"สะดือกรุง" ตอนที่ 1 สุ-ข-รา

รวมเรื่องสั้น "สะดือกรุง"  คือเรื่องสั้นที่ทางผู้เขียนได้รวบรวมสะสมมาในช่วงเวลาหนึ่งปี  โดยทางผู้เขียนจะทยอยลงที่ละตอนเป็นรายสัปดาห์  ให้ท่านผู้อ่านได้อ่านตามวาระ  ทั้งนี้ สถานที่ และตัวละครในเนื้อเรื่อง  ล้วนสมมติขึ้นมา  หาได้มีบุคคลจริงใดเป็นตัวดำเนินเรื่อง   หากเค้าโครงหรือบทบาทตัวละครใดตรงท้องเรื่องชีวิตใคร   ขอให้ท่านผู้อ่านถือเสียว่า  เป็นเรื่องบังเอิญ

หวังว่าท่าผู้อ่านคงเพลิดเพลินกับเนื้องานชั้นเลวที่ข้าพเจ้าเขียน  และคาดว่า เหล่าตัวละครแห่งแก็งค์สะดือกรุง  จะบำเรออารมณ์ผู้อ่านให้ไหวได้บ้าง  

ด้วยรักและขอบคุณ    


สุ-ข-รา

วันนี้ขรรค์มันดูครุ่นคิด  จิวที่มองจากร้านขนมจีบเพ่งมองขรรค์อย่างผิดสังเกต   แต่จิวคงไม่ใคร่รู้ว่าขรรค์มันขบคิดเรื่องอะไร   เพราะจิวมิใช่คนใคร่รู้ในความทุกข์ผู้อื่นเสียเท่าไหร่   เลยปล่อยให้ไอ้ขรรค์นั่งสูบบุหรี่หน้าร้านของเขา  บนใบหน้าที่คละคลุ้งควันความคิดในสมอง  พร้อมควันบุหรี่ที่พวยพุ่งจากปอดของขรรค์มัน


“ฉลองอะไรวะ?”  คำถามย้อนคำถามที่ขรรค์ได้รับจากเพื่อนร่วมชั้นเรียน  หลังถามไปว่า “เย็นนี้ไปดื่มกันไหม?”

เป็นครั้งแรกที่ขรรค์ตระหนักว่า  การเสพเมรัยนั้นต้องหาเหตุ   เป็นสิ่งประหลาดในมุมคิดขรรค์  เพราะขรรค์มองรสเมาเหมือนรสหิว   เหมือนกินข้าวหรือดื่มน้ำเมื่อยามอยากกระหาย ไม่ใช่สาระที่ต้องหาเหตุ  ผล  ขรรค์จึงมานั่งหมกมุ่นพิเคราะห์ถึงกิจกรรมโปรดตามความคิดเขาที่หน้าร้านจิว  และแน่นอนว่า เป็นการใช้ศักยภาพของสมองไปอย่างเปล่าประโยชน์


งานฉลองงั้นหรือ?  นั่นสิ  ขรรค์นึกย้อนตอนอยู่บ้านนอกในวัยเด็ก ครั้งยังไม่มีองค์กรสามเสือมายุแยงให้ถอยห่างสุรายาเมา  งานมงคลหรืออวมงคลละแวกบ้าน  ล้วนมีสุราเป็นเครื่องมือสร้างความครึกครื้นเสมอ  ผู้มาดื่มล้วนมีความชอบธรรมโดยปราศจากเหตุผลในการบริโภคสิ่งดังกล่าว   แต่แปลกในมุมกลับ  หากเป็นวันปกติทั่วไป  ใครนึกครึ้มตั้งวงละเลงเหล้า  จะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านให้นินทาเล่นเสมอ  ยิ่งวันพระวันโกนด้วยแล้ว  สิงห์สุราเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากสัมภเวสีที่ชาวบ้านรังเกียจไปเสียเท่าไหร่  

นั่นสิ  ขรรค์คิด  “มันต้องมีเหตุมีงานเท่านั้นหรือ ?”  

แต่เสียอย่างไร  ความทรงจำวัยเด็กของขรรค์  ได้ตีฟองแห่งความทรงจำบางส่วนฟอดขึ้นมาโต้แนวคิดดังกล่าว   “เหล้าอ้อย”  หรือรัมขาวพื้นถิ่น  คือสิ่งที่ผ่านมือขรรค์อย่างโชกโชนในวัยเด็ก  แม้นมิได้ล่วงล้ำลำคอ  แต่กลิ่นเสียดทิ่มจมูกยังเป็นสัมผัสย้ำเตือนความจำได้ดี  

