รวมเรื่องสั้น "สะดือกรุง" คือเรื่องสั้นที่ทางผู้เขียนได้รวบรวมสะสมมาในช่วงเวลาหนึ่งปี โดยทางผู้เขียนจะทยอยลงที่ละตอนเป็นรายสัปดาห์ ให้ท่านผู้อ่านได้อ่านตามวาระ ทั้งนี้ สถานที่ และตัวละครในเนื้อเรื่อง ล้วนสมมติขึ้นมา หาได้มีบุคคลจริงใดเป็นตัวดำเนินเรื่อง หากเค้าโครงหรือบทบาทตัวละครใดตรงท้องเรื่องชีวิตใคร ขอให้ท่านผู้อ่านถือเสียว่า เป็นเรื่องบังเอิญ
หวังว่าท่าผู้อ่านคงเพลิดเพลินกับเนื้องานชั้นเลวที่ข้าพเจ้าเขียน และคาดว่า เหล่าตัวละครแห่งแก็งค์สะดือกรุง จะบำเรออารมณ์ผู้อ่านให้ไหวได้บ้าง
ด้วยรักและขอบคุณ

สุ-ข-รา
วันนี้ขรรค์มันดูครุ่นคิด จิวที่มองจากร้านขนมจีบเพ่งมองขรรค์อย่างผิดสังเกต แต่จิวคงไม่ใคร่รู้ว่าขรรค์มันขบคิดเรื่องอะไร เพราะจิวมิใช่คนใคร่รู้ในความทุกข์ผู้อื่นเสียเท่าไหร่ เลยปล่อยให้ไอ้ขรรค์นั่งสูบบุหรี่หน้าร้านของเขา บนใบหน้าที่คละคลุ้งควันความคิดในสมอง พร้อมควันบุหรี่ที่พวยพุ่งจากปอดของขรรค์มัน
“ฉลองอะไรวะ?” คำถามย้อนคำถามที่ขรรค์ได้รับจากเพื่อนร่วมชั้นเรียน หลังถามไปว่า “เย็นนี้ไปดื่มกันไหม?”
เป็นครั้งแรกที่ขรรค์ตระหนักว่า การเสพเมรัยนั้นต้องหาเหตุ เป็นสิ่งประหลาดในมุมคิดขรรค์ เพราะขรรค์มองรสเมาเหมือนรสหิว เหมือนกินข้าวหรือดื่มน้ำเมื่อยามอยากกระหาย ไม่ใช่สาระที่ต้องหาเหตุ ผล ขรรค์จึงมานั่งหมกมุ่นพิเคราะห์ถึงกิจกรรมโปรดตามความคิดเขาที่หน้าร้านจิว และแน่นอนว่า เป็นการใช้ศักยภาพของสมองไปอย่างเปล่าประโยชน์
งานฉลองงั้นหรือ? นั่นสิ ขรรค์นึกย้อนตอนอยู่บ้านนอกในวัยเด็ก ครั้งยังไม่มีองค์กรสามเสือมายุแยงให้ถอยห่างสุรายาเมา งานมงคลหรืออวมงคลละแวกบ้าน ล้วนมีสุราเป็นเครื่องมือสร้างความครึกครื้นเสมอ ผู้มาดื่มล้วนมีความชอบธรรมโดยปราศจากเหตุผลในการบริโภคสิ่งดังกล่าว แต่แปลกในมุมกลับ หากเป็นวันปกติทั่วไป ใครนึกครึ้มตั้งวงละเลงเหล้า จะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านให้นินทาเล่นเสมอ ยิ่งวันพระวันโกนด้วยแล้ว สิงห์สุราเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากสัมภเวสีที่ชาวบ้านรังเกียจไปเสียเท่าไหร่
นั่นสิ ขรรค์คิด “มันต้องมีเหตุมีงานเท่านั้นหรือ ?”
