูดดังกล่าว  ขรรค์โดนหัวหน้าชุดรักษาการณ์บาร์ก้อนอิฐสวดไปชุดเล็กๆ  ถึงความเสียหายในหน้าที่การงานของเค้า   ในการบกพร่องต่อหน้าที่การรักษาความปลอดภัยของศิลปิน   ที่จะเป็นความด่างพร้อยในประวัติการทำงาน   บนสายตาอันถทึงของกลุ่มชุดรักษาการณ์ที่จดจ้องด้วยความเคียดแค้น    

อย่างไรก็ตาม   ทักษะการกล่าวโวหารตามวิชาภาษาไทย และการบรรจงไหว้ที่งดงามตามวิชาสร้างเสริมลักษณะนิสัย  ก็สามารถนำพาความปลอดภัยมายังชีวิตขรรค์และเพื่อนพ้อง   ให้รอดจากวิกฤติการณ์ครั้งนั้นมาได้   มันช่างเป็นการไหว้สมบูรณ์แบบแทบไม่มีวันลืมของขรรค์เลย  

แต่พอออกจากบาร์ก้อนอิฐเท่านั้น     ชิงก็นั่งกินผัดไทยข้างถนน   และคุยกับนายทองเหลืองที่พึ่งตื่น  เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหน้าบาร์     ส่วนขรรค์ก็ยืนสูบบุหรี่  นึกถึงหน้าครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนถ้อยโวหารและมารยาทไทยให้มาแต่เด็ก  


จบ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่