1 ถึง 2 เป็ก คือสัดส่วนทั่วไปที่เหล่าจับกังเรียกร้องต่อขรรค์ในยามเที่ยงวัน ณ ร้านขายของชำของยายยามสุดสัปดาห์  บ้างถึงขั้นกั๊กขั้นขวดในบางเย็นหลังเลิกเรียน  ที่ขรรค์มีหน้าที่ช่วยเหลือ ตามโอกาส

ฟองแห่งความทรงจำได้ฟ่องฟอดขยายเรื่องราวในหัวขรรค์ต่อ  ว่าคนงานโรงสีข้าวเหล่านี้ไม่เคยหาเหตุในการดื่ม  ไม่มีครั้งไหนที่ต้องอาศัยงานรื่นเริงเพื่อลิ้มรสเมา  พวกเขาแค่ผ่านเข้ามาดื่มเหล้าตอนพักงาน  แล้วถ่มน้ำลายไล่ความเมื่อยล้า และรสกระดากด้านของสุราชั้นเลวออกจากปาก  เพื่อเข้าไปบากบั่นใช้แรงงานช่วงบ่ายต่อ   ขรรค์เองไม่เคยถาม และจับกังเหล่านั้นไม่เคยบอก  ว่าดื่มไปด้วยสาเหตุใด ต่างคนต่างสงวนสิทธิส่วนบุคคลซึ่งกันและกัน เพียงแค่ให้รัมขาวพื้นถิ่นเป็นจุดเชื่อมต่อของเส้นทางเงินเท่านั้นพอ  


หากจิวที่นั่งอยู่ไม่ห่าง ได้ล่วงรู้ความคิดขรรค์ในตอนนี้คงขำไม่น้อย  ที่ขรรค์จะหาความชอบธรรมในการดื่มด้วยวิสัยจับกัง  และถ้าขรรค์ได้รู้ว่าจิวคิดเป็นเรื่องตลก  ขรรค์คงได้เย้ยจิวให้คิดเปรียบจับกังกับยุโรเปี้ยนทั้งหลาย  ที่ดื่มตอนพักงานเป็นกิจวัตร  ไม่รวมหมวดปลีกย่อยตามอาหารมื้อใหญ่  ที่มีทั้งน้ำเมาบริการก่อน กลาง และหลังกิน  เป็นยาช่วยเรียกความหิวและช่วยย่อยให้ดูโก้  ซึ่งขรรค์อาจจะยกตัวอย่างคนดังเมืองผู้ดีอย่างเชอร์ชิล  ผู้ที่ดื่มตั้งแต่ไก่โห่ก่อนเริ่มงานให้จิวฟัง  ซึ่งแน่นอน  จิวคงถามต่อว่า “มันเป็นใครวะ ไอ้เชอๆอะไรเนี่ย?” แต่การโต้แย้งนี้ไม่ได้บังเกิดขึ้น  เพราะขรรค์ยังไม่ปล่อยควันความคิดนี้ผ่านปากมาปรึกษาจิวที่นั่งใกล้  มีเพียงควันบุหรี่ที่ปล่อยจากปอดฟูฟ่องกลางอากาศคล้ายฟองความทรงจำขรรค์ที่กำลังผุดโพล่งอยู่ตอนนี้




ประหลาดแท้ ที่ต้องหาความชอบธรรมในการดื่ม  ทั้งที่แค่เป็นเรื่องสามัญ  หรืออาจด้วยบรรทัดฐานศีลธรรมศาสนา  นามว่าความดีและความชั่วกระมัง  เหล้าที่ถูกเกณฑ์ในสิ่งทราม จึงเป็นต้นตอความบาปสำหรับผู้ที่บริโภคมัน   ขรรค์พยายามจะโทษใครก็ตามที่เป็นอุปสรรคในการดื่ม


“กูว่ามันเสียเวลา  -ไปยิ้มก็เมาทั้งคืน  ตื่นมาก็เสียเวลาไปอีกวัน  เพราะทำห่าอะไรไม่ได้อีกอยู่ดี” ธิดา  อดีตแนวร่วมพันธมิตรเพื่อสุราเผย ต่อขรรค์  หลังหล่อนถอนตัวจากสมาชิกพรรคเมรัยอย่างถาวร ซึ่งเหตุผลหล่อนนั้นง่าย แต่หนักแน่นด้วยความจริง   ขรรค์นึกย้อนบทสนทนาเมื่อราวเดือนก่อนกับธิดา


“อืม  จริงอย่างธิดาว่า ”  ขรรค์นึกในใจ  และอิจฉาหล่อนที่จะมีเวลาไปสร้างสรรค์สิ่งพรรค์ มากกว่ามาสังสรรค์กับสิ่งทราม