แต่เสียอย่างไร ความทรงจำวัยเด็กของขรรค์ ได้ตีฟองแห่งความทรงจำบางส่วนฟอดขึ้นมาโต้แนวคิดดังกล่าว “เหล้าอ้อย” หรือรัมขาวพื้นถิ่น คือสิ่งที่ผ่านมือขรรค์อย่างโชกโชนในวัยเด็ก แม้นมิได้ล่วงล้ำลำคอ แต่กลิ่นเสียดทิ่มจมูกยังเป็นสัมผัสย้ำเตือนความจำได้ดี
1 ถึง 2 เป็ก คือสัดส่วนทั่วไปที่เหล่าจับกังเรียกร้องต่อขรรค์ในยามเที่ยงวัน ณ ร้านขายของชำของยายยามสุดสัปดาห์ บ้างถึงขั้นกั๊กขั้นขวดในบางเย็นหลังเลิกเรียน ที่ขรรค์มีหน้าที่ช่วยเหลือ ตามโอกาส
ฟองแห่งความทรงจำได้ฟ่องฟอดขยายเรื่องราวในหัวขรรค์ต่อ ว่าคนงานโรงสีข้าวเหล่านี้ไม่เคยหาเหตุในการดื่ม ไม่มีครั้งไหนที่ต้องอาศัยงานรื่นเริงเพื่อลิ้มรสเมา พวกเขาแค่ผ่านเข้ามาดื่มเหล้าตอนพักงาน แล้วถ่มน้ำลายไล่ความเมื่อยล้า และรสกระดากด้านของสุราชั้นเลวออกจากปาก เพื่อเข้าไปบากบั่นใช้แรงงานช่วงบ่ายต่อ ขรรค์เองไม่เคยถาม และจับกังเหล่านั้นไม่เคยบอก ว่าดื่มไปด้วยสาเหตุใด ต่างคนต่างสงวนสิทธิส่วนบุคคลซึ่งกันและกัน เพียงแค่ให้รัมขาวพื้นถิ่นเป็นจุดเชื่อมต่อของเส้นทางเงินเท่านั้นพอ
หากจิวที่นั่งอยู่ไม่ห่าง ได้ล่วงรู้ความคิดขรรค์ในตอนนี้คงขำไม่น้อย ที่ขรรค์จะหาความชอบธรรมในการดื่มด้วยวิสัยจับกัง และถ้าขรรค์ได้รู้ว่าจิวคิดเป็นเรื่องตลก ขรรค์คงได้เย้ยจิวให้คิดเปรียบจับกังกับยุโรเปี้ยนทั้งหลาย ที่ดื่มตอนพักงานเป็นกิจวัตร ไม่รวมหมวดปลีกย่อยตามอาหารมื้อใหญ่ ที่มีทั้งน้ำเมาบริการก่อน กลาง และหลังกิน เป็นยาช่วยเรียกความหิวและช่วยย่อยให้ดูโก้ ซึ่งขรรค์อาจจะยกตัวอย่างคนดังเมืองผู้ดีอย่างเชอร์ชิล ผู้ที่ดื่มตั้งแต่ไก่โห่ก่อนเริ่มงานให้จิวฟัง ซึ่งแน่นอน จิวคงถามต่อว่า “มันเป็นใครวะ ไอ้เชอๆอะไรเนี่ย?” แต่การโต้แย้งนี้ไม่ได้บังเกิดขึ้น เพราะขรรค์ยังไม่ปล่อยควันความคิดนี้ผ่านปากมาปรึกษาจิวที่นั่งใกล้ มีเพียงควันบุหรี่ที่ปล่อยจากปอดฟูฟ่องกลางอากาศคล้ายฟองความทรงจำขรรค์ที่กำลังผุดโพล่งอยู่ตอนนี้
ประหลาดแท้ ที่ต้องหาความชอบธรรมในการดื่ม ทั้งที่แค่เป็นเรื่องสามัญ หรืออาจด้วยบรรทัดฐานศีลธรรมศาสนา นามว่าความดีและความชั่วกระมัง เหล้าที่ถูกเกณฑ์ในสิ่งทราม จึงเป็นต้นตอความบาปสำหรับผู้ที่บริโภคมัน ขรรค์พยายามจะโทษใครก็ตามที่เป็นอุปสรรคในการดื่ม
“กูว่ามันเสียเวลา -ไป

ก็เมาทั้งคืน ตื่นมาก็เสียเวลาไปอีกวัน เพราะทำห่าอะไรไม่ได้อีกอยู่ดี” ธิดา อดีตแนวร่วมพันธมิตรเพื่อสุราเผย ต่อขรรค์ หลังหล่อนถอนตัวจากสมาชิกพรรคเมรัยอย่างถาวร ซึ่งเหตุผลหล่อนนั้นง่าย แต่หนักแน่นด้วยความจริง ขรรค์นึกย้อนบทสนทนาเมื่อราวเดือนก่อนกับธิดา
“อืม จริงอย่างธิดาว่า ” ขรรค์นึกในใจ และอิจฉาหล่อนที่จะมีเวลาไปสร้างสรรค์สิ่งพรรค์ มากกว่ามาสังสรรค์กับสิ่งทราม
แต่เหนืออื่นใด “เหล้า” ยังคงเป็นใบผ่านทางสำคัญในการกู้ “ความสุข”มาใช้ในตามความคิดขรรค์ สุรามันนำพามาซึ่งหัวข้อในการเสวนา ตามมาด้วยอรรถรถที่กลมกล่อมจากบรรยากาศ และสรวลเสกับทัศนะเสียดสีที่ขบขัน โดยไม่ต้องวิตกปัญหาอื่นใดที่ติดตัวขณะนั้น ขรรค์สำทับทัศนะตนอีกชั้น ไหนยังปลดเปลื้องทุกขปัญหาออกไปในช่วงเวลาอันสั้น ขรรค์ยิ้มย่องในใจต่อ และลืมถ้อยประโยคจริงอันหนักแน่นของธิดาที่นึกได้เมื่อครู่
แต่ขรรค์ยังคงไม่ลืมความจริงที่ว่า แนวร่วมพันธมิตรเพื่อนสุราของเขานั้น ดื่มกันเกินรสเมาเป็นอาจินต์ บางทีไร้ความละเมียดในการเสพก็ว่าได้ แม้นขรรค์จะเชื่อว่าทุกข์นั้นหายไปชั่วครู่ แต่การ”กู้”ความสุขนั้น ตามมาด้วยสติที่กองรอไว้ในอนาคต สติที่มาพร้อมกับทุกข์และดอกเบี้ยอันมหันต์ ซึ่งมันให้โทษทั้งทางกายและใจ
เสือสุราตัวจริงอย่างขรรค์ รู้พิษเหล้าแห่งการเมาค้างเป็นอย่างดี ยิ่งคราวไหนดื่มเกินกิน ประเภทเทเหล้ากระทุ้งท้องแล้ว ตื่นมาเหมือนมีฝูงแมงกระชอนกัดกินอยู่ภายในสมอง อาการกระอักกระอ่วนมวนท้องนั้นทรมานสาหัส ขาแขนเปลี้ยล้า จะก้มจะเงยก็อยากคายของเก่าที่บริโภคไปเมื่อคืนวานทิ้งเสีย ตาที่อ่อนไหวไม่สามารถสู้แสงปกติที่เฉกเช่นทุกวันได้ แสงมันกล้าเพราะฤทธิ์ค้างสุรา ริมฝีปากลอกและแห้งกราก แม้นจะกรอกน้ำลงท้องเป็นลิตรเพื่อชุ่มชื้นมันก็ตาม
นั่นแค่เพียงกาย ทางใจก็ใช่น้อย ขรรค์เตือนตัวเอง สติที่มาเล่นงานพร้อมดอกเบี้ยแห่งทุกข์ มันทำงานมันอย่างแข็งขัน สติเริ่มทวงถามสิ่งที่หายไป เงิน ?สถานะความสัมพันธ์? คำจาบจ้วงและความบาดหมางที่สร้างในวงเหล้า? สติมันกระเหี้ยนกระหือ เพราะโกรธเกรี้ยวสุราที่ผลักไสมันไปจากหน้าที่ของมันเมื่อคืนก่อน มันกระวีกระวาดถามถึงงานที่คั่งค้าง สติมันรุกไล่ด้วย”เวลา”เพื่อนของมัน ที่มาแสดงตัวด้วยความน้อยใจ มันมาอย่างนอบน้อม พร้อมบอกให้เห็นค่าของมัน มันย้ำถึงความสัมพันธ์มันกับผู้ดื่มว่า เราอยู่ด้วยกันไม่ถึงร้อยปี ใช้มันให้คุ้มค่าเสียด้วย!
“ห่า ก็เออสิวะ ในวงเหล้านี่แหละ มีค่าดังทอง!”