แต่เหนืออื่นใด “เหล้า”  ยังคงเป็นใบผ่านทางสำคัญในการกู้ “ความสุข”มาใช้ในตามความคิดขรรค์   สุรามันนำพามาซึ่งหัวข้อในการเสวนา ตามมาด้วยอรรถรถที่กลมกล่อมจากบรรยากาศ   และสรวลเสกับทัศนะเสียดสีที่ขบขัน   โดยไม่ต้องวิตกปัญหาอื่นใดที่ติดตัวขณะนั้น  ขรรค์สำทับทัศนะตนอีกชั้น   ไหนยังปลดเปลื้องทุกขปัญหาออกไปในช่วงเวลาอันสั้น  ขรรค์ยิ้มย่องในใจต่อ  และลืมถ้อยประโยคจริงอันหนักแน่นของธิดาที่นึกได้เมื่อครู่  


แต่ขรรค์ยังคงไม่ลืมความจริงที่ว่า  แนวร่วมพันธมิตรเพื่อนสุราของเขานั้น  ดื่มกันเกินรสเมาเป็นอาจินต์ บางทีไร้ความละเมียดในการเสพก็ว่าได้  แม้นขรรค์จะเชื่อว่าทุกข์นั้นหายไปชั่วครู่  แต่การ”กู้”ความสุขนั้น  ตามมาด้วยสติที่กองรอไว้ในอนาคต   สติที่มาพร้อมกับทุกข์และดอกเบี้ยอันมหันต์  ซึ่งมันให้โทษทั้งทางกายและใจ  

เสือสุราตัวจริงอย่างขรรค์   รู้พิษเหล้าแห่งการเมาค้างเป็นอย่างดี  ยิ่งคราวไหนดื่มเกินกิน  ประเภทเทเหล้ากระทุ้งท้องแล้ว  ตื่นมาเหมือนมีฝูงแมงกระชอนกัดกินอยู่ภายในสมอง  อาการกระอักกระอ่วนมวนท้องนั้นทรมานสาหัส  ขาแขนเปลี้ยล้า  จะก้มจะเงยก็อยากคายของเก่าที่บริโภคไปเมื่อคืนวานทิ้งเสีย ตาที่อ่อนไหวไม่สามารถสู้แสงปกติที่เฉกเช่นทุกวันได้  แสงมันกล้าเพราะฤทธิ์ค้างสุรา  ริมฝีปากลอกและแห้งกราก  แม้นจะกรอกน้ำลงท้องเป็นลิตรเพื่อชุ่มชื้นมันก็ตาม

นั่นแค่เพียงกาย  ทางใจก็ใช่น้อย  ขรรค์เตือนตัวเอง  สติที่มาเล่นงานพร้อมดอกเบี้ยแห่งทุกข์  มันทำงานมันอย่างแข็งขัน  สติเริ่มทวงถามสิ่งที่หายไป  เงิน ?สถานะความสัมพันธ์? คำจาบจ้วงและความบาดหมางที่สร้างในวงเหล้า?  สติมันกระเหี้ยนกระหือ  เพราะโกรธเกรี้ยวสุราที่ผลักไสมันไปจากหน้าที่ของมันเมื่อคืนก่อน   มันกระวีกระวาดถามถึงงานที่คั่งค้าง  สติมันรุกไล่ด้วย”เวลา”เพื่อนของมัน ที่มาแสดงตัวด้วยความน้อยใจ  มันมาอย่างนอบน้อม พร้อมบอกให้เห็นค่าของมัน  มันย้ำถึงความสัมพันธ์มันกับผู้ดื่มว่า  เราอยู่ด้วยกันไม่ถึงร้อยปี  ใช้มันให้คุ้มค่าเสียด้วย!

“ห่า  ก็เออสิวะ  ในวงเหล้านี่แหละ มีค่าดังทอง!”

ขรรค์เผลอเปล่งเสียงผ่านริมฝีปาก  เถียงความคิดตนเอง โดยขาดสติ

“อะไรวะ  เหล้าหงษ์ทองเหรอ?”  จิวถามหลังสิ้นเสียงขรรค์  

“หงษ์ทองห่าอะไรเล่า  ไปเอาโค้กน้ำแข็งมากินหน่อยสิ  เอาเย็นๆนะโว้ย!”  ขรรค์ตะเบ็งเสียงด้วยประโยคคำสั่งแก้เขินไปยังจิว  ชายวัยกลางคนในรูปร่างแกรน   ใบหน้าเรียวแหลมที่เติมด้วยคางยื่นยาว  ประดับเคราประปรายที่ไม่เป็นระเบียบ    