ขรรค์เผลอเปล่งเสียงผ่านริมฝีปาก เถียงความคิดตนเอง โดยขาดสติ
“อะไรวะ เหล้าหงษ์ทองเหรอ?” จิวถามหลังสิ้นเสียงขรรค์
“หงษ์ทองห่าอะไรเล่า ไปเอาโค้กน้ำแข็งมากินหน่อยสิ เอาเย็นๆนะโว้ย!” ขรรค์ตะเบ็งเสียงด้วยประโยคคำสั่งแก้เขินไปยังจิว ชายวัยกลางคนในรูปร่างแกรน ใบหน้าเรียวแหลมที่เติมด้วยคางยื่นยาว ประดับเคราประปรายที่ไม่เป็นระเบียบ
จิวดีดก้นบุหรี่ที่ใกล้หมดทิ้ง พลันยกตัวไปหยิบเครื่องดื่มในตู้แช่ให้ขรรค์ ควันคำสุดท้ายของบุหรี่ของจิวพ่นออกจากปอดแผ่วเบาขณะเคลื่อนไหว มันลอยช้าผ่านปากตามการเคลื่อนไหวของจิว คล้ายเครื่องรถยนต์พ่นไอเสียทิ้งท้ายขณะโลดแล่นไปตามถนน จิวปราดมาวางขวดและแก้วน้ำแข็งลงตรงหน้าผู้ออกคำสั่ง
“ลื๊อพูดอะไรอ่ะ จะไปกินเหล้าเหรอ” จิวหย่อนตัวลงนั่งตรงข้ามขรรค์
“ยุ่ง” ขรรค์ตอบปัด โดยไม่ใส่ใจกับคำถามของจิว แต่กิริยาและคำพูดของจิวที่ขรรค์เผลอมองก็ได้พัดควันคิดที่คั่งค้างให้สลายไปในอากาศ เหลือเพียงกลิ่นควันจินตนาการประปรายที่ปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้คละคลุ้งอยู่ แต่ขรรค์ก็พยายามวกกลับถึงเรื่องที่คิดก่อนสติหลุดเมื่อครู่ และขณะจะถลำเข้าภวังค์คิดอีกรอบ เสียงเรียกแต่ไกลก็พัดควันคิดขรรค์ที่เริ่มก่อตัวหนสองหายไปอีกคำรบ
“เฮ้ย ขรรค์” วิษณุเดินผ่านประตูตะวันออกของคณะฯเข้ามา
วิษณุ ชายร่างสูงผิวคล้ำ ผมหยักศกยาวปรกไหล่ เขาพาร่างกำยำสมส่วน เดินเข้ามาพร้อมพยักหน้าทักทายขรรค์ที่นั่งอยู่ พลันสอดส่ายสายตาผ่านแว่นทรงเหลี่ยมกรอบดำไปซ้ายขวา เหมือนหาใครสักคน
“ เห็นไอ้ใจปล่าว ?” วิษณุเปล่งเสียงเรียบ
“ไม่ มันยังทำงานอยู่สตูดิโอมั้ง รอมันสักพัก เดี๋ยวก็ลงมา” ขรรค์ตอบ
“เอาเป๊ปซี่ไหม?” เสียงเบาของจิวแทรกบทสนทนา
“ว่าแต่เสร็จเรียนแล้วเหรอ มานั่งทำอะไรคนเดียว” เสียงสงสัยจากวิษณุมีต่อขรรค์ พร้อมเป็นการตัดรำคาญจิว เสมือนเสียงนั้นมาไม่ถึงเขา และจิวที่นั่งอยู่เป็นอากาศธาตุ
“หาเพื่อน-เหล้า” เสียงกระชากห้วน ซึ่งแฝงด้วยความผิดหวังในเสียง ที่ขรรค์ยังหาเหตุและสหายสุราดื่มในคืนนี้ไม่ได้
“เออ กูไป เดี๋ยวชวนไอ้ใจไปด้วย แต่หลังพวกเราซ้อมรักบี้นะ” เสียงหนักแน่นเจือด้วยคำสั่งจากวิษณุ ผู้สวมหัวโขนเป็นกัปตันทีมรักบี้ เป็นคำตอบห่วงใยในฐานะเพื่อน และห่วงกับหน้าที่ที่เขารับผิดชอบในฐานะหัวหน้าทีม
“ฮ่าๆๆๆ แหงสิ กูไม่เล่นแล้วใครจะลงฟูลแบ็คให้” ขรรค์เปล่งเสียงด้วยอารมณ์ดีที่ได้เพื่อนร่ำสุราในค่ำนี้ พร้อมยังสำทับถึงตำแหน่งหน้าที่ในทีมที่เขาไม่ลืม
ท้ายสุด วิษณุก็ปรากฏตัวดั่งเทพผู้ดูแลทั้งสามโลกให้สงบและสมดุลตามความเชื่อฮินดู หากครั้งนี้วิษณุอวตารมาเป็นคนซึ่งเป็นเพื่อนขรรค์ เพื่อไขข้อขุ่นใจในการดื่มสุราให้ขรรค์มัน ว่าจริงๆแล้ว มันไม่มีเหตุสมควรใดในการชวนเพื่อนดื่มหรอก หากแต่ชวนถูกคนหรือปล่าวก็เท่านั้น ขรรค์ยิ้มกริ่มและพอใจกับเหตุที่ตนหาได้
“เห้ย! ว่าแต่จะไปร้านไหนวะ? “ วิษณุถามหาความกระจ่าง
“หลังซ็อมเสร็จ ก็คงหาอะไรกินแถวสามย่าน แล้วคงต่อ RGB” ขรรค์เสนอ
“โอเค RGB!”
จบ
"สะดือกรุง" ตอนที่ 1 สุ-ข-รา
หวังว่าท่าผู้อ่านคงเพลิดเพลินกับเนื้องานชั้นเลวที่ข้าพเจ้าเขียน และคาดว่า เหล่าตัวละครแห่งแก็งค์สะดือกรุง จะบำเรออารมณ์ผู้อ่านให้ไหวได้บ้าง
ด้วยรักและขอบคุณ
สุ-ข-รา
วันนี้ขรรค์มันดูครุ่นคิด จิวที่มองจากร้านขนมจีบเพ่งมองขรรค์อย่างผิดสังเกต แต่จิวคงไม่ใคร่รู้ว่าขรรค์มันขบคิดเรื่องอะไร เพราะจิวมิใช่คนใคร่รู้ในความทุกข์ผู้อื่นเสียเท่าไหร่ เลยปล่อยให้ไอ้ขรรค์นั่งสูบบุหรี่หน้าร้านของเขา บนใบหน้าที่คละคลุ้งควันความคิดในสมอง พร้อมควันบุหรี่ที่พวยพุ่งจากปอดของขรรค์มัน
“ฉลองอะไรวะ?” คำถามย้อนคำถามที่ขรรค์ได้รับจากเพื่อนร่วมชั้นเรียน หลังถามไปว่า “เย็นนี้ไปดื่มกันไหม?”
เป็นครั้งแรกที่ขรรค์ตระหนักว่า การเสพเมรัยนั้นต้องหาเหตุ เป็นสิ่งประหลาดในมุมคิดขรรค์ เพราะขรรค์มองรสเมาเหมือนรสหิว เหมือนกินข้าวหรือดื่มน้ำเมื่อยามอยากกระหาย ไม่ใช่สาระที่ต้องหาเหตุ ผล ขรรค์จึงมานั่งหมกมุ่นพิเคราะห์ถึงกิจกรรมโปรดตามความคิดเขาที่หน้าร้านจิว และแน่นอนว่า เป็นการใช้ศักยภาพของสมองไปอย่างเปล่าประโยชน์
งานฉลองงั้นหรือ? นั่นสิ ขรรค์นึกย้อนตอนอยู่บ้านนอกในวัยเด็ก ครั้งยังไม่มีองค์กรสามเสือมายุแยงให้ถอยห่างสุรายาเมา งานมงคลหรืออวมงคลละแวกบ้าน ล้วนมีสุราเป็นเครื่องมือสร้างความครึกครื้นเสมอ ผู้มาดื่มล้วนมีความชอบธรรมโดยปราศจากเหตุผลในการบริโภคสิ่งดังกล่าว แต่แปลกในมุมกลับ หากเป็นวันปกติทั่วไป ใครนึกครึ้มตั้งวงละเลงเหล้า จะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านให้นินทาเล่นเสมอ ยิ่งวันพระวันโกนด้วยแล้ว สิงห์สุราเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากสัมภเวสีที่ชาวบ้านรังเกียจไปเสียเท่าไหร่
นั่นสิ ขรรค์คิด “มันต้องมีเหตุมีงานเท่านั้นหรือ ?”