จิวดีดก้นบุหรี่ที่ใกล้หมดทิ้ง   พลันยกตัวไปหยิบเครื่องดื่มในตู้แช่ให้ขรรค์  ควันคำสุดท้ายของบุหรี่ของจิวพ่นออกจากปอดแผ่วเบาขณะเคลื่อนไหว  มันลอยช้าผ่านปากตามการเคลื่อนไหวของจิว  คล้ายเครื่องรถยนต์พ่นไอเสียทิ้งท้ายขณะโลดแล่นไปตามถนน  จิวปราดมาวางขวดและแก้วน้ำแข็งลงตรงหน้าผู้ออกคำสั่ง  

“ลื๊อพูดอะไรอ่ะ  จะไปกินเหล้าเหรอ”  จิวหย่อนตัวลงนั่งตรงข้ามขรรค์  

“ยุ่ง” ขรรค์ตอบปัด  โดยไม่ใส่ใจกับคำถามของจิว    แต่กิริยาและคำพูดของจิวที่ขรรค์เผลอมองก็ได้พัดควันคิดที่คั่งค้างให้สลายไปในอากาศ  เหลือเพียงกลิ่นควันจินตนาการประปรายที่ปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้คละคลุ้งอยู่    แต่ขรรค์ก็พยายามวกกลับถึงเรื่องที่คิดก่อนสติหลุดเมื่อครู่   และขณะจะถลำเข้าภวังค์คิดอีกรอบ   เสียงเรียกแต่ไกลก็พัดควันคิดขรรค์ที่เริ่มก่อตัวหนสองหายไปอีกคำรบ  

“เฮ้ย ขรรค์”  วิษณุเดินผ่านประตูตะวันออกของคณะฯเข้ามา  

วิษณุ  ชายร่างสูงผิวคล้ำ ผมหยักศกยาวปรกไหล่  เขาพาร่างกำยำสมส่วน เดินเข้ามาพร้อมพยักหน้าทักทายขรรค์ที่นั่งอยู่   พลันสอดส่ายสายตาผ่านแว่นทรงเหลี่ยมกรอบดำไปซ้ายขวา  เหมือนหาใครสักคน

“ เห็นไอ้ใจปล่าว ?”  วิษณุเปล่งเสียงเรียบ  
“ไม่  มันยังทำงานอยู่สตูดิโอมั้ง  รอมันสักพัก  เดี๋ยวก็ลงมา”  ขรรค์ตอบ  
“เอาเป๊ปซี่ไหม?” เสียงเบาของจิวแทรกบทสนทนา

“ว่าแต่เสร็จเรียนแล้วเหรอ  มานั่งทำอะไรคนเดียว” เสียงสงสัยจากวิษณุมีต่อขรรค์  พร้อมเป็นการตัดรำคาญจิว  เสมือนเสียงนั้นมาไม่ถึงเขา และจิวที่นั่งอยู่เป็นอากาศธาตุ
“หาเพื่อน-เหล้า” เสียงกระชากห้วน  ซึ่งแฝงด้วยความผิดหวังในเสียง  ที่ขรรค์ยังหาเหตุและสหายสุราดื่มในคืนนี้ไม่ได้
“เออ กูไป  เดี๋ยวชวนไอ้ใจไปด้วย  แต่หลังพวกเราซ้อมรักบี้นะ”  เสียงหนักแน่นเจือด้วยคำสั่งจากวิษณุ  ผู้สวมหัวโขนเป็นกัปตันทีมรักบี้     เป็นคำตอบห่วงใยในฐานะเพื่อน  และห่วงกับหน้าที่ที่เขารับผิดชอบในฐานะหัวหน้าทีม        
“ฮ่าๆๆๆ  แหงสิ  กูไม่เล่นแล้วใครจะลงฟูลแบ็คให้”  ขรรค์เปล่งเสียงด้วยอารมณ์ดีที่ได้เพื่อนร่ำสุราในค่ำนี้  พร้อมยังสำทับถึงตำแหน่งหน้าที่ในทีมที่เขาไม่ลืม  

ท้ายสุด  วิษณุก็ปรากฏตัวดั่งเทพผู้ดูแลทั้งสามโลกให้สงบและสมดุลตามความเชื่อฮินดู   หากครั้งนี้วิษณุอวตารมาเป็นคนซึ่งเป็นเพื่อนขรรค์  เพื่อไขข้อขุ่นใจในการดื่มสุราให้ขรรค์มัน   ว่าจริงๆแล้ว  มันไม่มีเหตุสมควรใดในการชวนเพื่อนดื่มหรอก     หากแต่ชวนถูกคนหรือปล่าวก็เท่านั้น    ขรรค์ยิ้มกริ่มและพอใจกับเหตุที่ตนหาได้

“เห้ย! ว่าแต่จะไปร้านไหนวะ? “  วิษณุถามหาความกระจ่าง
“หลังซ็อมเสร็จ  ก็คงหาอะไรกินแถวสามย่าน  แล้วคงต่อ RGB” ขรรค์เสนอ
“โอเค  RGB!”          


จบ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่