แต่เสียอย่างไร ความทรงจำวัยเด็กของขรรค์ ได้ตีฟองแห่งความทรงจำบางส่วนฟอดขึ้นมาโต้แนวคิดดังกล่าว “เหล้าอ้อย” หรือรัมขาวพื้นถิ่น คือสิ่งที่ผ่านมือขรรค์อย่างโชกโชนในวัยเด็ก แม้นมิได้ล่วงล้ำลำคอ แต่กลิ่นเสียดทิ่มจมูกยังเป็นสัมผัสย้ำเตือนความจำได้ดี
1 ถึง 2 เป็ก คือสัดส่วนทั่วไปที่เหล่าจับกังเรียกร้องต่อขรรค์ในยามเที่ยงวัน ณ ร้านขายของชำของยายยามสุดสัปดาห์ บ้างถึงขั้นกั๊กขั้นขวดในบางเย็นหลังเลิกเรียน ที่ขรรค์มีหน้าที่ช่วยเหลือ ตามโอกาส
ฟองแห่งความทรงจำได้ฟ่องฟอดขยายเรื่องราวในหัวขรรค์ต่อ ว่าคนงานโรงสีข้าวเหล่านี้ไม่เคยหาเหตุในการดื่ม ไม่มีครั้งไหนที่ต้องอาศัยงานรื่นเริงเพื่อลิ้มรสเมา พวกเขาแค่ผ่านเข้ามาดื่มเหล้าตอนพักงาน แล้วถ่มน้ำลายไล่ความเมื่อยล้า และรสกระดากด้านของสุราชั้นเลวออกจากปาก เพื่อเข้าไปบากบั่นใช้แรงงานช่วงบ่ายต่อ ขรรค์เองไม่เคยถาม และจับกังเหล่านั้นไม่เคยบอก ว่าดื่มไปด้วยสาเหตุใด ต่างคนต่างสงวนสิทธิส่วนบุคคลซึ่งกันและกัน เพียงแค่ให้รัมขาวพื้นถิ่นเป็นจุดเชื่อมต่อของเส้นทางเงินเท่านั้นพอ
หากจิวที่นั่งอยู่ไม่ห่าง ได้ล่วงรู้ความคิดขรรค์ในตอนนี้คงขำไม่น้อย ที่ขรรค์จะหาความชอบธรรมในการดื่มด้วยวิสัยจับกัง และถ้าขรรค์ได้รู้ว่าจิวคิดเป็นเรื่องตลก ขรรค์คงได้เย้ยจิวให้คิดเปรียบจับกังกับยุโรเปี้ยนทั้งหลาย ที่ดื่มตอนพักงานเป็นกิจวัตร ไม่รวมหมวดปลีกย่อยตามอาหารมื้อใหญ่ ที่มีทั้งน้ำเมาบริการก่อน กลาง และหลังกิน เป็นยาช่วยเรียกความหิวและช่วยย่อยให้ดูโก้ ซึ่งขรรค์อาจจะยกตัวอย่างคนดังเมืองผู้ดีอย่างเชอร์ชิล ผู้ที่ดื่มตั้งแต่ไก่โห่ก่อนเริ่มงานให้จิวฟัง ซึ่งแน่นอน จิวคงถามต่อว่า “มันเป็นใครวะ ไอ้เชอๆอะไรเนี่ย?” แต่การโต้แย้งนี้ไม่ได้บังเกิดขึ้น เพราะขรรค์ยังไม่ปล่อยควันความคิดนี้ผ่านปากมาปรึกษาจิวที่นั่งใกล้ มีเพียงควันบุหรี่ที่ปล่อยจากปอดฟูฟ่องกลางอากาศคล้ายฟองความทรงจำขรรค์ที่กำลังผุดโพล่งอยู่ตอนนี้
ประหลาดแท้ ที่ต้องหาความชอบธรรมในการดื่ม ทั้งที่แค่เป็นเรื่องสามัญ หรืออาจด้วยบรรทัดฐานศีลธรรมศาสนา นามว่าความดีและความชั่วกระมัง เหล้าที่ถูกเกณฑ์ในสิ่งทราม จึงเป็นต้นตอความบาปสำหรับผู้ที่บริโภคมัน ขรรค์พยายามจะโทษใครก็ตามที่เป็นอุปสรรคในการดื่ม
“กูว่ามันเสียเวลา -ไป
“อืม จริงอย่างธิดาว่า ” ขรรค์นึกในใจ และอิจฉาหล่อนที่จะมีเวลาไปสร้างสรรค์สิ่งพรรค์ มากกว่ามาสังสรรค์กับสิ่งทราม
แต่เหนืออื่นใด “เหล้า” ยังคงเป็นใบผ่านทางสำคัญในการกู้ “ความสุข”มาใช้ในตามความคิดขรรค์ สุรามันนำพามาซึ่งหัวข้อในการเสวนา ตามมาด้วยอรรถรถที่กลมกล่อมจากบรรยากาศ และสรวลเสกับทัศนะเสียดสีที่ขบขัน โดยไม่ต้องวิตกปัญหาอื่นใดที่ติดตัวขณะนั้น ขรรค์สำทับทัศนะตนอีกชั้น ไหนยังปลดเปลื้องทุกขปัญหาออกไปในช่วงเวลาอันสั้น ขรรค์ยิ้มย่องในใจต่อ และลืมถ้อยประโยคจริงอันหนักแน่นของธิดาที่นึกได้เมื่อครู่
แต่ขรรค์ยังคงไม่ลืมความจริงที่ว่า แนวร่วมพันธมิตรเพื่อนสุราของเขานั้น ดื่มกันเกินรสเมาเป็นอาจินต์ บางทีไร้ความละเมียดในการเสพก็ว่าได้ แม้นขรรค์จะเชื่อว่าทุกข์นั้นหายไปชั่วครู่ แต่การ”กู้”ความสุขนั้น ตามมาด้วยสติที่กองรอไว้ในอนาคต สติที่มาพร้อมกับทุกข์และดอกเบี้ยอันมหันต์ ซึ่งมันให้โทษทั้งทางกายและใจ
เสือสุราตัวจริงอย่างขรรค์ รู้พิษเหล้าแห่งการเมาค้างเป็นอย่างดี ยิ่งคราวไหนดื่มเกินกิน ประเภทเทเหล้ากระทุ้งท้องแล้ว ตื่นมาเหมือนมีฝูงแมงกระชอนกัดกินอยู่ภายในสมอง อาการกระอักกระอ่วนมวนท้องนั้นทรมานสาหัส ขาแขนเปลี้ยล้า จะก้มจะเงยก็อยากคายของเก่าที่บริโภคไปเมื่อคืนวานทิ้งเสีย ตาที่อ่อนไหวไม่สามารถสู้แสงปกติที่เฉกเช่นทุกวันได้ แสงมันกล้าเพราะฤทธิ์ค้างสุรา ริมฝีปากลอกและแห้งกราก แม้นจะกรอกน้ำลงท้องเป็นลิตรเพื่อชุ่มชื้นมันก็ตาม
นั่นแค่เพียงกาย ทางใจก็ใช่น้อย ขรรค์เตือนตัวเอง สติที่มาเล่นงานพร้อมดอกเบี้ยแห่งทุกข์ มันทำงานมันอย่างแข็งขัน สติเริ่มทวงถามสิ่งที่หายไป เงิน ?สถานะความสัมพันธ์? คำจาบจ้วงและความบาดหมางที่สร้างในวงเหล้า? สติมันกระเหี้ยนกระหือ เพราะโกรธเกรี้ยวสุราที่ผลักไสมันไปจากหน้าที่ของมันเมื่อคืนก่อน มันกระวีกระวาดถามถึงงานที่คั่งค้าง สติมันรุกไล่ด้วย”เวลา”เพื่อนของมัน ที่มาแสดงตัวด้วยความน้อยใจ มันมาอย่างนอบน้อม พร้อมบอกให้เห็นค่าของมัน มันย้ำถึงความสัมพันธ์มันกับผู้ดื่มว่า เราอยู่ด้วยกันไม่ถึงร้อยปี ใช้มันให้คุ้มค่าเสียด้วย!
“ห่า ก็เออสิวะ ในวงเหล้านี่แหละ มีค่าดังทอง!”
ขรรค์เผลอเปล่งเสียงผ่านริมฝีปาก เถียงความคิดตนเอง โดยขาดสติ
“อะไรวะ เหล้าหงษ์ทองเหรอ?” จิวถามหลังสิ้นเสียงขรรค์
“หงษ์ทองห่าอะไรเล่า ไปเอาโค้กน้ำแข็งมากินหน่อยสิ เอาเย็นๆนะโว้ย!” ขรรค์ตะเบ็งเสียงด้วยประโยคคำสั่งแก้เขินไปยังจิว ชายวัยกลางคนในรูปร่างแกรน ใบหน้าเรียวแหลมที่เติมด้วยคางยื่นยาว ประดับเคราประปรายที่ไม่เป็นระเบียบ
จิวดีดก้นบุหรี่ที่ใกล้หมดทิ้ง พลันยกตัวไปหยิบเครื่องดื่มในตู้แช่ให้ขรรค์ ควันคำสุดท้ายของบุหรี่ของจิวพ่นออกจากปอดแผ่วเบาขณะเคลื่อนไหว มันลอยช้าผ่านปากตามการเคลื่อนไหวของจิว คล้ายเครื่องรถยนต์พ่นไอเสียทิ้งท้ายขณะโลดแล่นไปตามถนน จิวปราดมาวางขวดและแก้วน้ำแข็งลงตรงหน้าผู้ออกคำสั่ง
“ลื๊อพูดอะไรอ่ะ จะไปกินเหล้าเหรอ” จิวหย่อนตัวลงนั่งตรงข้ามขรรค์
“ยุ่ง” ขรรค์ตอบปัด โดยไม่ใส่ใจกับคำถามของจิว แต่กิริยาและคำพูดของจิวที่ขรรค์เผลอมองก็ได้พัดควันคิดที่คั่งค้างให้สลายไปในอากาศ เหลือเพียงกลิ่นควันจินตนาการประปรายที่ปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้คละคลุ้งอยู่ แต่ขรรค์ก็พยายามวกกลับถึงเรื่องที่คิดก่อนสติหลุดเมื่อครู่ และขณะจะถลำเข้าภวังค์คิดอีกรอบ เสียงเรียกแต่ไกลก็พัดควันคิดขรรค์ที่เริ่มก่อตัวหนสองหายไปอีกคำรบ
“เฮ้ย ขรรค์” วิษณุเดินผ่านประตูตะวันออกของคณะฯเข้ามา
วิษณุ ชายร่างสูงผิวคล้ำ ผมหยักศกยาวปรกไหล่ เขาพาร่างกำยำสมส่วน เดินเข้ามาพร้อมพยักหน้าทักทายขรรค์ที่นั่งอยู่ พลันสอดส่ายสายตาผ่านแว่นทรงเหลี่ยมกรอบดำไปซ้ายขวา เหมือนหาใครสักคน
“ เห็นไอ้ใจปล่าว ?” วิษณุเปล่งเสียงเรียบ
“ไม่ มันยังทำงานอยู่สตูดิโอมั้ง รอมันสักพัก เดี๋ยวก็ลงมา” ขรรค์ตอบ
“เอาเป๊ปซี่ไหม?” เสียงเบาของจิวแทรกบทสนทนา
“ว่าแต่เสร็จเรียนแล้วเหรอ มานั่งทำอะไรคนเดียว” เสียงสงสัยจากวิษณุมีต่อขรรค์ พร้อมเป็นการตัดรำคาญจิว เสมือนเสียงนั้นมาไม่ถึงเขา และจิวที่นั่งอยู่เป็นอากาศธาตุ
“หาเพื่อน-เหล้า” เสียงกระชากห้วน ซึ่งแฝงด้วยความผิดหวังในเสียง ที่ขรรค์ยังหาเหตุและสหายสุราดื่มในคืนนี้ไม่ได้
“เออ กูไป เดี๋ยวชวนไอ้ใจไปด้วย แต่หลังพวกเราซ้อมรักบี้นะ” เสียงหนักแน่นเจือด้วยคำสั่งจากวิษณุ ผู้สวมหัวโขนเป็นกัปตันทีมรักบี้ เป็นคำตอบห่วงใยในฐานะเพื่อน และห่วงกับหน้าที่ที่เขารับผิดชอบในฐานะหัวหน้าทีม
“ฮ่าๆๆๆ แหงสิ กูไม่เล่นแล้วใครจะลงฟูลแบ็คให้” ขรรค์เปล่งเสียงด้วยอารมณ์ดีที่ได้เพื่อนร่ำสุราในค่ำนี้ พร้อมยังสำทับถึงตำแหน่งหน้าที่ในทีมที่เขาไม่ลืม
ท้ายสุด วิษณุก็ปรากฏตัวดั่งเทพผู้ดูแลทั้งสามโลกให้สงบและสมดุลตามความเชื่อฮินดู หากครั้งนี้วิษณุอวตารมาเป็นคนซึ่งเป็นเพื่อนขรรค์ เพื่อไขข้อขุ่นใจในการดื่มสุราให้ขรรค์มัน ว่าจริงๆแล้ว มันไม่มีเหตุสมควรใดในการชวนเพื่อนดื่มหรอก หากแต่ชวนถูกคนหรือปล่าวก็เท่านั้น ขรรค์ยิ้มกริ่มและพอใจกับเหตุที่ตนหาได้
“เห้ย! ว่าแต่จะไปร้านไหนวะ? “ วิษณุถามหาความกระจ่าง
“หลังซ็อมเสร็จ ก็คงหาอะไรกินแถวสามย่าน แล้วคงต่อ RGB” ขรรค์เสนอ
“โอเค RGB!”
จบ